ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 139 :ถ้าคุณอยากเรียน ผมจะสอนเอง
ตอนที่ 139 :ถ้าคุณอยากเรียน ผมจะสอนเอง
ระหว่างทางกลับบ้าน พวกเขาไม่ต้องทนลมทนฝน และยังสามารถมองทิวทัศน์ที่สวยงามข้างทางด้วยความตื่นเต้น
เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถจี๊ปกลับบ้านไปได้อย่างราบรื่น
หนูน้อยนั่งอยู่เบาะหลัง เดี๋ยวขยับไปมองกระจกทางซ้ายที ขยับไปมองทางขวาที เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นนั่งตรง มองตรงนั้นตรงนี้อยู่ไม่นิ่ง ดูเธอจะตื่นตาตื่นใจมาก ในแววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“นั่งรถยนต์แบบนี้สบายมากเลยค่ะ ! ”
“หนูชอบนั่งรถเล่น ! ”
“ป่าป๊าคะ อนาคตหนูสามารถขับรถเองได้ไหมคะ ? ”
ขณะที่หนูน้อยกำลังตื่นเต้นอยู่ เธอก็ถามนู่นถามนี่ออกมาด้วยความไร้เดียงสา
“แน่นอน เมื่อหนูโตขึ้น หนูสามารถขับรถเองได้และไปได้ทุกที่ที่หนูอยากไป” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
“แล้วหนูสามารถไปที่ไหนได้บ้างคะ ? ”
หนูน้อยถามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ประเทศของเรากว้างใหญ่ มีภูเขาและแม่น้ำที่สวยงาม มีที่ราบและทะเลสาบ มีสถานที่หลายแห่งที่หนูสามารถไปเที่ยวได้……”
เมื่อฟังคำอธิบายของป่าป๊า ดวงตาของเด็กน้อยก็เป็นประกาย
หลินเจียอินที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ โดยเอนหลังบนเก้าอี้นวม ลมและฝนข้างนอกไม่สามารถสาดเข้ามาได้ เธอจึงรู้สึกสบายอย่างมาก
“คุณไปเรียนขับรถมาตั้งแต่ตอนไหน ? ”
อาจเป็นเพราะเธอสงสัยมานาน หลินเจียอินจึงหันไปมองเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วถามขึ้นมา
“สามีของคุณเป็นคนมีความสามารถนะ ไม่มีอะไรที่คนอย่างผมทำไม่ได้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ลืมที่จะพูดจาโอ้อวดตนเองอีกครั้ง
แม้ว่าทั้งสองตกลงที่จะซื่อสัตย์ต่อกัน แต่ไม่มีทางที่เขาจะพูดถึงเรื่องกลับมาเกิดใหม่ให้เธอฟังอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ฉันรู้ว่าคุณเก่งมาก ! ”
โชคดีที่หลินเจียอินถามแค่เพียงคำถามเดียว และไม่ได้ถามต่ออีก
เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้แต่แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ฉันก็อยากเรียนขับรถเหมือนกัน ! ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลินเจียอินก็พูดขึ้นทันที
“เอาล่ะ หากคุณต้องการเรียนขับรถจริง ๆ ผมสามารถสอนคุณได้นะ ! ”
“อืม ! ”
“สิ่งแรกที่คุณต้องรู้จักก่อนคือ พวงมาลัย เกียร์ ส่วนด้านล่างคือคลัตช์ คันเร่ง แล้วก็เบรก……”
เจียงเสี่ยวไป๋แนะนำหลินเจียอินไปด้วยขณะขับรถไปด้วย
ไม่ทันไร รถจี๊ปก็ขับมาถึงสุดถนนลูกรังโดยไม่รู้ตัว
“เรามาถึงเร็วขนาดนี้เลยหรือ ! ”
เมื่อรถหยุด หลินเจียอินที่ยังมีอะไรจะพูดอีกมากมายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถออกจากถนนลูกรังมาหยุดบนถนนคอนกรีตที่เขาสร้าง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ผมจะสอนคุณขับเอง แต่เป็นในวันที่อากาศแจ่มใสกว่านี้นะ”
“ได้สิ ! ”
หลินเจียอินยิ้มและพยักหน้า จากนั้นทั้งสามสวมเสื้อกันฝนในรถ ลงจากรถแล้วเดินกลับบ้าน
“จอดรถไว้ตรงนี้จะไม่เป็นอะไรหรือ ? ”
หลังจากเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว หลินเจียอินก็หันกลับมาถามอย่างไม่สบายใจ
“ไม่มีปัญหาหรอก ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนสมัยนี้ไม่ได้บ้านป่าเมืองเถื่อนเหมือนเมื่อก่อน”
ใช่แล้ว ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในเจียงวานหันมาจับกุ้งเพื่อนำไปขายให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ และถือว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นเหมือนบ่อเงินบ่อทอง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำอะไรกับรถของเจียงเสี่ยวไป๋ ?
แม้ว่าฝนจะตก แต่เสียงรถจี๊ปก็ยังทำให้หลายคนในหมู่บ้านตื่นตะลึง
“เสี่ยวไป๋ รถคันนั้นเป็นของเธอหรือเปล่า ? ”
“เสี่ยวไป๋ ซื้อรถใหม่งั้นหรือ ! ”
“เสี่ยวไป๋ หน้าบ้านของฉันหันหน้าไปทางที่นายจอดรถพอดี ฉันจะดูรถให้เอง ไม่ต้องกังวล”
“เสี่ยวไป๋…”
“……”
ระหว่างทาง ชาวบ้านหลายคนได้กล่าวทักทายด้วยความตื่นเต้น เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ได้แต่พยักหน้าตอบพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
คนในชนบทส่วนใหญ่เป็นคนที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา
เจียงเสี่ยวไป๋ชอบความรู้สึกนี้มาก
หลังกลับมาถึงบ้านและทำอาหารเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ไปเรียกพ่อแม่ของเขาและชายชราหลินมาทานอาหารด้วยกัน
เนื่องจากฝนตกติดต่อกันหลายวัน ทีมงานก่อสร้างจึงได้ย้ายไปทำงานตกแต่งร้านใหม่ในเมืองก่อน แต่ชายชราหลินไม่ได้ออกไปด้วย
“ซื้อรถมาแล้วหรือ ? ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงไห่หยางก็ถามด้วยรอยยิ้มแห่งความความสุขบนใบหน้าของเขา
แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะไม่ได้จอดรถในลานบ้านหรือในสวน แต่เขาก็ได้ยินคนในหมูบ้านคุยกันให้แซ่ดว่าเจียงเสี่ยวไป๋ขับรถจี๊ปกลับมา
ลูกชายของเขามีรถยนต์เป็นคนแรกของหมู่บ้าน จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกดีใจ ถ้าฝนไม่ตก ป่านนี้เขาคงจะเดินลงไปดูให้เห็นกับตาแล้ว
“ใช่ครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ายืนยัน
“ดีมาก ถ้าแกต้องวิ่งไปมาแบบนี้ แกควรซื้อรถน่ะถูกแล้ว” เจียงไห่หยางพูดเหมือนคนแก่ที่สอนลูกหลาน และท่าทางของพ่อเฒ่าก็ดูจะดีใจมาก
“พี่รอง พี่ซื้อรถงั้นหรือ ? ” เจียงเสี่ยวเหลยดูจะเป็นคนที่ตื่นเต้นดีใจที่สุด เขาถูมือด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใส
“ป่าป๊าบอกว่ามันคือรถจี๊ปเทียนจิง 212 ! ”
เจียงชานที่อยู่ด้านข้างก็ได้พูดขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ
”รถจี๊ป ! ”
เจียงเสี่ยวเหลยยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เพราะเขาคิดว่าหากพี่รองซื้อรถ คงจะซื้อรถตู้ฉางเหอเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าพี่ชายของเขาจะซื้อรถจี๊ป
เจียงไห่หยางยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น ว่ากันว่าคนที่จะมีวาสนานั่งรถจี๊ปได้มีเพียงผู้นำของมณฑลและเมืองเท่านั้น
จะยิ่งใหญ่ขนาดไหนถ้าขับออกไป !
อย่างไรก็ตาม เขามองเจียงเสี่ยวเหลยอย่างหนักแน่นและพูดว่า “นั่นคือรถของพี่รองของแก แกจะดีใจอะไรนักหนา ! ”
ต่อหน้าชายชราหลิน เขาจะปล่อยให้ลูกชายคนเล็กทำตัวเหิมเกริมเกินไปไม่ได้ เมื่อถึงเวลาสอน ก็ต้องสอนเขาให้รู้กาลเทศะบ้าง
เจียงเสี่ยวเหลยได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “พี่รองซื้อรถ ผมดีใจด้วยไม่ได้หรือ ? ”
เสียงของเขาดูแผ่วลงเล็กน้อย ไม่กล้าเถียงกลับพ่อ
แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ หากว่าไม่พูดอะไรสักคำ
ฮึ่ม พูดอย่างกับตัวเองไม่มีความสุข ทั้งที่ยิ้มหน้าบานจนเคราจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูสองพ่อลูกทะเลาะกัน ก็แอบยิ้มแล้วพูดกับเจียงเสี่ยวเหลยว่า “นายชอบรถยนต์ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าและโพล่งออกมา “ผมชอบ”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “ถ้านายสอบเข้ามัธยมปลายได้ ฉันจะสอนนายขับรถ และถ้านายสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้ ฉันจะซื้อรถให้นาย”
“จริงหรือ ? ”
จู่ ๆ เจียงเสี่ยวเหลยก็ลุกขึ้นยืน จ้องมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความฮึกเหิมราวกับว่าเขามีแรงจูงใจที่จะเรียนแล้ว
“จริงสิ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพยักหน้า
“พี่รอง พี่ต้องรักษาคำพูดนะ ! ”
“ฉันเป็นคนไม่รักษาคำพูดตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องเรียนให้จบมัธยมและสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ! ”
“ดีมาก ! ”
สองพี่น้องบรรลุข้อตกลงในทันที
เจียงเสี่ยวอวี่ที่ยืนฟังอยู่ก็มองไปที่พี่ห้าด้วยความอิจฉา และพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “พี่รอง แล้วฉันล่ะ ? ถ้าฉันเรียนจบมัธยมและเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉันจะได้รางวัลไหม ? ”
“เกรดของน้าเล็กดีอยู่แล้ว จะต้องได้เข้ามหาวิทยาลัยอย่างแน่นอนค่ะ ! ”
ก่อนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะได้พูด เจียงชานก็พูดด้วยความไร้เดียงสา ซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะ
มีเพียงเจียงเสี่ยวเหลยเท่านั้นที่รู้สึกเศร้า ปรากฎว่าแม้แต่หลานสาวตัวน้อยของเขาก็คิดว่าเกรดของเขาไม่ดี
ฮึ่ม อย่างนี้เขาจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
หลินเจียอินยิ้มและพูดว่า “เสี่ยวอวี่ เธอสอบได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเธอต้องการอะไร พี่สะใภ้จะเป็นคนซื้อให้เอง”
เจียงเสี่ยวอวี่จึงพูดอย่างมีความสุขไปว่า “หนูอยากได้เสื้อผ้าสวย ๆ หลายชุด ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋อดยิ้มไม่ได้ น้องสาวก็เหมือนกับลูกสาวของเขาที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามเป็นอันดับแรกเสมอไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม
“เอาล่ะ เรารีบกินข้าวกันเถอะ”
หวังซิ่วจวี๋เห็นว่าเด็ก ๆ เริ่มพูดคุยกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอจึงพูดขัดจังหวะพวกเขา
เพราะชายชราหลินรอกินข้าวอยู่
จากนั้น เจียงไห่หยางก็รู้สึกตัวและกล่าวขอโทษหลินฉางเกิง “เด็ก ๆ พูดเยอะเกินไป จึงทำให้เหล่าหลินต้องรอแล้ว”
หลินฉางเกิงโบกมือแล้วพูดว่า “ดีแล้ว เมื่อครอบครัวอยู่ด้วยกัน มันควรจะเป็นแบบนี้ พูดคุยและสร้างสีสันให้กันบ้าง นี่แหละเขาถึงจะเรียกว่าชีวิต”
ข้างนอกฝนตก พวกเขาจึงออกไปกินที่ลานบ้านข้างนอกไม่ได้
อาหารเย็นจึงจัดขึ้นในห้องโถงหลัก ไม่นานห้องเล็ก ๆ ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ดังจนกลบเสียงฝนด้านนอก