ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 144 :วันของลูกสาว
ตอนที่ 144 :วันของลูกสาว
เดือนมิถุนายนเป็นช่วงเวลาแห่งความรักจากเหล่านางฟ้าที่จะมอบให้แก่เด็ก ๆ
เมื่อแสงแรกในยามเช้าสาดส่อง วันใหม่ก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
“ชานชาน สุขสันต์วันเด็ก ! ”
เจียงชานที่กำลังลุกออกมาจากที่นอน ก็ออกมาเจอเจียงเสี่ยวไป๋ที่ถือมงกุฎดอกหญ้าและพูดคำอวยพรด้วยรอยยิ้ม
เขาไปที่ภูเขาด้านหลังในตอนเช้า เพื่อเก็บเถาวัลย์และดอกไม้ป่ามาสานเป็นมงกุฎด้วยตัวเอง ดอกไม้ป่าสีขาว สีน้ำเงิน สีแดง สีม่วง และสีเหลืองพันรอบเถาองุ่นจนกลายเป็นมงกุฎดอกหญ้าที่ดูสวยเป็นพิเศษ
“ว้าว……”
เจ้าตัวเล็กเบิกตากว้าง และแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาจนดูเกินจริง “สวยมากเลยค่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มด้วยความรักความเอ็นดู “เจ้าหญิงตัวน้อยของพ่อต่างหากที่สวยที่สุด ! ”
กล่าวจบ เขาก็วางมงกุฎบนศีรษะของลูกสาวตัวน้อย
เขายังหยิบกระจกบานเล็กออกมาให้เธอส่องดูด้วย “ชานชาน ดูสิ ! ”
ในกระจก เจียงชานเห็นตัวเองสวมมงกุฎดอกหญ้าก็ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น
“ขอบคุณค่ะป่าป๊า ! ”
เจ้าตัวเล็กหันหน้ามาหอมที่แก้มของเจียงเสี่ยวไป๋ฟอดใหญ่และพูดอย่างมีความสุข
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก และหอมเธอกลับสองฟอด
ในขณะนี้ ทั้งห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ป่าป๊าคะ ถ้าไปในเมือง หนูขอเอามงกุฎนี้ไปสวมด้วยได้ไหมคะ ? ” เจียงชานถามออกมาด้วยความคาดหวัง
“ได้แน่นอน ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
“เยี่ยมไปเลยค่ะ วันนี้หนูมีความสุขมาก ! ”
เจียงชานส่งเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้น
หลินเจียอินมองดูสองพ่อลูกด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเอาใจใส่ลูกสาวขนาดนี้ ถึงกับสานมงกุฎดอกหญ้าที่สวยงามมาให้กับลูกสาวของเธอตั้งแต่เช้า
มงกุฎที่ทำขึ้นมาจากเถาวัลย์และดอกไม้ป่านั้นไม่แพงนัก แต่สื่อถึงความรักของพ่อและความห่วงใยที่เขามีต่อลูกสาวได้อย่างเต็มที่
ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่าเมื่อเทียบกับเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว สิ่งที่เธอทำให้เจียงชานยังไม่เพียงพอจริง ๆ
เมื่อวานนี้ พอเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าให้เธอเป็นคนจัดการเรื่องจัดหานักลงทุนร้านแฟรนไชส์แล้ว เธอก็เอาแต่คิดเรื่องงานโดยลืมไปว่าวันนี้คือวันที่ 1 เดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นวันเด็ก
แต่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ลืมเหมือนเธอ
เขาไม่เพียงแต่ไม่ลืมเท่านั้น แต่ยังเตรียมของขวัญที่ทำด้วยใจไว้ให้ลูกสาว และอวยพรเธอในตอนเช้าแรกของวันอีกด้วย
ซึ่งเป็นอะไรที่พิเศษมาก
แม้แต่เธอที่เห็นก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจไปด้วย
“เมียจ๋า มัวยืนอะไรอยู่ตรงนั้น รีบไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า เราต้องไปในเมืองต่อนะ”
เมื่อเห็นหลินเจียอินยืนเหม่ออยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน เจียงเสี่ยวไป๋ก็เรียกเธอ
“อ้อ ! ”
หลินเจียอินกลับมามีสติอีกครั้ง และเดินไปที่โต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว
บนโต๊ะมีอาหารเช้าแสนอร่อยที่เธอและลูกสาวชอบกินเต็มไปหมด
เห็นได้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ยังต้องตื่นมาแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารแสนพิเศษเหล่านี้อีก
หลินเจียอินกินอาหารเช้าเสร็จด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย หลังจากที่เจียงชานกินเสร็จ เธอก็พาเจียงชานมาเปลี่ยนชุดใหม่และรองเท้าสีขาวที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อให้ครั้งที่แล้วออกมา ซึ่งตอนนั้นเธอยังไม่กล้าใส่ให้ลูกสาว
ในฐานะพ่อ เขาทำเพื่อลูกสาวมากมาย ดังนั้นเธอในฐานะแม่ควรจะทำอะไรสักอย่างให้ลูกสาวบ้างใช่ไหม ?
เจียงชานที่สวมเสื้อผ้าใหม่ดูจะมีความสุขมาก
“ขอบคุณนะคะหม่าม๊า ! ”
ขณะที่เธอพูด เธอก็หอมแก้มหลินเจียอินด้วย
หลินเจียอินจึงพูดอวยพรอย่างมีความสุข “หม่าม๊าขอให้ชานชานมีความสุขในวันเด็กนะ ! ”
“หม่าม๊า วันนี้เป็นวันเด็กหรือคะ ? ”
เธอไม่เคยฉลองวันเด็กมาก่อน จึงไม่รู้ว่ามีวันสำคัญแบบนี้ ในตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋อวยพรให้เธอมีความสุขในวันเด็ก เธอก็สับสน แต่เธอก็ถูกดึงดูดความสนใจด้วยมงกุฎดอกหญ้าที่สวยงาม จนลืมถามเรื่องนี้ไปเลย
ในขณะนี้หม่าม๊าก็พูดเช่นเดียวกันกับป่าป๊า เธอจึงถามออกมาด้วยความสงสัย
“วันนี้เป็นวันเด็กจ้ะ ! ”
หลินเจียอินพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นวันสำคัญของเหล่าเด็ก ๆ ทุกคน ! ”
เจียงชานพยักหน้าครึ่ง ๆ กลาง ๆ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “เป็นวันที่หนูมีความสุขมากเลยค่ะ ทั้งได้มงกุฎจากป่าป๊า และหม่าม๊าก็ใส่เสื้อผ้าใหม่ให้หนูด้วย”
บางทีความคาดหวังของเด็ก ๆ สำหรับเทศกาลนี้คือการได้รับของขวัญและสวมเสื้อผ้าใหม่
ซึ่งเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก
เมื่อสามพ่อแม่ลูกมาถึงร้าน ทุกคนต่างก็ชื่นชมมงกุฎที่เจียงชานสวมว่ามันสวยมาก
“ชานชาน วันนี้หนูดูสวยมาก ! ”
“แน่นอน วันนี้หนูได้ใส่เสื้อผ้าใหม่และได้สวมมงกุฎสวย ๆ ”
“ชานชาน ใครทำมงกุฎให้หนูสวมหรือ ? พอหนูสวมมันแล้วเหมือนเป็นเจ้าหญิงน้อยเลย”
“ป่าป๊าทำให้ ! ”
“……”
ทุกคนต่างชื่นชมเธอ ทำให้เธอทั้งมีความสุขและภูมิใจ
ส่วนหวังกังตัวน้อยก็ได้แต่ยืนเฉย ๆ มองดูด้วยความอิจฉา
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแบบนั้นจึงเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นกล่องให้แล้วพูดว่า “หวังกัง ลุงขอให้หวังกังมีความสุขในวันเด็ก เป็นเด็กดี นี่คือของขวัญจากลุง”
“ขอบคุณครับลุงเจียง ! ”
หวังกังดูมีความสุขขึ้นมาทันที เขาแทบรอไม่ไหวที่จะเปิดกล่องออกมาดู เมื่อเปิดดูก็พบว่ามันคือชุดหมากรุกรุ่นใหม่ล่าสุด
หวังกังและเจียงชานเรียนรู้การเล่นหมากรุกจากเจียงเสี่ยวไป๋ ทั้งสองคนมีความสนใจในเกมหมากรุกเป็นอย่างมาก และฝันอยากจะมีหมากรุกเป็นของตัวเองมาโดยตลอด
ไม่คาดคิดเลยว่า วันนี้ลุงเจียงจะซื้อเป็นของขวัญให้เขาจริง ๆ
เขาจึงมีความสุขมาก
“หวังกังกับชานชานไปเล่นหมากรุกรอลุงก่อนก็ได้ เมื่อลุงเสร็จธุระแล้วจะพาออกไปเที่ยว โอเคไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้เลยครับลุงเจียง ! ”
หวังกังตอบตกลงอย่างมีความสุข เขาจับมือของเจียงชานและทั้งสองก็ไปหาสถานที่เล่นหมากรุกกันสองคน
“ทำไมถึงซื้อหมากรุกให้เขาล่ะ ? ” หวังผิงถามออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “วันนี้เป็นวันเด็ก ฉันอยากให้เด็ก ๆ มีความสุข”
หวังผิงตกตะลึง ไม่แปลกใจเลยที่เจียงชานจะสวมเสื้อผ้าใหม่และมงกุฎดอกหญ้าในวันนี้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันเด็กนั่นเอง
เช่นเดียวกับหลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหง เขาเองก็จำวันสำคัญนี้ไม่ได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หวังกังก่อนออกจากบ้านมาด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ในอดีต วันสำคัญแบบนี้เขาไม่เคยลืม และเขาจะจัดงานวันเด็กให้กับลูกชายทุกปี
แต่ช่วงนี้ ธุรกิจกำลังขยับขยาย เขามัวยุ่งอยู่กับงาน แม้ว่าในมือจะมีเงินมากมาย แต่กลับละเลยลูกชายไป
“เสี่ยวไป๋ นายใส่ใจพวกเด็ก ๆ มาก ! ”
หวังผิงกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกผิด
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นจึงกล่าวไปว่า “หวังผิง ที่เราทุกคนยอมทำงานหนักก็เพื่อต้องการให้ครอบครัวของเรามีความสุขไม่ใช่หรือ ? ”
“แต่เพื่อที่จะสร้างรายได้ นายไม่สามารถใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหาเงินจนลืมว่าทำไมเราถึงต้องหาเงิน”
“ดังนั้น ไม่ว่านายจะงานยุ่งแค่ไหน นายก็ต้องใส่ใจคนในครอบครัวด้วย”
หวังผิงพยักหน้าซ้ำ ๆ
ในขณะนี้ เขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเจียงเสี่ยวไป๋ถึงกลับบ้านเร็วทุกวัน เป็นเพราะเขาต้องการใช้เวลากับภรรยาและลูกสาวให้มากขึ้นนี่เอง
พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพัก จากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปทำกุ้งอบน้ำมันต่อ งานนี้กินเวลาไปจนถึงเที่ยง
เมื่อเสร็จงาน เขาก็เดินออกประตูมาพร้อมกับบิดเอวซ้ายขวาเพื่อคลายเส้น
ก่อนจะหันไปเห็นเจียงชานและหวังกังมองมาที่เขาด้วยความกระตือรือร้นอยู่ที่สนามหญ้า ปรากฎว่าเด็กน้อยสองคนจำสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋บอกให้ไปเล่นหมากรุกรอก่อน และจะพาไปเที่ยวหลังจากทำงานเสร็จ ทั้งสองจึงรอเขาอยู่ที่สนาม
“ป่าป๊า เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี ? ”
เจียงชานถามออกมาด้วยความคาดหวัง ส่วนหวังกังก็ตะโกนออกมาว่า “ลุงเจียง ไปเที่ยวกัน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าเด็กน้อยสองคนรอเขามานานแล้ว
เห็นแบบนั้น เขาก็ไม่คิดที่จะพัก และพาทั้งสองออกจากร้านไป
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ในเมืองชิงโจวยังไม่มีสนามเด็กเล่นหรือสวนสนุกแม้แต่แห่งเดียว เด็ก ๆ ในยุคนี้จึงไม่มีที่เล่นสนุกมากนัก
แต่ถึงอย่างนั้น ในอุทยานภูเขาฉีเฟิงในเมืองจิงโจวก็ถูกสร้างเป็นสวนป่าที่มีสวนสัตว์ขนาดเล็กอยู่ข้างใน
เจียงเสี่ยวไป๋จึงพาเด็กน้อยทั้งสองคนไปที่สวนสัตว์เป็นครั้งแรก พวกเขาได้เห็นสุนัขจิ้งจอก หมาป่า ม้าลาย นกยูง และสัตว์ชนิดอื่น ๆ ซึ่งเป็นการเปิดหูเปิดตาของพวกเขาและทำให้พวกเขาประหลาดใจไม่น้อย
ต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาพวกเขาไปที่ห้างสรรพสินค้า
สถานที่แห่งนี้เป็นอีกที่หนึ่งที่เด็ก ๆ จะได้สนุกสนานในช่วงวันหยุด และที่สำคัญไปกว่านั้นคือพวกเขาต้องได้ประโยชน์จากการเที่ยวด้วย เจียงเสี่ยวไป๋จึงซื้อของมากมายในห้างสรรพสินค้าให้พวกเขาสองคน รวมทั้งซื้อเสื้อผ้า อาหาร และของเล่นมากมายกลับไปที่บ้านด้วย
แน่นอนว่าตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อของ เขาก็ไม่ลืมที่จะซื้อของกลับไปให้เจียงถิงและเจียงเสี่ยวอวี่ด้วย
ปีนี้เจียงเสี่ยวอวี่อายุ 12 ปี และนี่คือวันเด็กปีสุดท้ายของเธอ
ในช่วงเทศกาลก่อนหน้านี้ เขาซึ่งเป็นพี่ชายไม่เคยได้ให้อะไรกับน้องสาวเลย แต่ตอนนี้เขามีเงินแล้ว เขาอยากจะชดเชยให้ทั้งหมดในคราวเดียว ดังนั้นเขาจึงซื้อของมากมายกลับไปให้เธอในครั้งนี้
โชคดีที่ตอนนี้เขามีรถแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถขนมันกลับไปได้หมดจริง ๆ
หลังออกจากห้างสรรพสินค้าก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงพาเด็กทั้งสองคนกลับไปที่ร้าน
“ชานชาน หนูเพิ่งใส่เสื้อผ้าใหม่เมื่อเช้านี้ และตอนนี้หนูก็ได้กระโปรงใหม่อีกแล้วหรือ ! ”
“ป่าป๊าซื้อให้ค่ะ ! ”
“หวังกังก็ใส่เสื้อผ้าใหม่เหมือนกันหรือ ! ”
“ลุงเจียงซื้อให้ครับ ! ”
พนักงานในร้านที่เห็นว่าเด็กทั้งสองกลับมาพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เขาจึงพูดหยอกล้อทั้งสองด้วยรอยยิ้ม ส่วนเด็กทั้งสองก็แสดงท่าทีมีความสุข
“ป่าป๊ายังพาเราไปเที่ยวสวนสัตว์มาด้วย”
“ผมเห็นลิง สุนัขจิ้งจอก และนกยูงด้วย ขนของมันสวยมากจริง ๆ ”
“หนูก็เห็นม้าลายด้วย”
“แล้วพวกหนูมีความสุขไหม” พนักงานคนหนึ่งในร้านถามต่อ
“มีความสุขมากค่ะ ! ”
“มีความสุขครับ ! ”
เด็กทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน
สองเดือนที่ผ่านมา พวกเขาเล่นอยู่แต่ในร้านเกือบทุกวัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีความสุข
สิ่งที่เด็กทั้งสองไม่คาดคิดก็คือ พวกเขายังได้รับของขวัญอีกชิ้นหนึ่ง
แม้ว่าพวกเขาจะได้เสื้อผ้าและรองเท้าใหม่แล้ว แต่หวังผิงก็ยังซื้อของขวัญมาให้พวกเขาอีก
“ขอบคุณค่ะอาหวัง ! ”
เจียงชานกล่าวอย่างสุภาพหลังจากได้รับของขวัญ
“ขอบคุณครับพ่อ วันนี้ผมมีความสุขที่สุดเลย ! ”
หวังกังรับของขวัญจากหวังผิง ใบหน้าอ้วน ๆ ของเขายิ้มอย่างสดใส
หวังผิงทั้งประหลาดใจ มีความสุขและรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ลูกชายของเขากล่าวขอบคุณเขาออกมาแบบจริงจังขนาดนี้
เขาลูบหัวของหวังกังด้วยความเอ็นดู แล้วพูดอย่างจริงจังไปว่า “เมื่อก่อนพ่อเอาแต่ทำงาน ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อยเกินไป พ่อขอโทษนะ”
ได้ยินแบบนั้น หวังกังก็พูดอย่างเข้าใจว่า “ผมรู้ว่ามันยากมากสำหรับพ่อที่ต้องออกมาทำงานหาเงินทุกวัน ผมหวังว่าผมจะโตเร็ว ๆ และสามารถหาเงินช่วยพ่อได้ พ่อจะได้ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้”
ดวงตาของหวังผิงเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าทันที
ดังนั้นในวันนี้ หวังผิงจึงตั้งใจพาเฝิงเยี่ยนหงเลิกงานเร็วกว่าปกติ เพื่อที่จะได้กลับบ้านไปทำอาหารเย็นทานกับลูก
เมื่อถึงตอนเย็น สามพ่อแม่ลูกก็ได้นั่งทานอาหารเย็นพร้อมหน้ากัน
เพราะพวกเขาต้องการให้เวลากับลูกชายในวันเด็ก ให้ทั้งครอบครัวได้อยู่ร่วมกัน
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาถึงบ้าน เขาก็มอบของขวัญที่เขาซื้อมาให้กับเจียงถิงและเจียงเสี่ยวอวี่ เจียงถิงเห็นแบบนั้นจึงพูดอย่างมีความสุขว่า “ขอบคุณนะคะลุงเจียง ! ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับของขวัญมากมายขนาดนี้
เจียงเสี่ยวอวี่กลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “พี่รอง หนูเรียน ม.1 แล้วนะ ทำไมยังต้องมาฉลองวันเด็กอีกล่ะ ? ”
แม้ว่าเธอจะพูดแบบนี้ แต่เธอก็ยอมรับของขวัญทุกชิ้นที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อมาให้อย่างมีความสุข เพราะมันคือของล้ำค่าสำหรับเธอ
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ซื้อของมากมายให้ทั้งสอง เจียงไห่หยางก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่าให้เขาใช้จ่ายเงินไม่คิดหน้าคิดหลัง เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันเด็กครับ พวกเธอควรได้ฉลองวันเด็กสักครั้งในชีวิต การซื้อของขวัญพวกนี้ให้ก็ไม่ถือว่าเป็นการใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองอะไร”
เจียงไห่หยางได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้คิดจริงจังกับมันอีก “เป็นเด็กเป็นเล็กยังมีเทศกาลฉลองกับเขาด้วยหรือ ! ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ส่ายหัวไปมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและไม่พูดอะไร คนรุ่นพ่อแม่ของเขามักจะให้ความสำคัญกับเทศกาลแบบดั้งเดิมเท่านั้น เช่น เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลโคมไฟ เทศกาลเชงเม้ง เทศกาลเรือมังกร เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นต้น ส่วนวันสำคัญอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น วันสตรี วันเยาวชนและวันเด็ก พวกเขาไม่คิดจะใส่ใจ
ยุคสมัยต่างกัน แนวคิดจึงต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา
เจียงเสี่ยวไป๋เข้าใจความคิดของพ่อแม่ดี แต่เขาก็ยังคงจัดการกับมันในแบบของเขาเอง
แต่ก็เห็นได้ชัดว่า เจียงชาน เจียงถิง และเจียงเสี่ยวอวี่ต่างมีความสุขมากหลังจากได้รับของขวัญใช่ไหม ?
ดังนั้น เขาที่เป็นพ่อ ลุงและพี่ชายของเด็กทั้งสามคนก็ต้องไม่พลาดโอกาสที่จะได้ฉลองให้กับลูกหลาน การให้ของขวัญถือเป็นการแสดงความห่วงใยและความรักต่อลูกหลานของเขา