ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 158 :ป้อมยามแนวใหม่
ตอนที่ 158 :ป้อมยามแนวใหม่
คำพูดของจูเยี่ยนผิงทำให้หลินเจียอินหน้าเหวอไปเล็กน้อย
เดิมทีเธอมีความคิดที่จะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้จูเยี่ยนผิงจริงอย่างที่เจียงเสี่ยวไป๋พูด การช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ และเธอรู้ว่าหลิวซือกั๋วไม่ได้มีเงินมากมายนัก
และพอฟังคำพูดของลุงเจียงไห่เทียนแล้ว ตอนแรกเธอก็ไม่ได้สนใจมากนัก
แต่ตอนนี้ คำพูดของจูเยี่ยนผิงทำให้เธอตระหนักว่าสิ่งที่ลุงใหญ่พูดนั้นสมเหตุสมผลมาก กับบางคน เราไม่สามารถช่วยเหลือได้ ไม่เช่นนั้นปัญหาจุกจิกจะตามมาอีกมากมายในอนาคต
เธออยากจะอธิบายเหตุผลให้จูเยี่ยนผิงฟังเสียตอนนี้เลย แต่เธอก็รู้ว่าคนแบบนี้พูดจาด้วยเหตุผลไม่ได้
“เยี่ยนผิง เธอพักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บของเธอก่อน”
หลินเจียอินตัดสินใจแล้ว เธอพูดกับจูเยี่ยนผิงจบ จากนั้นก็หันไปพูดกับเจียงไห่เทียนว่า “ลุงไห่เทียน งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ มีหลายอย่างที่ต้องจัดการที่ร้าน”
หลังจากพูดจบ เธอก็ปลีกตัวออกไปทันที
หลังจากเดินออกไปนอกประตู เธอยังคงได้ยินเสียงจูเยี่ยนผิงคำราม “หลินเจียอิน กลับมาเดี๋ยวนี้ ! เธอยังไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาล เธออย่าคิดหนีไปเชียวนะ……”
หลินเจียอินกลับไปที่ร้านและบอกเจียงเสี่ยวไป๋ถึงเรื่องที่เกิดอะไรขึ้นในโรงพยาบาล
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ลุงใหญ่พูดถูก ใครทำคนนั้นต้องแก้ปัญหาเอง”
หลินเจียอินพูดอย่างโมโหว่า “จูเยี่ยนผิงก็ชักจะเกินไปแล้ว ถ้าเธอไม่คิดจะคว่ำถังกุ้งของเฉินหยวนเซิ่ง เธอก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ แล้วตอนนี้เธอยังจะให้เราจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้อีก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มพลางกล่าวว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะปัญหาเรื่องความยากจน”
หลินเจียอินพยักหน้า การทะเลาะวิวาทหลายครั้งในชนบทเกิดจากเรื่องเล็กน้อยจริง ๆ
ตัวอย่างเช่น ทะเลาะกันเพราะอีกคนหยิบก้อนหินจากทุ่งนาของตัวเองโยนไปใส่ในทุ่งของอีกคน ทะเลาะกันเพราะก้านข้าวโพดที่อีกคนตัดกองไว้ดันไปอยู่บนขอบทุ่งนาของอีกคน หรือบางทีก็ทะเลาะกันเพราะอีกคนปลูกผักไว้ในแปลงผัก แต่อีกคนดันเลี้ยงไก่ แล้วไก่ดันมากินผักในแปลง ทำให้ทะเลาะกันขึ้นมา
ทว่าเหตุผลที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังการทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็คือ ‘ความยากจน’
เพราะพวกเขาจน ถึงได้ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ แต่เมื่อคนเรามีเงินและทรัพยากรมากพอ ใครจะสนใจการสูญเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ล่ะ ?
“อีกเดี๋ยวคงเกิดปัญหาตามมาไม่หยุด จากนิสัยของจูเยี่ยนผิง เมื่อเธอออกจากโรงพยาบาล ฉันเกรงว่าเธอจะยังคงจะสร้างปัญหาให้เราอีกเป็นแน่” หลินเจียอินกล่าว
เรื่องนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ปวดหัวเช่นกัน เขาจะปล่อยให้เธอสร้างปัญหาอีกไม่ได้แล้วจริง ๆ !
เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไว้คุยกันทีหลัง ! ”
อย่างมากที่สุดก็ให้เจียงเสี่ยวเฟิงรับซื้อกุ้งของเธอด้วย ในฐานะที่เขาเองเป็นคนเกิดใหม่ เขาควรจะถือสาคนแบบจูเยี่ยนผิงจริง ๆ น่ะหรือ ?
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้ทำอะไรที่มันร้ายแรงต่อเขาและครอบครัว
การรับซื้อกุ้งของเขาช่วยผลักดันให้ชาวบ้านในเจียงวานร่ำรวยขึ้น เขาไม่สามารถปล่อยให้ครอบครัวของเธอยากจนอยู่ครอบครัวเดียวได้
“เอาล่ะ ฉันจะไปทำงานก่อน”
หลินเจียอินไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ในขณะนี้ เธอพูดจบก็เดินเข้าไปในร้าน
ตอนนี้มีร้านกุ้งอบน้ำมันที่ดำเนินการบริหารเองโดยตรง 5 แห่งและร้านแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันชิงเหอในเขตเมืองชิงโจว 10 แห่ง เธอต้องไปตรวจสอบแต่ละร้านวันละครั้ง นอกจากนี้ยังมีร้านแฟรนไชส์ในเขตอำเภออื่น ๆ รวม 35 แห่งที่กำลังทยอยปรับปรุงและเปิดทำการทีละร้าน ไหนจะร้านพะโล้อีก 20 แห่ง ขณะนี้เธอยุ่งมากทุกวันจนไม่มีเวลาพัก เธอจึงไม่มีเวลามาคิดเรื่องจูเยี่ยนผิงจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ทำเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูปจนกระทั่งช่วงบ่ายถึงได้หยุดงาน เขาเล่นหมากรุกกับเจียงชานและหวังกังอยู่พักหนึ่ง จากนั้นไปตรวจดูความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูปทางตอนใต้ของเมือง
ตอนนี้เขาไม่ได้ใช้พื้นที่ของที่ดิน 100 หมู่ทั้งหมด เขาขอให้จวงปี้เฉิงทำกำแพงอิฐล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดก่อน จากนั้นเขาได้ดำเนินการติดตั้งระบบน้ำประปา ขอไฟฟ้าและทำพื้นที่เชื่อมกับถนน แล้วถึงปรับหน้าดินเตรียมงานก่อสร้าง โดยอันดับแรก เขาจะสร้างพื้นที่ไลน์ผลิตก่อน
ต้องแก้ไขปัญหาการผลิตก่อน แล้วค่อยดำเนินการก่อสร้างส่วนอื่นในลำดับต่อไป
ในยุคของคนรุ่นหลัง หากสร้างโรงงานประเภทนี้จะไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม ในปี 1983 เศรษฐกิจและตลาดยังอยู่ในขั้นตอนแบบลองผิดลองถูก ทำให้การบริหารจัดการต่าง ๆ ของรัฐบาลไม่ได้เข้มงวดมากนัก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะดำเนินการในลักษณะนี้อย่างสมบูรณ์
ห้องสำหรับไลน์การผลิตในตอนนี้จึงเป็นเพียงห้องผลิตชั่วคราวขนาดเล็กเท่านั้น
เพราะหลังหมดเดือนตุลาไป กุ้งเครย์ฟิชจะหมดรุ่นแล้ว และมันจะลากยาวไปจนถึงช่วงเดือนพฤษภาคมของปีหน้าถึงจะมีให้จับอีกครั้ง
ระยะเวลาช่วงนี้เพียงพอให้เขามีเวลาค่อย ๆ สร้างโรงงาน
“เถ้าแก่เจียงมาแล้วหรือ ! ”
จวงปี้เฉิงไม่อยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างโรงงาน แต่รองหัวหน้าทีมงานของเขา หลี่เฉิงหรู ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลสถานที่ก่อสร้างแทน เมื่อเขาเห็นเจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้ามา เขาก็ทักทายเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยรอยยิ้ม
“ลำบากช่างหลี่แล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่งบุหรี่ให้เขาและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ลำบากเลย” หลี่เฉิงหรูหยิบบุหรี่ขึ้นมา เขายิ้มแล้วจุดบุหรี่สูบ “บุหรี่ของเถ้าแก่เจียงคือยี่ห้อจงฮว๋าเชียวนะ”
นิสัยของหลี่เฉิงหรูนั้นแตกต่างจากจวงปี้เฉิง จวงปี้เฉิงเป็นคนสุขุม ในขณะที่หลี่เฉิงหรูนั้นดูเข้ากับคนอื่นได้ง่ายและมีอารมณ์ขัน ดังนั้นจึงพูดคุยได้ง่ายกว่า
เจียงเสี่ยวไป๋รู้จักและพูดคุยกับเขาอยู่บ่อย ๆ จึงรู้นิสัยของเขาดี
“ที่ตัวผมมีอยู่ครึ่งซอง ช่างหลี่เอาไปสิ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โยนบุหรี่ที่เหลืออีกครึ่งซองให้กับหลี่เฉิงหรู และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกครั้งที่มาที่นี่ทีไร ผมมักจะดูเหมือนพวกเศรษฐีที่ใช้เงินอย่างไม่คิดทุกที”
หลี่เฉิงหรูหัวเราะเสียงดัง “เศรษฐีพวกนั้นสู้เถ้าแก่เจียงไม่ได้เลย พวกเขาใช้เงินอย่างไม่คิดย่อมมีวันเงินหมด แต่เถ้าแก่เจียงยิ่งใช้เงินยิ่งรวย จากตอนแรกปั่นจักรยานเปลี่ยนมาเป็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง แล้วเปลี่ยนมาเป็นรถสี่ล้อ”
อย่างไรก็ตาม เขารู้จักเจียงเสี่ยวไป๋มานานกว่าสองเดือนแล้ว ตั้งแต่เขามาตกแต่งร้านอร่อยสามมื้อ เขาได้เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ตั้งแต่ตอนขี่จักรยานของหวังผิง แล้วเปลี่ยนเป็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นรถจี๊ปเทียนจิง 212
ความร่ำรวยที่รวดเร็วเช่นนี้ทำให้เขาทั้งอิจฉาและต่างชื่นชม
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม หยุดล้อเล่นกับเขาและถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของห้องไลน์การผลิตชั่วคราว
เมื่อพูดถึงเรื่องเป็นการเป็นงาน หลี่เฉิงหรูเปลี่ยนจากความขี้เล่นมาพูดอย่างจริงจัง “เลขาหลี่ได้จัดส่งเครื่องผสม เครื่องบด เครื่องบรรจุภัณฑ์สุญญากาศและอื่น ๆ มาแล้ว อีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็สามารถติดตั้งเครื่องจักรต่าง ๆ ในห้องผลิตได้แล้ว และคุณจะเริ่มผลิตได้อย่างช้าที่สุดคือในอีก 10 วัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ค่อนข้างพอใจกับความก้าวหน้านี้
“เอาล่ะ พวกคุณต้องทำให้เสร็จภายใน 10 วัน” หลังจากพูดแล้ว เขาหันกลับมาชี้ไปที่ประตูโรงงาน แล้วพูดว่า “ส่วนป้อมยามด้านนั้นจะต้องสร้างตามแบบที่ผมให้ไว้อย่างเคร่งครัด เสร็จช้าหน่อยไม่เป็นไร”
หลี่เฉิงหรูลูบหัวตัวเอง ต่อให้ใช้ความฉลาดของเขา เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงเสี่ยวไป๋ถึงต้องสร้างป้อมยามที่ใหญ่ขนาดนี้ ?
ในภาพจำของเขา ป้อมยามควรจะมีประตูเหล็กสักบานและห้องเล็ก ๆ ก็เพียงพอแล้ว
เพราะถึงอย่างไรในอนาคตก็คงจ้างคนแก่หรือไม่ก็คนมีอายุมาเฝ้าที่ป้อมยามอยู่แล้ว
แต่ในแบบแปลนที่เจียงเสี่ยวไป๋มอบให้เขา ป้อมยามนี้มีขนาดใหญ่โตราวกับจะสร้างตำหนักในวัง
อืม พูดว่าตำหนักในวังก็ดูจะเกินจริงไปหน่อย แต่ป้อมยามของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูปชิงเจียงนั้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่จริง ทั้งยังแตกต่างจากป้อมยามของหน่วยงานอื่น ๆ ในตอนนี้อีกด้วย
ประการแรก เจียงเสี่ยวไป๋วางแผนถนนออกเป็นสองสายเชื่อมระหว่างโรงงานกับทางหลวงโจวซาน (ถนนทางหลวงจากเมืองชิงโจวไปยังอำเภอชิงซาน) ความยาวประมาณ 100 เมตร โดยถนนแต่ละสายมีสามเลน
มีการร่างแปลนแปลงดอกไม้ขนาดกว้าง 4 เมตรไว้ตรงกลางเพื่อแยกถนนสองเส้นนี้ออกจากกัน
พื้นที่เปิดโล่งทั้งสองด้านของถนน ถูกร่างแปลนให้เป็นลานจอดรถ
พื้นที่เปิดโล่งนี้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่อุตสาหกรรม 100 หมู่ของเขา
ในตอนที่เขามาเลือกสถานที่ เขาจงใจเขยิบพื้นที่ถอยหลังไป 100 เมตร โดยใช้ข้ออ้างที่สวยหรูว่าต้องการสงวนพื้นไว้เผื่อมีการขยายทางหลวงโจวซานในอนาคต แต่ที่จริงแล้วเขาแค่อยากใช้ประโยชน์จากมัน
ประตูใหญ่ของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูปชิงเจียงของเขาหันหน้าไปทางถนนที่เขาสร้าง ซึ่งป้อมยามหันเข้าหาแปลงดอกไม้เกาะกลางถนนพอดี
เจียงเสี่ยวไป๋บอกว่า ในอนาคตเขาจะแบ่งทางเข้าและทางออกของโรงงานให้ใช้ถนนคนละเส้นเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ
จึงมีการร่างแปลนป้อมยามไว้ที่ประตูทางเข้าโรงงานทั้งสองประตู
หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจ แต่เจียงเสี่ยวไป๋ยังได้ร่างแปลนสร้างบ้านเป็นแถวทั้งสองด้านอีกด้วย
บ้านแถบด้านซ้าย เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่าเพื่อสร้างจุดเฝ้าระวังของสถานีตำรวจที่ตำรวจและรัฐวิสาหกิจร่วมกันสร้างขึ้น ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นการให้พื้นที่สำนักงานตำรวจ
สำหรับแถบทางขวา เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้บอกว่าใช้ทำอะไร
หลี่เฉิงหรูคิดไม่ออก แค่สร้างป้อมยามสักป้อม ทำไมเถ้าแก่เจียงถึงต้องทำให้มันซับซ้อนขนาดนี้ ?