ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 16 :บ้านไหนตุ๋นเนื้อกิน
ตอนที่ 16 :บ้านไหนตุ๋นเนื้อกิน
ข้างสวนไผ่มีผักชีขึ้นเยอะมาก
หากไม่ใช่เป็นเพราะเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาเกิดใหม่ เขาก็คงไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นคือผักชี เพราะคนในยุคสมัยนี้ไม่มีใครกินผักชีจริง ๆ
ผักชีมีกลิ่นเหม็นเวลาดม มันเป็นกลิ่นเหม็นที่ฉุนจมูก
ดังนั้น ชาวบ้านหลายคนในชนบทจึงเรียกมันว่า ‘หญ้าเหม็น’
แต่ผักชีมันอร่อยจริง ๆ นะ
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนผักชีมาหนึ่งกำเล็ก แล้วนำไปล้างน้ำจนสะอาด
“เจ้าหญ้าเหม็นนี้มันกินได้ด้วยหรือ ? ”
“ใส่ลงไปในอาหารแล้วมันจะทำให้อาหารเหม็นไหม ? ”
หลินเจียอินรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเจียงเสี่ยวไป๋ถึงกลับมาพร้อมหญ้าเหม็นหนึ่งกำ เธอจึงถามอย่างเป็นกังวล
“เมียจ๋า ผักชนิดนี้มีชื่อว่าผักชี มันช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้อาหาร อร่อยมากเลยนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มให้หลินเจียอิน คำพูดของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
หลังจากล้างผักชีจนสะอาดแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มหั่นเนื้อติดมันต่อ
แม้จะบอกว่ามันคือเนื้อติดมัน แต่อันที่จริงมันไม่ใช่มีแต่มันหมูอย่างเดียว แต่เป็นหมูสามชั้นที่มีมันบาง ๆ
เขาตั้งใจจะทำหมูตุ๋น
อันดับแรก เขาหั่นเนื้อหมูสามชั้นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 3 เซนติเมตรใส่ลงในกะละมัง จากนั้นเติมน้ำพอชุ่มและเกลืออีกเล็กน้อย แล้วนำมากรองเอาแต่น้ำ
ในเวลานี้ เนื้อกระต่ายในหม้อก็สุกแล้วเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ตักใส่หม้ออะลูมิเนียมใบเล็ก จากนั้นเขาก็ให้หลินเจียอินคีบถ่านจากในเตาใหญ่มาใส่เตาอั้งโล่ใบเล็ก แล้วนำหม้ออลูมิเนียมที่มีเนื้อกระต่ายมาตั้งตุ๋นต่อ
ชาวชนบทเรียกวิธีนี้ว่า “ตุ๋นจนน้ำแห้งก้นหม้อ”
วิธีการตุ๋นแบบนี้จะทำให้เข้าเนื้อ มีกลิ่นหอมเข้มข้นยิ่งขึ้น ยิ่งตุ๋นนานยิ่งทำให้รสชาติดี
เมนูต่อไป เจียงเสี่ยวไป๋จะเริ่มทำหมูตุ๋น
เมนูหมูตุ๋นเป็นเมนูที่เจียงเสี่ยวไป๋ชำนาญที่สุด แม้ว่าเครื่องเทศในมือของเขาจะมีไม่ครบ ทำให้เขาทำซอสสูตรลับไม่ได้ แต่เขายังมีเครื่องเทศ 3 หอมได้แก่โป้ยกั๊ก อบเชยและใบกระวาน อีกทั้งตอนนี้ก็มีซีอิ๊วและน้ำตาลอยู่แล้ว ฉะนั้นการจะทำหมูตุ๋นให้มีรสชาติอร่อยจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หลังจากเคี่ยวเครื่องปรุงทั้งหมดแล้ว การทำหมูตุ๋นค่อนข้างใช้เวลานาน ทำให้หนูน้อยรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เดินวนรอบหม้อไปหลายรอบ
ว่ากันว่า “หากไม่อยากกินของอร่อยคงไม่เกาะขอบกระทะรอ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าลูกน้อยหิวแล้ว เขายิ้มแล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อกระต่ายขึ้นมาจากหม้อ “มา เจ้าหญิงน้อยของพ่อ ช่วยพ่อชิมหน่อย”
“ได้ค่ะ”
หนูน้อยดีใจมาก เธอจึงกินเนื้อกระต่ายที่พ่อคีบให้อย่างเอร็ดอร่อย
ดูเหมือนการชิมชิ้นเดียวจะไม่พอ ดังนั้นเธอจึงกินอีกชิ้น
ขนาดหลินเจียอินที่ยืนอยู่ด้านข้างยังอดใจไม่ไหวจนต้องคีบขึ้นมาชิมเช่นกัน
“อร่อยมาก”
“อื้ม อร่อยมากจริงๆ”
สองแม่ลูกพากันชมไม่ขาดปาก
เมื่อได้รับการการันตีจากภรรยาและลูกสาว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยิ้มหน้าบานจนปากจะฉีกไปถึงใบหูอยู่แล้ว
ถ้าหากพวกเธอมีความสุข เขาก็มีความสุขเช่นกัน
ผู้ชายทำงานหนักก็เพื่อให้ภรรยาและลูกสบาย ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ ?
หมูตุ๋นเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงทำเนื้อผัดพริกอีกชาม สุดท้ายก็นำข้าวที่กรองน้ำออกหมดแล้วไปหุงในหม้ออีกรอบ
เขาใช้ไฟอ่อนหุง กว่าจะได้ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 7-8 นาที
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบชามออกมาสองชาม เขาตักเนื้อกระต่ายใส่ชามใหญ่ แล้วตักหมูตุ๋นใส่อีกชาม พลางพูดว่า “ผมทำเยอะ เดี๋ยวจะแบ่งไปให้พ่อกับแม่สักหน่อย ผมกลับมาก็กินข้าวกันได้แล้ว”
“อืม”
หลินเจียอินพยักหน้า
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เจียงเสี่ยวไป๋เอาแต่เที่ยวเตร่อยู่นอกบ้านจนทำให้ชีวิตครอบครัวต้องยุ่งเหยิง ปกติพ่อแม่สามีจะมาช่วยดูแลเธอและลูก เวลามีของกินอะไร เธอย่อมอยากนำไปให้พวกเขาอยู่แล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
หลินเจียอินมองตามแผ่นหลังของเจียงเสี่ยวไป๋ไป รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเป็นครั้งแรก
เจียงเสี่ยวไป๋ที่เป็นแบบนี้ช่างดีมากจริง ๆ
หวังว่าวันเวลาดี ๆ แบบนี้จะไม่ได้มีอยู่แค่สองสามวัน แต่ขอให้คงอยู่ตลอดไปด้วยเถิด
หลินเจียอินได้แต่คิดอยู่ในใจเงียบ ๆ
บ้านของเจียงไห่หยางอยู่ข้างบ้านเขานี้เอง ที่เจียงเสี่ยวไป๋แยกครอบครัวออกมาเพราะในบ้านมีสมาชิกเยอะแล้ว
เจียงไห่หยางและภรรยามีลูกด้วยกันทั้งหมด 6 คน
พี่ใหญ่เจียงเสี่ยวเยว่แต่งงานไปอยู่ต่างหมู่บ้าน เจียงเสี่ยวไป๋เป็นลูกคนรอง เจียงเสี่ยวเฟิงเป็นลูกคนที่สาม น้องสี่คือเจียงเสี่ยวชิง เพิ่งอายุ 17 ปี อายุห่างจากเจียงเสี่ยวเฟิง 6 ปี ตอนนี้กำลังเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนในเมืองชิงโจว น้องห้ามีชื่อว่าเจียงเสี่ยวเหลย อายุ 15 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส่วนน้องเล็กมีชื่อว่าเจียงเสี่ยวหยู อายุ 12 ปี เพิ่งขึ้นชั้นมัธยมต้น
เจียงเสี่ยวเฟิงไม่ได้แยกครอบครัวออกมา เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูเดินทางไปกลับจากที่เรียน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ที่บ้าน
ครอบครัวใหญ่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง
“เสี่ยวไป๋มีเรื่องชกต่อยกับนักเลงเฉิน ต่อไปนี้จะไม่มีปัญหาอะไรตามมาใช่ไหม” หวังซิ่วจวี๋พูดด้วยความกังวล
เพราะถึงอย่างไร นักเลงเฉินก็ไม่ใช่คนที่ควรจะมีเรื่องด้วย
“จะไปกลัวเขาทำไม ? ผมก็ตีไอ้นักเลงนั่นเหมือนกันนี่” เจียงเสี่ยวเฟิงพูดอย่างไม่ยี่หระ
เจียงไห่หยางพยักหน้า คนนอกมารังแกลูกชายของเขาถึงที่บ้าน เขาจะต้องออกโรงช่วยลูกชายแน่นอน เขาเอามือทุบโต๊ะแล้วพูดด้วยริมฝีปากที่แห้งกร้านว่า “แต่พ่อมักจะรู้สึกว่าเสี่ยวไป๋ในวันนี้ดูแปลกไป”
“อื้อ ๆ ”
เจียงเสี่ยวหยูพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเห็นฉากตอนพี่รองของเธอจัดการนักเลงแล้ว และรู้สึกว่าพี่รองไม่เคยดูจริงใจขนาดนี้มาก่อน เธอชอบพี่รองแบบนั้นจริง ๆ
“ผมพร้อมร่วมวงกับเขาเหมือนกัน”
เจียงเสี่ยวเหลยนั่งอยู่บนม้านั่งในขณะที่พลิกนิยายศิลปะการต่อสู้เล่มเก่าในมือ แล้วพูดแทรกขึ้น
เขาอ่านนิยายกำลังภายในเรื่อง ‘แปดเทพอสูรมังกรฟ้า’ มาหลายรอบแล้ว แต่เขาก็ยังสนุกกับการอ่านมันอยู่
“เด็กคนนี้จะอยากเข้าร่วมวงชกต่อยกับคนอื่นเขาไปทำไม ? ”
เจียงไห่หยางตำหนิลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์
เด็กคนนี้นิสัยป่าเถื่อนเหมือนเจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีผิด
เขากังวลจริง ๆ ว่าเจียงเสี่ยวเหลยจะกลายเป็นพวกนักเลงหัวไม้เหมือนกับเจียงเสี่ยวไป๋ ฉะนั้นเขาจึงเข้มงวดกับลูกชายคนนี้เป็นพิเศษ
เจียงเสี่ยวเหลยกำลังจะต่อปากต่อคำ แต่แล้วเขาก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อลอยมา
“หอมมากเลย ! ”
เขาไม่สนใจต่อปากต่อคำกับผู้เป็นพ่อแล้ว แต่กลับสูดกลิ่นหอมของเนื้อไปหลายฟอด
“หอมมากจริง ๆ บ้านไหนตุ๋นเนื้อกินในเวลานี้กันนะ ? ” หวังซิ่วจวี๋ได้กลิ่นเช่นกัน หญิงวัยกลางคนจึงเอ่ยด้วยความสงสัย
“หนูก็อยากกินเนื้อเหมือนกัน”
เจียงเสี่ยวหยูกลืนน้ำลายลงคอขณะที่พูด
ตั้งแต่ผ่านวันตรุษจีนมา ครอบครัวของเธอก็ไม่เคยได้กินเนื้ออีกเลย พอได้กลิ่นเนื้อตุ๋นลอยมา เธอจึงเริ่มหิวอีกแล้ว
“ผ่านไปสักสองสามวันค่อยไปเรียกลุงใหญ่กับพวกอาสามมาช่วยงาน แม่จะไปซื้อเนื้อที่ตลาดสัก 2 ชั่งมาทำอาหารให้ลูกกิน”
หวังซิ่วจวี๋พูดด้วยความสงสารขณะมองดูลูกสาวที่ซูบผอม
“อื้อ ดีจังเลย ในที่สุดก็จะได้กินเนื้อแล้ว”
เจียงเสี่ยวหยูตบมือ เธอแทบอยากจะให้พ่อกับแม่เรียกพวกลุงใหญ่ให้มาช่วยงานในวันพรุ่งนี้เลย
พูดถึงเรื่องมาช่วยงาน เจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงหารือกันว่าจะเรียกใครมา แล้วจะเรียกมาช่วยงานวันไหน
การขอให้ใครสักคนมาช่วยงาน ไม่ใช่ว่าจะพูดขอแล้วจะให้ใครมาเลยก็ได้
ขึ้นอยู่กับว่าใครว่างและมีเวลา ใครขยันและตั้งใจทำงานมากกว่ากัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่คุ้มที่จะทำ
แม้จะไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง แต่ก็ต้องเตรียมอาหารและเครื่องดื่มดี ๆ ไว้ให้
หลังจากพูดคุยกันสักพัก สุดท้ายเจียงไห่หยางตั้งใจจะเชิญคนมาช่วยงานในวันมะรืนนี้ และวันพรุ่งนี้เขาจะไปบอกกล่าวคนที่เขาจะให้มาช่วยงานก่อน
เพราะถึงอย่างไรก็ควรบอกให้เจ้าตัวรู้ล่วงหน้า จะได้เตรียมตัว
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากพูดคุยกันพอประมาณแล้ว หวังซิ่วจวี๋กำลังจะเตรียมเรียกเจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูเข้านอน
พรุ่งนี้ทั้งสองยังต้องไปโรงเรียน ไม่ควรนอนดึก
“ปัง ปัง ปัง”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอยู่สองสามที
“มืดค่ำขนาดนี้แล้ว ใครยังมาเคาะประตูอยู่อีก ? ”
เจียงไห่หยางบ่นแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
ทันทีที่เปิดประตู กลิ่นหอมของเนื้อตุ๋นก็โชยเข้ามาในบ้าน และพวกเขาก็เห็นร่างของเจียงเสี่ยวไป๋ยืนอยู่หน้าประตู
“เป็นแกเองหรือ ! ”
เจียงไห่หยางชะงักไปเล็กน้อย เพราะคนที่มาก็คือเจียงเสี่ยวไป๋
ที่สำคัญคือเขายังถือชามอยู่ในมือแต่ละข้าง อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมโชยออกมาจากชามทั้งสองใบนั้นอีกด้วย
พอได้กลิ่นเนื้อก็เดาได้เลยว่าบ้านไหนตุ๋นเนื้อกิน ?
เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมาจากบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงไห่หยางแทบไม่อยากจะเชื่อ
“พี่รอง”
“พี่รอง”
เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูได้กลิ่นหอมของอาหารจึงวิ่งมาที่หน้าประตูแล้วทักทายเจียงเสี่ยวไป๋