ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 160 :เอาโทรทัศน์กลับบ้าน
ตอนที่ 160 :เอาโทรทัศน์กลับบ้าน
มีสายมาจากเซี่ยงเฉียนจิ้น
“พี่เซี่ยง มีธุระอะไรหรือ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถาม
เซี่ยงเฉียนจิ้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันหาโทรทัศน์ตามที่นายขอได้แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก หลังจากสร้างบ้านหลังใหม่เสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องบันทึกเทป และเครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดนี้ล้วนได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาวของเซี่ยงเฉียนจิ้นทั้งนั้น
มีก็แต่โทรทัศน์เท่านั้นที่ตอนนี้ในชิงโจวยังไม่มีโทรทัศน์สี ขนาดโทรทัศน์ขาวดำขนาด 17 นิ้วยังหาซื้อไม่ได้ ที่เห็นจะมีขายก็มีแต่รุ่น 12 นิ้วเท่านั้น เจียงเสี่ยวไป๋คิดว่ามันเล็กเกินไปและอยากได้รุ่นที่ใหญ่กว่านี้ ดังนั้นที่ผ่านมาเขาจึงยังไม่ได้ซื้อมัน
“ใหญ่แค่ไหน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามอย่างมีคาดหวัง
เซี่ยงเฉียนจิ้นพูดว่า “17 นิ้ว ตอนนี้เราหาเครื่องที่ใหญ่ที่สุดได้เท่านี้”
แม้ว่าโทรทัศน์ขนาด 17 นิ้วจะไม่เป็นอย่างที่เขาอยากได้ แต่ในปี 1983 นี้ถือว่าค่อนข้างหายากมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณเขาและถามว่า “ตอนนี้พวกผมไปรับสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าได้เลยไหม ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นกล่าวว่า “ไม่ต้อง โทรทัศน์รุ่นนี้กำลังเป็นที่ต้องการ น้องสาวของฉันเก็บมันไว้ให้ที่โกดัง รอฉันที่ร้านนั่นแหละ แล้วฉันจะเอาไปส่งให้”
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
ไม่นานหลังจากนั้น เซี่ยงเฉียนจิ้นได้ขับรถบรรทุกคันเล็กเข้ามา
ทั้งสองย้ายกล่องกระดาษแข็งที่มีโทรทัศน์ไปที่รถจี๊ปเทียนจิง 212 ของเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงเสี่ยวไป๋หยิบเงินให้เซี่ยงเฉียนจิ้น แต่เขาปฏิเสธ “นายย้ายเข้าบ้านใหม่ ถือเสียว่านี่คือของขวัญแสดงความยินดีของฉัน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบพูดว่า “สิ่งนี้ผมรับไม่ได้ มันแพงเกินไป”
โทรทัศน์ขาวดำขนาด 17 นิ้ว ในปี 1983 มีราคาสูงถึง 780 หยวน
แม้แต่คนทำงานในเมืองก็ต้องออมเงินสักสองหรือสามปีก่อนจึงจะมีเงินพอจ่ายได้
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยากยอมรับของราคาแพงเช่นนี้
เซี่ยงเฉียนจิ้นกล่าวว่า “ตอนนั้นนายบอกฉันเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องชามกระดาษและถ้วยกระดาษแบบใช้แล้วทิ้ง หรือว่าสิ่งเหล่านั้นมูลค่าเทียบกับโทรทัศน์เครื่องนี้ไม่ได้เลย ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรอีก
ของสองสิ่งนี้เทียบกันไม่ได้อย่างแน่นอน
ปัจจุบัน ชามกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งและถ้วยกระดาษสร้างรายได้หลายแสนหยวนให้กับโรงพิมพ์ของสำนักข่าวรายวัน ในขณะที่โทรทัศน์เครื่องเดียวมีราคาเพียงไม่กี่ร้อยหยวน แถมยังเป็นสินค้าสิ้นเปลืองที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม
“อ้อ……งั้นขอบคุณครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจและขอบคุณเขาอีกครั้ง
เซี่ยงเฉียนจิ้นหัวเราะเสียงดัง “แบบนี้สิ เป็นพี่น้องกันไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้านแล้ว คงอยู่เป็นเพื่อนคุยพี่เซี่ยงไม่ได้แล้ว เดี๋ยวผมจะให้คนเตรียมกุ้งอบน้ำมันให้พี่เซี่ยงสองชุด เอาไปฝากให้พี่สะใภ้ชิม”
เซี่ยงเฉียนจิ้นมีความสุขมากและพูดว่า “คนที่รู้ใจฉันดีก็มีแต่นายนี่แหละ ของโปรดฉันเลย”
หลังจากที่เซี่ยงเฉียนจิ้นจากไป เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาหลินเจียอินและเจียงชานกลับไปที่เจียงวาน
“ป่าป๊า อะไรอยู่ในกล่องใหญ่นี้คะ ? ”
ขณะที่อยู่ในรถ เจียงชานมองดูกล่องใบใหญ่ข้างเธอ เธอถามอย่างสงสัยและไม่พอใจในคราวเดียวกัน
สาเหตุหลักคือ กล่องใบใหญ่นี้เข้ามาแทรกพื้นที่นั่งของเธอ ซึ่งบีบพื้นที่ในการเคลื่อนไหวของเธออย่างมาก ทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นอิสระเลย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “นี่คือโทรทัศน์ ! ”
“โทรทัศน์คืออะไรหรือคะ ? ” เจียงชานถามอย่างสงสัย เธอไม่เคยดูโทรทัศน์มาก่อนและไม่รู้ว่าโทรทัศน์คืออะไร
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกสงสารในใจ ในยุคของคนรุ่นหลัง เด็ก ๆ ที่อายุเท่าลูกสาวของเขาไม่เพียงแต่ได้ดูโทรทัศน์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงได้เล่นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเกมและของเล่นต่าง ๆ ทว่าเด็กที่เกิดในยุคนี้ได้สัมผัสแค่โคลน ไม้ และก้อนกรวด
ความล้าหลังของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและเศรษฐกิจได้จำกัดวิสัยทัศน์ของเด็กในยุคนี้ พวกเขาไม่เข้าใจโลกภายนอก และไม่สามารถสัมผัสกับความรู้และความคิดขั้นสูงเหล่านั้นได้
ของเล่นส่วนใหญ่ทำขึ้นเองและให้จินตนาการอย่างเต็มที่ เช่น ปืนของเล่น ปืนฉีดน้ำที่ทำจากท่อไม้ไผ่ ปืนกระสุนทำจากกระดาษ ปืนพกที่แกะสลักด้วยไม้ เป็นต้น ของเล่นทำเองเหล่านี้ก็สามารถทำให้เด็กในยุคนี้เล่นได้อย่างมีความสุข
เกมที่อยู่ในความทรงจำอันลึกซึ้งของเขาคือการกระโดดเชือก กลิ้งห่วง หมุนลูกข่าง เป่ากบ หมุนแท่งไม้ไผ่ และอื่น ๆ
ลูกหลานในยุคนี้มีฐานะยากจน แต่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ
และเป็นยุคที่พวกเขาได้เล่นและมีความสุขอย่างแท้จริง
ในยุคนี้ คนมักจะปล่อยให้ลูกหลานใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายและเต็มไปด้วยความรู้สึกถึงวัยหลังจากผ่านไปหลายปี
ขณะเดียวกัน ความล้าหลังของยุคนี้ยังหล่อหลอมศีลธรรมให้แก่เด็ก ๆ ทำให้พวกเขาต่อสู้อย่างกล้าหาญในกระแสการปฏิรูปที่ตามมา ผลักดันให้พวกเขายืนหยัดอยู่แถวหน้าอย่างกล้าหาญ และได้สร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ป่าป๊า หนูถามป่าป๊าอยู่นะ ? ”
“โทรทัศน์คืออะไร ? ”
เสียงของหนูน้อยขัดจังหวะความคิดของเจียงเสี่ยวไป๋ เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “ชานชาน หนูสามารถรับชมความสนุกบนโทรทัศน์ได้ และมีรายการโทรทัศน์ดี ๆ ในนั้น หนูสามารถเห็นผู้คนในนั้นและพวกเขาก็จะแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ให้หนูดู……”
“ผู้คนจะสามารถเข้าไปอยู่ในโทรทัศน์นี้ได้อย่างไรคะ ? ”
หนูน้อยกะพริบตาอย่างสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาอธิบายได้ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “รอกลับไปดูหลังจากถึงบ้านแล้ว เดี๋ยวหนูก็จะรู้เอง”
“ค่ะ ! ”
หนูน้อยพูดด้วยความคาดหวัง
รถจี๊ปออกจากถนนขรุขระและวิ่งได้อย่างราบรื่นบนถนนคอนกรีตกว้าง หลินเจียอินพูดอย่างชื่นชมว่า “คงจะดีมากถ้ามีถนนคอนกรีตแบบนี้ทุกเส้นทาง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “อีกเดี๋ยวมันก็จะเป็นแบบนี้หมดแล้ว”
ใช่แล้ว ในอนาคตไม่เพียงแต่จะมีถนนคอนกรีตทุกแห่งในประเทศเท่านั้น แต่จะมีทางด่วนและรถไฟความเร็วสูงด้วย
และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของโลก ทำให้ความปรารถนาของผู้คนยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ในตอนแรก ถนนคือสิ่งเดียวที่เราต้องการ การมีจักรยานสักคันก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว แต่ต่อมา เราจะพอใจกับมอเตอร์ไซค์ และเมื่อมีรถยนต์ เราก็จะไม่อยากนั่งมอเตอร์ไซค์อีกต่อไป
เมื่อได้ทุกสิ่งอย่างที่หวังไว้ ผู้คนมักจะคิดว่าตนสามารถพึงพอใจทุกอย่างที่ตนมีได้แล้ว แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็พบว่าความพึงพอใจนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไว้เพียงในใจเท่านั้น ในอนาคตพวกเขายังต้องการอีกหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ดี
แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเป็นคนที่อยู่มาสองชาติ มีความสุขุมรอบคอบและมีสติปัญญากว่าในยุคนี้ แต่เขารับรู้ได้จากความคิดของหลินเจียอินว่าเขาไม่มีทางหนีจากความวุ่นวายนี้ได้
เขาส่ายหัวแล้วยิ้มเจื่อน ช่างเถอะเถอะ คิดมากไปก็เหนื่อย
ตอนนี้เขาได้มีชีวิตใหม่แล้ว เขาควรใช้เวลาให้คุ้มค่ากับภรรยาและลูกสาวของเขา และปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามหลักของความเป็นจริง
หลินเจียอินสังเกตเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังเหม่อ จึงถามอย่างสงสัยว่า “คุณเป็นอะไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว “ไม่เป็นอะไร ผมกำลังคิดว่าความสุขคืออะไรและเราจะพึงพอใจกับมันได้อย่างไร ? ”
หลินเจียอินเอียงคอคิดบางอย่างอยู่นาน “ฉันคิดว่าชีวิตแบบนี้มีความสุขมากแล้ว”
“ฉันไปทำงาน กลับบ้าน และกินข้าวกับคุณทุกวัน ชีวิตแบบนี้มีความสุข และฉันรู้สึกสบายใจ”
“ได้เห็นธุรกิจในร้านกำลังเฟื่องฟู รู้สึกว่าอนาคตเต็มไปด้วยความหวัง”
ความคิดของเธอยังคงเรียบง่าย และเธอไม่มีความปรารถนาที่ฟุ่มเฟือย
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ผมก็รู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน ขอบคุณที่คุณและชานชานอยู่เคียงข้างผม ! ”
“ป่าป๊า หนูก็มีความสุขมากเหมือนกัน ! ”
จู่ ๆ หนูน้อยก็พูดแทรกขึ้นมา เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กัน ในรถจี๊ปเต็มไปด้วยความสุข
หลังจากกลับมาถึง พวกเขาลงจากรถก็เห็นผู้คนในเจียงวานกำลังเดินเล่นที่ถนนสร้างใหม่นี้
ถนนกว้างและเรียบนี้กลายเป็นสถานที่เดินเล่นยามว่างของผู้คนในเจียงวานไปแล้ว
“เสี่ยวไป๋กลับมาแล้วหรือ ? ”
เจียงไห่โจวทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ยกกล่องกระดาษแข็งขนาดใหญ่ออกมาจากรถ เขาจึงถามว่า “คืออะไรหรือ ? ต้องการให้อาช่วยไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังจะปฏิเสธ แต่เจียงชานพูดก่อน: “ปู่สี่ นี่คือโทรทัศน์ที่ปาป๊าซื้อค่ะ ! ”