ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 162 :คืนนี้ไม่กลับไปที่บ้านเก่า
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 162 :คืนนี้ไม่กลับไปที่บ้านเก่า
ตอนที่ 162 :คืนนี้ไม่กลับไปที่บ้านเก่า
เจียงเสี่ยวไป๋หันหลังเดินออกไปข้างนอก ซึ่งไม่มีใครสังเกตเห็นเขา
เห็นได้ชัดว่าละครโทรทัศน์มีความน่าดึงดูดขนาดไหน
“ต่อไปคงมีคนมาที่บ้านวันละหลายคนแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเหยเก แล้วเดินไปที่บ้านหลังเก่า
ตอนนี้กลับไปทำอาหารให้ภรรยาและลูกสาวของเขาก่อนดีกว่า
นี่เป็นครั้งแรกที่ภรรยาและลูกสาวของเขาได้ดูละครโทรทัศน์ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเธอแขวนท้องหิวเด็ดขาด !
ส่วนคนอื่นที่มานั่งดูละครโทรทัศน์อยู่เต็มลานบ้าน เขาไม่สนว่าคนพวกนั้นจะกินข้าวมาแล้วหรือยัง
“ทำไมถึงกลับมาคนเดียวล่ะ”
ทันทีที่เขาเดินไปที่ลานบ้าน เจียงไห่หยางก็เดินเข้ามาถามอย่างใจเย็น
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เจียอินและชานชานอยู่ที่บ้านหลังใหม่ครับ”
เจียงไห่หยางพยักหน้าและพูดว่า “บ้านหลังใหม่ของแกพร้อมเข้าอยู่แล้ว ว่าแต่แกวางแผนจะย้ายเข้าเมื่อไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมกำลังจะปรึกษาเรื่องนี้กับพ่ออยู่พอดี พ่ออยากย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ด้วยกันเมื่อไหร่ครับ ? ”
เจียงไห่หยางผงะเล็กน้อย และพูดว่า “นั่นเป็นบ้านใหม่ที่แกสร้างนะ จะให้ฉันย้ายเข้าไปอยู่ด้วยทำไม ? ”
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกสนใจข้อเสนอของเจียงเสี่ยวไป๋
แม้ว่าเขาและเจียงเสี่ยวไป๋จะเป็นพ่อลูกกัน แต่พวกเขาก็แยกกันอยู่นานแล้ว ตามธรรมเนียมในชนบท มันไม่เหมาะสมสำหรับเขาที่จะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ของเจียงเสี่ยวไป๋ เพราะบางทีอาจมีคนนินทาลับหลังเขาอยู่ก็ได้
เขาเป็นคนรักษาหน้าตัวเองเสียด้วยสิ !
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกได้ถึงความกังวลของเจียงไห่หยาง จึงพูดว่า “พ่อ ผมสร้างบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้เพราะอยากอยู่กับครอบครัวเราทั้งครอบครัว ถ้าพ่อและน้อง ๆ ไม่ย้ายไปอยู่ด้วยกัน ที่ผมทำมามันคงเปล่าประโยชน์ ! ”
เจียงไห่หยางยังคงลังเลและพูดว่า “ครอบครัวใหญ่ของเรามีคนมากเกินไป อีกอย่างเสี่ยวเฟิงก็แต่งงานแล้ว เพียงแต่พวกเขายังไม่ได้แยกบ้านอยู่ …… ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เสี่ยวเฟิงก็เป็นน้องชายของผมเหมือนกัน บ้านใหญ่โตขนาดนี้ ให้ครอบครัวใหญ่มาอยู่ร่วมกันไม่ดีตรงไหน ? ”
เจียงไห่หยางเงียบไปสักพัก เขายังไม่ตอบตกลงที่จะย้ายไปทันที เพียงบอกว่าจะหารือกับเจียงเสี่ยวเฟิงก่อนเท่านั้น
ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้
จริงอยู่ที่เขาคิดว่าการให้ครอบครัวใหญ่มาอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องดี แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเจียงเสี่ยวเฟิงด้วย
ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืด เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มทำอาหารเย็น
เขาต้องนำอาหารเย็นไปให้หลินเจียอินและเจียงชานที่บ้านหลังใหม่ เขาจึงทำเมนูง่าย ๆ โดยใช้หมูสามชั้นที่เขานำกลับมาทำข้าวผัดหมูพะโล้ ผัดกวางตุ้งใส่เต้าหู้ แล้วบรรจุอาหารสองชามไว้ด้วยกัน จากนั้นยกใส่ตะกร้าและออกจากบ้านหลังเก่าไป
เมื่อเขามาถึงลานบ้านหลังใหม่ เขาก็พบว่ามีผู้คนมาดูละครโทรทัศน์มากขึ้น สนามหญ้านั้นเนืองแน่นไปด้วยผู้ใหญ่และเด็ก แทบจะเดินผ่านเข้าไปไม่ได้
สถานการณ์นี้ไม่ต่างจากการฉายภาพยนตร์กลางแปลงในชนบทเลย !
สงสารเขาที่เป็นเจ้าของบ้าน หากต้องการเข้าไปในบ้านตัวเองต้องค่อย ๆ แทรกผู้คนที่กำลังนั่งดูละครทีละคน !
ในเวลานี้ ละครเรื่องจอมคนผงาดโลกที่ฉายไปก่อนหน้านี้จบแล้ว หลังจากเป็นรายงานข่าว ละครเรื่องถัดไปก็คือ Tiger Hill Trail
“เมียจ๋า ได้เวลากินข้าวแล้ว ! ”
หลังจากที่เขาแทรกผู้คนเข้าไปข้าง ๆ หลินเจียอินได้ในที่สุด เจียงเสี่ยวไป๋ก็สะกิดไหล่เธอแล้วกระซิบข้างหูเธอ
อ่า ?
ในขณะนั้นเองที่ หลินเจียอินละสายตาจากละครโทรทัศน์ และพูดอย่างเชื่องช้าว่า “คุณกลับไปทำอาหารมาแล้วหรือ ? ”
เมื่อข่าวออกอากาศก่อนหน้านี้ เธอสังเกตเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้อยู่ที่สนามหญ้า และคิดว่าเขาไปที่ห้องแล้ว เธอจึงไม่ได้สนใจอีก
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับไปทำอาหารที่บ้านมา
จากนั้น เธอก็รู้สึกตื้นตันใจต่อสามีของเธอมาก
เขาไม่ได้อยู่ดูละคร แต่กลับบ้านไปทำอาหารและเอามาให้เธอ สามีคนนี้ปฏิบัติต่อเธอดีมาก !
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋เรียกหลินเจียอินแล้ว เขาก็ไปเรียกเจียงชานด้วย
เจียงชานไม่ได้อยู่กับหลินเจียอิน เธออยู่ด้านหน้าพร้อมกับกลุ่มเด็ก ๆ ในเจียงวาน หูหย่งและเด็กคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอราวกับดวงดาวที่อยู่ล้อมรอบดวงจันทร์
เจียงเสี่ยวไป๋เดินไปข้าง ๆ เธอ “ชานชาน ออกมาหาพ่อก่อน”
เจียงชานกำลังดูละครโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่อ ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินที่เจียงเสี่ยวไป๋เรียก
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสะกิดเธอ หนูน้อยหันมาเห็นผู้เป็นพ่อจึงพูดด้วยความดีใจว่า “ป่าป๊า ละครสนุกมากเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ถึงกับกุมขมับตัวเอง
ที่นี่มีเด็กมากเกินไป หากเรียกลูกสาวกินข้าวต่อหน้าเด็กคนอื่นแบบนี้คงไม่ดีนัก ดังนั้น เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดอีกครั้งว่า “มา ลูกออกมาหาพ่อหน่อยสิ”
“อ้อ ! ”
เจียงชานตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ และตามเจียงเสี่ยวไป๋ออกมาจากฝูงชน
“ป่าป๊า เรียกหนูมาทำอะไรคะ ? ”
“หนูยังดูโทรทัศน์อยู่เลย ! ”
เจ้าตัวเล็กพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เจียงเสี่ยวไป๋พาเธอไปที่ห้องโถงด้านข้างแล้วพูดว่า “ไปกินข้าวก่อน กินเสร็จค่อยกลับไปดูโทรทัศน์”
“อ๊ะ หนูลืมไปว่าหนูยังไม่ได้กินข้าว ! ” เจ้าตัวเล็กอุทาน ตอนนี้เธอเพิ่งรู้สึกหิว
ทั้งสองเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง หลินเจียอินที่นั่งอยู่ด้านในกำลังเริ่มกินข้าวแล้ว
เธอยังไม่เคยกินข้าวผัดหมูพะโล้มาก่อน
เธอไม่คิดว่าหมูพะโล้ที่เธอขายจะอร่อยขนาดนี้เมื่อทำเป็นข้าวผัด
“หม่าม๊า หม่าม๊ากินอะไรอยู่หรือ ? ”
เมื่อเห็นว่าหลินเจียอินกินอย่างเอร็ดอร่อย เจ้าตัวเล็กจึงวิ่งไปถาม
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบข้าวผัดหมูพะโล้อีกชามออกมาจากตะกร้า เขาเปิดจานที่อยู่ด้านบนของชามแล้วส่งให้ลูกสาวของเขา “นี่คือข้าวผัดหมูพะโล้ รีบกินเร็วเข้า ก่อนที่มันจะเย็นแล้วไม่อร่อย ! ”
“ขอบคุณค่ะป่าป๊า ! ”
เจียงชานถือชามและพูดอย่างมีความสุข
หลังจากพูดจบ เธอก็หยิบช้อนขึ้นมากินเต็มคำ แล้วกลืนลงคอเหมือนแมวตะกละที่หิวโหยมานาน
“กินช้า ๆ ไม่มีใครแย่งหนูกินหรอก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัวแล้วพูดด้วยกลัวว่าลูกสาวของเขาจะสำลัก เขาอดคิดไม่ได้ว่าที่จริงเขาควรทำซุปมาด้วย
เจียงชานพูดทั้งที่ข้าวยังเต็มปากว่า “หนูจะกินให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้ไปดูโทรทัศน์ต่อ”
พอนึกถึงละคร ตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “ป่าป๊า หนูขอเอาข้าวไปกินด้วยระหว่างดูละครได้ไหมคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชานชาน ตรงนั้นมีหลายคนที่ไม่ได้กินข้าวมา หากหนูนั่งกินข้าวอยู่ที่นั่นคนเดียว มันสุภาพไหม ? ”
เจ้าตัวเล็กเอียงหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่หนูอยากกินไปด้วยดูไปด้วยจริง ๆ นะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “แต่นี่มันดูไม่ดีใช่ไหม ? ”
เจียงชานพยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีมารยาทค่ะ เพราะหูหย่งและคนอื่นคงจะหิวแน่นอนค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเอาความสุขของเราอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นได้ ในขณะเดียวกัน
เราต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมความปรารถนาของเรา กินเมื่อถึงเวลากิน อย่ามัวสนใจแต่จะดูละครจนลืมเรื่องที่ควรทำไปทั้งหมด”
“เข้าใจแล้วค่ะ ! ”
เจ้าตัวเล็กพูดขณะกินข้าวผัดหมูพะโล้ว่า “หนูจะกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปดูโทรทัศน์ ดังนั้นมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อหูหย่งและคนอื่นแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม ลูกสาวของเขาอาจไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดในตอนนี้มากนัก
แต่เพราะลูกสาวของเขายังเด็กอยู่ สิ่งเหล่านี้สามารถค่อย ๆ บอกเธอได้ เมื่อเธอโตขึ้น เธอก็จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ที่เขาบอกได้เอง
ไม่นานนัก เจ้าตัวเล็กก็กินอาหารเสร็จ เธอทิ้งชามและตะเกียบแล้วไปดูโทรทัศน์ต่อ
หลังจากที่หลินเจียอินกินเสร็จ เธอก็พูดว่า “วันนี้ดูเหมือนเราจะยังย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ไม่ได้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “การย้ายเข้าบ้านหลังใหม่เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น ตอนนี้เรามีข้าวของเครื่องใช้ครบทุกอย่างในบ้าน สามารถเข้าอยู่เลยก็ยังได้”
หลินเจียอินยังตั้งตารอที่จะย้ายเข้าอยู่บ้านหลังใหม่โดยเร็ว เธอพูดว่า “งั้นคืนนี้เราไม่กลับไปที่บ้านหลังเก่า แต่เราจะอยู่ที่นี่ดีไหม ? ”