ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 169 :งานเลี้ยงภายในครอบครัว
ตอนที่ 169 :งานเลี้ยงภายในครอบครัว
เมื่อถึงมื้อเย็น มีการจัดโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ 2 โต๊ะและโต๊ะสำหรับเด็ก 1 โต๊ะ
อาหารจานหลักในวันนี้คือกุ้งอบน้ำมัน วันนี้เจียงเสี่ยวไป๋ทำเยอะมาก เพียงพอสำหรับทุกคน
นอกจากนี้ เขายังซื้อขาหมูมาทำซุปขาหมูใส่สาหร่าย เนื้อผัดกระทะร้อน ไก่ต้มสับชิ้น ปลานึ่งซีอิ๊ว ซุปเป็ดโบราณ เคาหยก กระจับเขาควาย คากิพะโล้ ขาไก่ตุ๋นและผัดผักอีกสี่เมนู แต่ละโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารตระการตา
เครื่องดื่มของผู้ใหญ่มีทั้งเหล้าเหมาไถและเบียร์ซานเฉิง
ในยุคนี้ยังไม่มีเครื่องดื่มอะไรมากมาย อย่างโคคา-โคล่ายังมีขายหลังปี 1985 เท่านั้น ส่วนเป๊ปซี่ก็จำหน่ายหลังปี 1987 ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงทำน้ำแตงโมให้เด็ก ๆ แทน
เขายังทำหลอดจากก้านกกด้วย
“อาหารของอารองมีแต่เนื้อ ! ”
“ว้าว มีแต่ของอร่อยทั้งนั้นเลย ฉันจะกินเยอะ ๆ ”
“น้องชานชาน อาหารที่พ่อน้องชานชานทำอร่อยมาก”
“น้ำแตงโมอร่อยมาก ! ”
“……”
เด็ก ๆ ที่โต๊ะต่างก็มีความสุขมาก ขณะพูดคุยกันระหว่างทานอาหาร
“ถ้าอร่อยก็กินอีกสิ ! ”
เจียงชานพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะราวกับเจ้าของบ้านตัวน้อย
อืม เหมือนกับทุกครั้งที่เธอบอกว่าอาหารอร่อย ป่าป๊าก็มักจะพูดแบบนี้เสมอ ดังนั้นเมื่อลูกพี่ลูกน้องของเธอบอกว่าอร่อย เธอก็เลยบอกให้พวกเขากินเยอะ ๆ
อย่าว่าแต่เด็ก ๆ ที่ไม่เคยเห็นอาหารและเครื่องดื่มแสนอร่อยที่มากมายขนาดนี้มาก่อนเลย แม้แต่พวกผู้ใหญ่ มีใครบ้างที่เคยเห็นอาหารเต็มโต๊ะขนาดนี้ ?
“เสี่ยวไป๋ นายต้อนรับเราดีเกินไปแล้ว ทำไมถึงทำอาหารเยอะขนาดนี้ล่ะ แล้วจะกินหมดกันได้อย่างไร ! ”
“ใช่ เราเป็นคนในครอบครัวกัน ไม่ต้องทำอาหารมากมายขนาดนี้ก็ได้”
“มีทั้งเนื้อไก่ เนื้อเป็ด เนื้อปลา ขนาดช่วงตรุษจีนยังไม่ได้มีอาหารมากมายเท่านี้มาก่อน”
“เสี่ยวไป๋ ฝีมือการทำอาหารของนายสุดยอดไปเลย พ่อกับแม่ของนายเลยพลอยได้รับโชคไปด้วย”
“ใช่แล้ว ไห่หยาง ในบรรดาพี่น้องของเรา นายโชคดีที่สุดแล้ว”
“พูดอะไรน่ะ พวกเราต่างก็มาร่วมเพลิดเพลินกับอาหารมื้อนี้ไม่ใช่หรือ”
“ใช่ เสี่ยวไป๋สร้างบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ แม้เขาจะไม่ได้จัดงานเลี้ยงรวมเหล้า แต่เขาไม่ลืมญาติพี่น้องของตนเอง เขาตั้งใจเชิญพวกเรามากินมื้อเย็นที่บ้านของเขาโดยเฉพาะเลยนะ”
“……”
มีโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่สองโต๊ะ โต๊ะหนึ่งสำหรับนักดื่ม และอีกหนึ่งโต๊ะสำหรับผู้ไม่ดื่ม
พวกที่ไม่ดื่มก็กินอาหารเยอะหน่อย ส่วนพวกที่ดื่มก็ดื่มด้วยขณะกินข้าวไปด้วย
เฉินหยวนเฉาและเจียงไห่เทียนต่างก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน สมัยนี้พวกผู้ใหญ่บ้านมักจะต้องดื่มเพราะหน้าที่การงาน นอกจากนี้ พวกเขายังได้ดื่มเหล้าของดีอย่างเหล้าเหมาไถด้วย หลังจากที่มีคนเริ่มดื่มเหล้า ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“หยานเฉา มา มาดื่มกันเถอะ”
เจียงไห่เทียนยกแก้วขึ้นชวนดื่ม
ตามความจริง เฉินหยวนเฉาเป็นแขกเพียงคนเดียวที่โต๊ะนี้ เพราะเจียงไห่เทียน เจียงไห่หยาง เจียงไห่โป เจียงเสี่ยวจี๋ เจียงเสี่ยวโจว เจียงเสี่ยวไป๋และเจียงเสี่ยวเฟิงล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน และแน่นอนว่าผู้ที่ชวนดื่มจะต้องเป็นคนที่อายุมากสุด ดังนั้นเจียงไห่เทียนจึงเป็นคนเอ่ยชวน
“ลุงใหญ่ ผมต่างหากที่ต้องดื่มเคารพลุงก่อน ! ”
เฉินหยวนเฉายืนขึ้น เขายกแก้วขึ้นแล้วพูด
เจียงไห่เทียนยกมือขึ้นเพื่อหยุด แล้วพูดว่า “นั่งก่อนสิ เราไม่ใช่คนนอก พวกเราจะยืนดื่มกันไปทำไม ? ”
เฉินหยวนเฉาไม่มีทางเลือก นอกจากนั่งลงก่อน
เจียงไห่เทียนถึงกล่าวต่อ “ดูที่โต๊ะนี้สิ นอกจากเธอแล้ว มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนของตระกูลเจียง ดังนั้นนายจึงถือว่าเป็นแขก ฉันต้องดื่มให้นายก่อนสิ”
ขณะที่เจียงไห่เทียนพูดอยู่นั้น เขาก็เติมเหล้าเหมาไถเต็มแก้ว แล้วยกดื่มในอึกเดียว
เฉินหยวนเฉามองไปที่คนอีกเจ็ดคน พวกเขาทั้งเจ็ดคนล้วนเป็นคนของตระกูลเจียงทั้งนั้น มีแค่เขาคนเดียวที่ไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ในใจขึ้นมา
ดูจากสถานการณ์แล้ว เกรงว่าวันนี้คงจะได้ดื่มจนต้องนอนอยู่ใต้โต๊ะเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจียงไห่เทียนดื่มให้เขาแล้ว เขาจะปฏิเสธไม่ดื่มตอบไม่ได้ เขาจึงยกแก้วขึ้นแล้วดื่มเหล้าเหมาไถในรวดเดียวเช่นกัน
เมื่อคนอื่นดื่มให้ เราก็ต้องดื่มตอบ
นี่คือกฎ
เฉินหยวนเฉาหยิบขวดเหล้าขึ้นและเติมให้เจียงไห่เทียนก่อน จากนั้นจึงเติมแก้วของเขาเอง
“ลุงใหญ่ จอกนี้ผมดื่มให้ลุง ! ”
พูดจบ เขาก็ดื่มเหล้าจนหมดในอึกเดียว
เจียงไห่หยางยิ้มและดื่มกับเขา
เจียงไห่หยางตักเคาหยกให้ลูกเขยหนึ่งชิ้น เขาเลือกชิ้นที่ติดมันเยอะให้แล้วพูดว่า “กินอาหารกันก่อน”
หลังจากพูดจบ เขาก็คีบเคาหยกให้เจียงไห่เทียนและคนอื่นคนละชิ้นเช่นกัน
ทุกวันนี้ เมื่อแขกมากินข้าวด้วยกัน สิ่งที่พิเศษอย่างหนึ่งก็คือ การคีบอาหารให้
เจ้าบ้านกลัวแขกจะเขินไม่กล้าตักกิน จึงจะคอยคีบอาหารใส่ชามให้แขกเรื่อย ๆ และมักจะคีบเนื้อในเมนูอาหารให้
ราวกับว่าการปฏิบัติเช่นนี้เป็นการแสดงถึงความรู้สึกที่เจ้าของบ้านมีต่อแขกไปแล้ว
สำหรับแขก พวกเขามักจะแสร้งทำเป็นปฏิเสธสองสามคำ แล้วถึงรับมา
เมนูเคาหยกที่ทำโดยเจียงเสี่ยวไป๋นั้นมีไขมันเยอะ แต่ไม่เลี่ยน ทุกคนที่กินต่างบอกว่าอร่อย
เจียงไห่หยางดูมีความสุขเป็นพิเศษ เขาคีบกระจับให้ทุกคนต่อ
หลายคนไม่เคยกินกระจับมาก่อน แต่ในพื้นที่ชนบทช่วงทศวรรษ 1980-1990 กระจับเขาควายแทบจะเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้ในงานเลี้ยงมงคลและงานศพ
ลักษณะของเมนูนี้คล้ายหมูตุ๋นน้ำแดง แต่โดยทั่วไปหมูตุ๋นน้ำแดงจะหั่นหมูเป็นก้อนทรงสี่เหลี่ยมเหมือนไพ่นกกระจอก แต่กระจับนั้น ส่วนล่างจะค่อนข้างใหญ่ ส่วนบนมีลักษณะเหมือนเขาแหลม ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า ‘กระจับเขาควาย’
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อนำอาหารสองจานนี้ไปเสิร์ฟแล้ว ไม่นานก็จะหมดทันที
โชคดีที่เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าคนในยุคนี้ชอบดื่มพร้อมกินกับแกล้มไปด้วย เขาจึงเตรียมของแกล้มพวกนี้ไว้ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นเขาจึงรีบวางตะเกียบลงและเข้าครัวไปหยิบเคาหยกและกระจับเขาควายออกมา
หลังจากกินเมนูสองเมนูนี้ไปแล้ว พวกเขาก็เริ่มดื่มเหล้ากันอีกครั้ง
ทุกคนต่างดื่มให้กันไปมา กว่าจะรู้ตัวอีกที เหล้าเหมาไถได้หมดไปสองขวดแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงเปิดเหล้าอีกขวด
เจียงเสี่ยวจี๋ดื่มไม่ไหวแล้ว เขาจึงแสดงท่าทีว่าขอถอยก่อน และปฏิเสธที่จะดื่มต่อ
แต่เฉินหยวนเฉากล่าวว่า “จะได้อย่างไร นายต้องดื่มต่อสิ ! ”
ที่โต๊ะมีแปดคน และมีเขาคนเดียวที่ไม่ใช่คนในตระกูลเจียง เห็นได้ชัดว่าคนอื่นพยายามให้เขาดื่ม แต่สุดท้ายกลับมีคนขอถอนตัวเพราะคออ่อน
ช่างประจวบเหมาะเสียจริง
เจียงเสี่ยวจี๋กล่าวว่า “ฉันดื่มไม่ไหวแล้ว เรามาประลองกินเนื้อกันดีกว่า”
ทุกคนต่างพากันปรบมือ
การแข่งกินเมนูเนื้อถือเป็นเอกลักษณ์ของคนในยุคสมัยก่อนเช่นกัน
ในยุคนี้ คนมักจะไม่มีเนื้อสัตว์ให้กิน ในช่วงเทศกาลตรุษจีนหรือเมื่อมีแขกมาที่บ้านก็มักจะทำอาหารประเภทเนื้อบ้าง และจะมีการแข่งว่าใครจะกินเนื้อสัตว์ได้มากกว่ากัน
ตามแนวคิดของคนในสมัยนี้ ใครกินเนื้อได้เยอะ คนนั้นคือคนเก่ง
ตามความเข้าใจของผู้คน คนที่กินเนื้อสัตว์ได้มากนั้นก็คือคนมีความสามารถ !
ดังนั้น ในยุคนี้จึงมักมีคำกล่าวว่าคนที่กินเนื้อได้เยอะคือคนเก่ง หากกินได้เยอะจะถือว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงให้ตนเองอย่างหนึ่ง
เจียงเสี่ยวจี๋ดื่มไม่เก่ง แต่เขาตัวสูงใหญ่ กินจุ เขาเชื่อว่าตนเองสามารถกินเนื้อได้อย่างไม่จำกัด
เขายังใช้จุดแข็งของเขามาหลีกเลี่ยงจุดอ่อน
“กินเนื้อก็กินเนื้อ ใครกลัวล่ะ ? ”
เฉินหยวนเฉาเห็นด้วยทันที
ในหมู่บ้านของพวกเขา เขามีชื่อเสียงในเรื่องการกินเนื้อสัตว์เก่งด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดแล้วว่าเขาคนเดียวคงดื่มสู้สมาชิกเจ็ดคนในครอบครัวเจียงไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีคนชวนดื่มก็ต้องดื่มตอบด้วย แต่การกินเนื้อจะต่างคนต่างกินเท่านั้น ไม่มีใครเคารพใคร ค่อนข้างยุติธรรม
เจียงไห่หยางยืนขึ้นและคีบตีนหมูในหม้อไฟให้แต่พวกเขาคนละสามชิ้น ตอนนี้ในหม้อจึงเหลือแค่สาหร่ายทะเลเท่านั้น
“พวกนายกินกันก่อน เดี๋ยวฉันจะคอยคีบอาหารให้”
ถ้าแข่งดื่มเหล้า เจียงเสี่ยวไป๋ไม่แพ้ใครเลย
เพราะชาติที่แล้ว เขาได้พัฒนาความสามารถในการดื่มของเขา อีกทั้งย้อนกลับมาตอนนี้ เขายังหนุ่มยังแข็งแรง เขาสามารถดื่มเหล้าได้มากกว่าหนึ่งชั่งโดยไม่เมา
แต่การกินเนื้อสัตว์นั้นไม่ไหวจริง ๆ
เขาเคยใช้ชีวิตดี ๆ มาตลอดจนเอียนปลาเอียนเนื้อชิ้นใหญ่ ๆ แล้ว เขาจึงรีบหาโอกาสหนีจากสถานการณ์นี้อย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ นายไปเอาเมนูเนื้อมาเพิ่ม เดี๋ยวเราจะรอนาย”
เฉินหยวนเฉาจะไม่รู้ความคิดของเจียงเสี่ยวไป๋ได้อย่างไร เขาจึงพูดดักไว้ก่อน