ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 17 :หนูอยากรู้ความลับของป่าป๊ากับหม่าม๊า
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 17 :หนูอยากรู้ความลับของป่าป๊ากับหม่าม๊า
ตอนที่ 17 :หนูอยากรู้ความลับของป่าป๊ากับหม่าม๊า
“เสี่ยวเหลย เสี่ยวหยู”
เจียงเสี่ยวไป๋ทักทายน้อง ๆ ด้วยรอยยิ้มแล้วถึงได้หันไปพูดกับเจียงไห่หยาง “พ่อ ผมผัดเนื้อกระต่ายกับทำเมนูหมูตุ๋น ผมทำเยอะเลยแบ่งมาให้”
“แกไปเอาเงินจากไหนมาซื้อเนื้อ ? ”
แม้ว่าเนื้อจะหอมมาก แต่เจียงไห่หยางกลับยังไม่ยอมรับ ทว่าปั้นหน้าบึ้งตึงถามเขาแทน
เนื้อกระต่ายยังพอเข้าใจ เพราะหากโชคดีอาจจับได้ตามบนภูเขา แต่หมูตุ๋นนั้น หากไม่มีเงินก็อาจหาซื้อไม่ได้
สถานการณ์ในบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋เป็นอย่างไร ?
นังเลงฉินมาตามทวงหนี้ถึงบ้านขนาดนี้ เขายังมีเงินไปซื้อเนื้อกินอีกหรือ ?
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและอธิบายว่า “พ่อ ผมขึ้นเขาไปล่าสัตว์มา ได้ไก่ฟ้ากับกระต่ายป่ามา 2-3 ตัว ผมเก็บไว้กิน 1 ตัว แล้วขายที่เหลือไปถึงได้มีเงินมาซื้อเนื้อ”
เจียงไห่หยางตะลึงอีกครั้ง
ไอ้สารเลวคนนี้ไปล่าสัตว์บนภูเขาจริงหรือ ?
เขาไม่มีแม้แต่ปืนลูกซอง แล้วเขาจะล่าสัตว์ได้อย่างไร ?
เจียงไห่หยางเกิดความสงสัยอยู่ในใจ แต่เนื้อกระต่ายก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจะไม่เชื่อไม่ได้
เขาคงไม่ได้รอกระต่ายอย่างเงียบ ๆ แล้วมีกระต่ายวิ่งมาชนตาย จากนั้นเขาก็เก็บกระต่ายมาได้ใช่ไหม ?
“จริงหรือ ? ”
“จริงสิ ! ”
หลังจากถามคำตอบคำกับลูกชายไป สีหน้าของเจียงไห่หยางถึงได้ดีขึ้นมาก เขาพูดขึ้นว่า “เข้ามาเถอะ”
“ไม่ล่ะครับ ผมจะกลับบ้านไปกินข้าวกับเจียอินและชานชาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาใหม่” เจียงเสี่ยวไป๋พูด
“ได้สิ”
เจียงไห่หยางรับชามมาทั้งสองใบ แล้วพูดขึ้นว่า
“อือ มีเนื้อให้กินด้วย”
“หมูตุ๋นหอมมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋หันกลับก็ได้ยินเสียงน้องห้าและน้องหกพูดด้วยความตื่นเต้น
พอกลับมาถึงบ้าน หลินเจียอินได้เก็บของที่กองพะเนินไว้บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เธอย้ายเตาเล็กมาบนโต๊ะ เนื้อกระต่ายในหม้อกำลังร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว จานใส่หมูตุ๋นและหมูผัดพริกถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะเช่นกัน
“ป่าป๊ากลับมาแล้ว”
หนูน้อยที่เฝ้าอยู่ตรงโต๊ะอาหารเห็นเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาแล้วก็กระโดดโลดเต้นพลางโห่ร้องด้วยความดีใจ
หม่าม๊าบอกแล้วว่ารอให้ป่าป๊ากลับมาก่อนค่อยกินข้าว
หลินเจียอินออกมาหลังจากได้ยินเสียง ในมือถือชามข้าวสองชามเป็นชามใหญ่และชามเล็ก เม็ดข้าวสีขาวสะอาดปะปนอยู่กับเม็ดข้าวสีทองอ่อนที่มาจากก้นหม้อ ส่งกลิ่นหอมน่ากิน
เธอส่งชามใบใหญ่ให้เจียงเสี่ยวไป๋อย่างเงียบ ๆ และยื่นชามใบเล็กให้เจียงชาน จากนั้นหญิงสาวหันกลับไปที่ห้องครัวเพื่อตักของตัวเอง
“ขอบคุณนะที่รัก”
จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเขาขอบคุณมาจากด้านหลัง ทำให้ร่างของหลินเจียอินสั่นสะท้านไปเล็กน้อย
เมื่อก่อนเวลาที่เจียงเสี่ยวไป๋มากินข้าวที่บ้าน เธอก็จะเป็นคนยกอาหารมาให้เขา แต่เขาไม่เคยสนใจและไม่เคยขอบคุณเธอมาก่อน
แต่วันนี้เขากลับพูดขอบคุณเธอ
เธอรู้สึกได้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ในวันนี้แตกต่างออกไปจริง ๆ
และในตอนที่เธอหันกลับมา เธอก็เห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋เดินตามเข้ามาในครัว
“คุณไปตักข้าวเถอะ ผมจะไปเอาผักชีมาโรยหน้ากระต่ายผัด” เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างอบอุ่น
เขาซอยผักชีเป็นต้นเล็ก ๆ แล้วใส่ลงในหม้อ จากนั้นก็หั่นต้นหอมโรยหน้าไปอีกหนึ่งกำมือ
ทำให้กลิ่นหอมของอาหารแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋คีบเนื้อกระต่ายในหม้อให้หลินเจียอิน หลินเจียอินลองชิมดู ปรากฏว่ามันไม่มีกลิ่นเหม็นจริงด้วย ในทางตรงกันข้ามมันกลับขับให้เนื้อกระต่ายผัดมีกลิ่นหอมเข้มข้นยิ่งขึ้น
ที่แท้ผักชีมันมีกลิ่นหอมจริง ๆ ด้วย
“ป่าป๊า หนูอยากกินบ้าง”
เนื้อจากหม้อตั้งอยู่บนเตา เจียงชานน้อยตัวเล็กจึงเอื้อมตักไม่ถึง เมื่อเห็นป่าป๊าคีบอาหารให้หม่าม๊า หนูน้อยจึงมุ่ยปากและอ้อนขอบ้าง
“ได้สิ”
เจียงเสี่ยวไป๋คีบเนื้อกระต่ายชิ้นหนึ่งให้ลูกสาว แล้วคีบหมูตุ๋นอีกหนึ่งชิ้นในชามให้เธอ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มา พ่อคีบหมูตุ๋นให้ด้วย”
“ขอบคุณค่ะป่าป๊า”
หนูน้อยพูดอย่างดีใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างมีความสุข ไม่มีความรู้สึกแปลกหน้าต่อกันระหว่างเขากับลูกสาว หลังจากที่เขากลับมาเกิดใหม่นี้ ชานชานน้อยได้เริ่มยอมรับในตัวเขาแล้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองหลินเจียอิน แต่ก็เห็นว่าเธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอย่างเงียบ ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจ ภรรยายังคงไม่ยิ้มให้เขาเหมือนเคย
แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ควรรีบร้อนเกินไป
คงต้อง……ให้มันค่อยเป็นค่อยไปแล้วสินะ
“ข้าวเจ้าอร่อยจัง ! ”
“เนื้อกระต่ายอร่อยมาก ! ”
“หมูตุ๋นก็อร่อย ! ”
“หมูผัดพริกก็อร่อยเหมือนกัน ! ”
“อร่อยทุกอย่างเลย ! ”
หนูน้อยกินไปคำนึงก็เอ่ยชมหนึ่งที ตอนนี้เธอกินข้าวไว้เต็มปาก ทำให้พูดไม่ชัด
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ นะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม แววตาที่เขามองลูกสาวมันเปี่ยมไปด้วยความรัก เมื่อก่อนหนูน้อยไม่เคยได้กินอิ่มท้อง ทำให้เธอมีรูปร่างซูบผอม ขนาดผมยังกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เพราะขาดสารอาหาร
หลินเจียอินกลับไม่เหมือนกัน เธอพูดว่า “ค่อย ๆ กิน”
เธอกลัวว่าลูกสาวกินเร็วไปแล้วจะสำลัก
“อื้อ ๆ ”
หนูน้อยพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ยักจะรู้สึกว่ามือของเธอช้าลง เพราะเธอยังคงกินเร็วอยู่
เธอไม่เคยกินของอร่อยแบบนี้เลย จะกินช้า ๆ ได้ยังไง เธอยังอยากกินมากกว่านี้
หลินเจียอินส่ายหน้าและไม่ได้พูดอะไรต่อ
อืม เหตุผลหลัก ๆ ก็คือเธอเองก็ไม่ได้กินช้าเช่นกัน
มันไม่ใช่แค่ไม่ได้กินข้าวและเนื้อมานานแล้ว แต่อาหารที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำมันอร่อยมากเช่นกัน
“เขาทำอาหารเก่งขนาดนี้ ทำไมฉันไม่เคยเห็นเขาทำอาหารมาก่อนเลยนะ”
นึกถึงตอนแต่งงานกันแรก ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ดีต่อเธอมาก แต่เขาก็ยังไม่เคยทำอาหารให้เธอกินมาก่อน ในใจของเธอจึงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ความคิดในใจของหลินเจียอิน ถ้าเขารู้ เขาจะต้องบอกว่าเธอเข้าใจเขาผิดแล้วล่ะ
เพราะถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่ เขาจะปรุงอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร ?
ไม่นาน อาหารมื้อนี้ก็หมด ไม่ว่าจะเป็นในหม้อบนเตาหรือในชามล้วนถูกกินจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้กระทั่งน้ำซุปด้วยซ้ำ
“หนูกินอิ่มเกินไปแล้ว”
หนูน้อยลูบท้องที่ป่องแล้วพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ
หลินเจียอินพูดสอน “ใครให้ลูกกินเยอะขนาดนั้นล่ะ”
แต่เสียงของเธอแผ่วมาก เพราะเธอเองก็กินอิ่มจนแน่นท้องเหมือนกัน
ถ้าจะโทษต้องโทษเจียงเสี่ยวไป๋ ใครใช้ให้เขาทำอาหารอร่อยขนาดนี้กันล่ะ
เจียงเสี่ยวไป๋กินอิ่มแปล้เช่นกัน จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อลูกสาวอยากจะแข่งกินกับเขา เขาต้องทำให้ภรรยารักเห็นความสามารถในการกินของเขาให้ได้
นอกจากนี้ การได้กินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากับภรรยาและลูกสาวคือความฝันของเขาในชาติที่แล้วมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของเขาได้กินอาหารเย็นด้วยกันตั้งแต่เขากลับมาเกิดใหม่ กินมากเกินไปจะผิดอะไร ?
หลังจากกินเสร็จ หลินเจียอินลุกขึ้นจะไปล้างจาน แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับแย่งทำเอง “เมียจ๋า คุณพักผ่อนเถอะ ผมล้างเอง”
ห๊ะ !
หลินเจียอินตกตะลึงอีกครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋ทำอาหารแล้วไม่ว่า แต่นี่เขารีบไปล้างหม้อล้างจาน……นี่ยังใช่เขาจริง ๆ หรือเปล่า ?
ขณะที่เธอกำลังมึนงง เจียงเสี่ยวไป๋ได้รวบรวมหม้อ ชามและตะเกียบบนโต๊ะแล้วยกไปที่ห้องครัว
“พรุ่งนี้หนูอยากกินเนื้ออีก หนูอยากกินฝีมือของป่าป๊า”
หนูน้อยเดินตามหลังเจียงเสี่ยวไป๋เหมือนผู้ติดตามตัวน้อยแล้วพูดอย่างออดอ้อน
“ได้สิ พ่อจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เจ้าหญิงน้อยของพ่อทุกวันต่อจากนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มรับ
คำขอนี้ไม่มากเกินไปเลย
ทางที่ดีที่สุดคือภรรยาของเขาก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน แบบนั้นเขาจะต้องตั้งใจทำเพื่อให้พวกเธอพอใจแน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋เดินออกมาจากห้องครัวออย่างมีความสุขก็เห็นหลินเจียอินกำลังจับมือชานชาน ทั้งสองกำลังเดินเล่นในลานบ้านก็เดาว่าพวกเธอน่าจะกำลังเดินย่อย
“เมียจ๋า เข้ามาสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยืนยิ้มกวักมือเรียกอยู่ตรงประตู
“มีอะไร ? ”
หลินเจียอินถามโดยไม่รู้ตัว
เธอยังไม่อยากเข้าห้องนอนเร็วเกินไป เธอยังอยากเดินย่อยอีกสักพัก
“เรื่องดีน่ะ คุณรีบเข้ามาสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“คุณจะไปมีเรื่องดี ๆ อะไรได้ ? ”
หลินเจียอินพึมพำบางอย่าง เธอปล่อยมือลูกสาวแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
ป่าป๊าบอกว่ามีเรื่องดี ส่วนหม่าม๊าก็เดินเข้าห้องโดยไม่พาเธอไปด้วย
พวกเขามีความลับอะไรกันนะ ?
หนูน้อยวิ่งตามเข้าไปอย่างไม่พอใจ
“ป่าป๊า อุ้มหน่อย”
หลังจากเข้าบ้านแล้ว หนูน้อยก็วิ่งไปหาป่าป๊า เธอกางแขนออกแล้วเงยหน้ามองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างน่ารัก
ลูกสาวเป็นฝ่ายทำตัวน่ารักและอ้อนให้อุ้มแบบนี้
ใครจะไปห้ามใจไหว ?
เจียงเสี่ยวไป๋ใจจะละลาย เขาโน้มตัวลงไปอุ้มลูกสาวอย่างมีความสุข
หนูน้อยโผเข้าหาอ้อมกอดของเจียงเสี่ยวไป๋พร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจ
‘เฮอะ ๆ หนูตัวติดหนึบกับป่าป๊าแล้ว ความลับระหว่างป่าป๊ากับหม่าม๊า หนีหนูไม่พ้นหรอก’