ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 170 :กลางคืนมีเรื่องเซอร์ไพรส์
ตอนที่ 170 :กลางคืนมีเรื่องเซอร์ไพรส์
เฉินหยวนเฉากล่าวเช่นนั้น แผนของเจียงเสี่ยวไป๋จึงล้มเหลว ดังนั้นเขาจึงต้องยกหม้อไฟไปในครัวด้วยความหงุดหงิด ตักเนื้ออีกหม้อออกมาและกลับเข้าร่วมทีมแข่งกินเนื้อ
ชายร่างใหญ่แปดคนได้ตีนหมูไปคนละชิ้น นอกจากนี้ยังมีเนื้อแฮม 2 จาน เคาหยก 3 จาน กระจับเขาควาย 3 จาน และเนื้อล่าเถียวอีก 2 จาน
หากอยู่ในยุคหลัง การกินในปริมาณนี้มันน่าเหลือเชื่อมาก
แต่ผู้คนในยุคปี 1980-1990 ดื่มกินกันเก่งมาก
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เจียงไห่หยาง เจียงไห่โป เจียงเสี่ยวโจว และเจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มกินต่อไม่ไหวแล้ว
เพราะพวกเขากินเนื้อไปเยอะมาก
“กินต่อไม่ไหวแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวโจวเป็นคนแรกที่ขอยอมแพ้ เขาพูดว่า “พี่หยวนเฉา ฉันยัดเนื้อเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว ฉันยอมแพ้”
เมื่อเฉินหยวนเฉากำลังจะคีบเนื้อให้เจียงเสี่ยวโจวอีก เจียงเสี่ยวโจวก็หยิบชามของตัวเองขึ้นมากอดไว้แน่น ไม่ยอมให้ใครคีบเนื้อใส่ให้อีกแล้ว
“ไม่ได้ ! ”
เฉินหยวนเฉาไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ “ผู้ชายจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไร ? ”
“ฉันให้นายกินเนื้อสัตว์ ไม่ได้บอกให้นายดื่มเหล้าซะหน่อย ! ”
ขณะที่เฉินหยวนเฉาพูด เขาก็ใช้ตะเกียบคีบกระจับเขาควายขึ้นมา แล้วลุกเดินไปข้าง ๆ เจียงเสี่ยวโจว บังคับให้เขาเปิดชามออก
“รีบรับมันไปเร็ว ๆ มัวยึกยัก เดี๋ยวก็ตกพื้นเสียของเอาหรอก”
เจียงไห่หยางพูดจากด้านข้าง
ในฐานะเจ้าบ้าน ยิ่งแขกมีความสุขมากเท่าไร เขาก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น อีกทั้งยังรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นด้วย ดังนั้นเขาย่อมไม่ยอมปล่อยเจียงเสี่ยวโจวไปง่าย ๆ
เจียงเสี่ยวโจวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมรับมัน
เขามองเจียงเสี่ยวจี๋ด้วยใบหน้าขมขื่น “พี่ พี่กินเนื้อชิ้นนี้แทนฉันหน่อยสิ”
สรุปง่าย ๆ ก็คือ เขาต้องการให้เจียงเสี่ยวจี๋ช่วยกิน
แม้ว่าเจียงเสี่ยวจี๋จะกินเนื้อสัตว์ได้เก่งมาก แต่วันนี้เขากินมากพอแล้ว ถ้าให้กินอีก เขากินไม่ไหวจริง ๆ
แต่เขารู้ว่าน้องชายกินเนื้อสัตว์ได้ไม่จุเท่าเขา ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับ
เจียงเสี่ยวโจวดีใจมาก เขารีบคีบเนื้อในชามให้เจียงเสี่ยวจี๋ทันที
เฉินหยวนเฉากลับไม่ยอม
ตอนทุกคนชวนฉันดื่ม ฉันปฏิเสธไม่ได้ พอมาตอนนี้จะหาคนกินแทน อันนี้ฉันยอมไม่ได้จริง ๆ
“พี่เสี่ยวจี๋ ถ้าพี่กินเนื้อแทนเสี่ยวโจว อย่างนั้นก็ต้องกินเพิ่มเป็น 2 ชิ้น”
เขาอายุมากกว่าเจียงเสี่ยวโจว แต่อายุน้อยกว่าเจียงเสี่ยวจี๋ ดังนั้นเขาจึงเรียกเจียงเสี่ยวจี๋ว่าพี่ และเรียกชื่อเจียงเสี่ยวโจวโดยตรง
ในเมื่อยอมกินเนื้อแทนคนอื่น ฉะนั้นก็ต้องเพิ่มปริมาณการกิน นี่คือกฎเช่นกัน
“งั้นก็เพิ่มอีก 2 ชิ้น ! ”
เขารู้กฎทั้งหมด และเป็นเพราะเขารับปากว่าจะกินแทนน้องชายแล้ว เจียงเสี่ยวจี๋ไม่ปฏิเสธ และเริ่มคีบกระจับเขาควายมาใส่ชามของของเขา 3 ชิ้น
2 ชิ้นแรกเป็นการลงโทษ ส่วนอีกหนึ่งชิ้นเป็นส่วนที่เขาต้องกิน
เหตุผลที่เขาคีบเองคือ เขาจะได้เลือกชิ้นที่เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นี่ก็เป็นความฉลาดในตัวเขาด้วย
ไม่อย่างนั้น ถ้าให้เฉินหยวนเฉาเลือก เขาจะต้องเลือกชิ้นใหญ่ที่สุดให้ แบบนั้นจะยิ่งทำให้เขาเสียเปรียบ
เฉินหยวนเฉาไม่ได้พูดอะไร และยังคงคีบเนื้อให้คนอื่นต่อไป
เจียงเสี่ยวไป๋อยากปฏิเสธเช่นกัน แต่เขาไม่รู้จะหาใครมากินแทน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน
“พี่เขย ผมกินไม่ไหวแล้วจริง ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มร้องขอความเมตตาโดยพูดว่า “ให้ผมดื่มแทนได้ไหม ! พวกพี่กินเนื้อ 3 ชิ้น ผมดื่มเหล้า 1 แก้ว”
เฉินหยวนเฉากล่าวว่า “นายกินเนื้อ 3 ชิ้น ฉันดื่ม 1 แก้ว ! ”
เจียงเสี่ยวจี๋ยังกล่าวอีกว่า “เนื้อ 3 ชิ้นต่อเหล้า 1 แก้วไม่ได้ ถ้าพี่ไม่กินเนื้อ งั้นพวกฉันจะกินเนื้อ 1 ชิ้น พี่ดื่มเหล้า 1 แก้ว”
“แบบนั้นได้ ! ” เฉินหยวนเฉาลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบตกลง
ถ้าให้เลือกระหว่างกินเนื้อกับดื่มเหล้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยังยืนยันที่จะเลือกดื่ม
เจียงไห่หยางและเจียงไห่โปเลือกดื่มเช่นกัน มีเพียงเจียงเสี่ยวจี๋ เจียงไห่เทียน และเจียงเสี่ยวเฟิงเท่านั้นที่ยังคงยืนกรานที่จะกินเนื้อสัตว์
งั้นก็แข่งขันกันต่อไป
มื้อเย็นนี้ พวกเขาดื่มกินกันนานกว่า 3 ชั่วโมง ไม่รู้ว่าพวกเขากินเนื้อไปมากแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ พวกเขาดื่มเหมาไถไป 6 ขวดจนคอพับคออ่อนกันแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงมีสติดี เขาเห็นบรรยากาศนี้จึงอดยิ้มไม่ได้
การกินแบบนี้ถือเป็นการฆ่าศัตรูและทำร้ายตัวเองไปในคราวเดียวกัน สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครต่างก็เมาคอพับคออ่อนทั้งนั้น
ทว่ามันคือเอกลักษณ์ของคนในยุคนี้
แน่นอนว่าเขากลับมาเกิดใหม่ เขาจะต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ไม่ควรทำตัวแปลกแยกเกินไป
อีกอย่างความรู้สึกแบบนี้มันดีเหมือนกัน
ในชาติที่แล้วของเขา เขาทำได้เพียงนึกถึงวันเวลาในอดีต ในยุคสมัยนั้นมีเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น
แต่การได้กลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ ทำให้เขาสามารถหวนนึกถึงความทรงจำในอดีตอีกครั้ง เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร ?
หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋มีสติขึ้นมาก
เขากลับมาที่ห้องนั่งเล่น เฉินหยวนเฉากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอียงหัวพิงเก้าอี้และนอนกรนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เจียงเสี่ยวโจวและเจียงเสี่ยวเฟิงก็เช่นเดียวกัน
แต่คนมีอายุอย่างเจียงไห่เทียน เจียงไห่หยาง และเจียงไห่โปยังไม่ล้ม
อาจเป็นเพราะขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าขิงอ่อน
เจียงเสี่ยวจี๋ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน ในบรรดาคนหนุ่มเหลือเพียงแค่เขาและเจียงเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่ไม่ถูกล้มด้วยความเมา
“เสี่ยวไป๋ มีไพ่เจาหูอยู่ในบ้านหรือเปล่า ? ”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เจียงไห่หยางและพี่น้องของเขานึกอยากเล่นไพ่เจาหูขึ้นมา
ไพ่เจาหูเป็นไพ่ยอดนิยมในท้องถิ่น ตัวไพ่เป็นทรงยาว ไม่เหมือนไพ่ป๊อก ด้านบนเขียนตัวอักษรพู่กันจีนที่คนทั่วไปไม่รู้จัก แต่ที่เขียนไว้มีเนื้อความว่า: 上大人 (ท่านนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่), 邱乙己 (นามว่าข่งชิว: *ชิว คือนามเดิมของขงจื๊อ), 化三千(สอนลูกศิษย์สามพันคน), 七十贤 (กลายเป็นบัณฑิตเลื่องชื่อ 70 คน), 尔小孙 (เหล่าศิษย์น้อย), 八九子(ทั้งหลาย), 佳作仁 (ต้องเปี่ยมไปด้วยเมตตา), 可之礼 (มีจรรยามารยาท)
ว่ากันว่าถ้อยคำบนไพ่คือการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ของขงจื๊อ แม้จะไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีมาพิสูจน์ ทว่าความหมายของมันสื่อความเช่นนั้น
คำว่า ‘ท่านนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่’ ก็คือ ‘ขงจื๊อ’ ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่า ‘นักปราชญ์ชิวผู้ยิ่งใหญ่’ ขงจื๊อมีลูกศิษย์ในสำนักร่วมสามพันคน มีลูกศิษย์ 70 คนที่ร่ำเรียนกลายเป็นผู้มีความรู้และคุณธรรมสูงส่ง และสองประโยคท้ายที่ว่า ‘ต้องเปี่ยมไปด้วยเมตตา’ และ ‘มีจรรยามารยาท’ คือคุณธรรมประจำของลูกศิษย์ขงจื๊อ
แต่คนที่เล่นไพ่ประเภทนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนมีอายุ คนเฒ่าคนแก่ที่ไม่รู้หนังสือ ส่วนคนหนุ่มสาวที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่รู้จักคำศัพท์บนไพ่
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าเจียงไห่หยางชอบเล่นไพ่เจาหู ดังนั้นเขาจึงซื้อไว้
เขาจึงไปหยิบไพ่เจาหูออกมา แล้วพูดว่า “ลุงใหญ่ พ่อ อาสาม พวกพ่อมาเล่นไพ่ที่ห้องนี้กันเถอะ”
ภายในเรือนสี่ประสานของเขามีห้องอยู่หลายห้อง ตอนแรกที่เขาออกแบบ เขาได้ออกแบบห้องเล่นหมากรุกเล่นไพ่ไว้โดยเฉพาะ ด้านในมีทั้งโต๊ะและเก้าอี้เตรียมพร้อมไว้อย่างดี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจัดสถานที่ห้องอื่นให้เปลืองแรง
“ยอดเยี่ยม ! ”
เจียงไห่เทียนเห็นด้วย เขาหยิบกาน้ำชาขึ้นมาแล้วเดินตามเจียงเสี่ยวไป๋ไปในห้อง
เมื่อเห็นพวกเขาดื่มหนักกันมาก่อนหน้านี้ เจียงเสี่ยวไป๋กังวลจริง ๆ ว่าพวกเขาจะยังจำตัวอักษรบนไพ่ได้หรือไม่
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมากไป เพราะชายชราสามคนได้เดินไปนั่งที่โต๊ะไพ่และเริ่มเล่นไพ่กันอย่างจริงจัง ถึงขั้นที่เจียงไห่หยางสามารถเซี่ยวหูเจียงไห่โปได้
‘เซี่ยวหู’ ที่ว่านี้คือการจับพิรุธไพ่ของฝ่ายตรงข้าม แต่เนื่องจากกฎของไพ่เจาหูซับซ้อนเกินไป เขาจึงไม่ขออธิบายส่วนนี้แล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋เฝ้าดูอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงออกไปจากห้อง
“ทำไมนายถึงให้เขาดื่มมากขนาดนี้ ? ”
ในห้องนั่งเล่น เจียงเสี่ยวเยว่ พี่สาวคนโตเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋และเริ่มบ่นน้องชาย
“พวกเขาดื่มสนุกกันไปหน่อย ดังนั้นจึงดื่มเยอะ”
ไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายให้พี่สาวของเขาเข้าใจ เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “ผมจะช่วยพาพี่เขยไปนอนบนเตียงก่อน ! ”
เจียงเสี่ยวเยว่เหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ พี่พาไปเอง นายเองก็ดื่มไปไม่น้อยเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม พี่สาวก็คือพี่สาว ที่เธอบ่นในตอนแรกเป็นเพราะเธอแค่ต้องการตักเตือนเท่านั้น สุดท้ายคำพูดของเธอล้วนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อห่วงเขานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ชายร่างใหญ่อย่างเฉินหยวนเฉาเมามากจนเจียงเสี่ยวเยว่แบกไม่ไหว สุดท้ายสองพี่น้องจึงต้องช่วยกันประคองเขาไปนอนที่ห้องพักด้วยกัน
หลังจากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋จึงช่วยพาเจียงเสี่ยวโจวและเจียงเสี่ยวเฟิงเข้าห้องไปนอน เจียงเสี่ยวจี๋ ยังมีสติดีอยู่ เขาเดินโซเซกลับบ้านพร้อมกับภรรยาและลูกทั้งสองคนของเขา
จ้าวเต๋อหรงกำลังจะกลับบ้านตัวเอง เจียงเสี่ยวไป๋จึงชวนให้พวกเธอค้างที่นี่ “ป้าสะใภ้ คาดว่าพวกลุงใหญ่คงจะเล่นไพ่กันอีกนาน พี่เสี่ยวโจวก็เมามากแล้ว พี่หงอิงก็ไม่อยู่ด้วย ดังนั้นป้าอย่าเดินกลับเลยครับ พาเสี่ยวเสียนและเสี่ยวฮุ่ยค้างที่นี่เถอะ”
“ตกลง งั้นป้าขอพักที่นี่หนึ่งคืนแล้วกัน”
จ้าวเต๋อหรงคิดอยู่พักหนึ่งจึงเห็นด้วยและบอกให้เสี่ยวฮุ่ยและเสี่ยวเสียนไปล้างหน้าล้างเท้าเตรียมเข้านอน
ในยุคนี้ คนในชนบทไม่ได้อาบน้ำทุกเย็นเหมือนคนรุ่นหลัง โดยทั่วไปพวกเขาจะแค่ล้างหน้าล้างเท้าก่อนเข้านอนเท่านั้น
หลินเจียอินยกอ่างน้ำมาให้
สิ่งที่สะดวกที่สุดในบ้านหลังใหม่คือมีน้ำร้อนให้ใช้ แม้ว่าจะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นแบบติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ขาย แต่หลักการของเครื่องทำน้ำอุ่นโซล่าเซลล์ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เจียงเสี่ยวไป๋สามารถทำเองได้ ดังนั้นบ้านหลังใหม่จึงมีน้ำร้อนพร้อมใช้ตลอด 24 ชั่วโมง
ในตอนที่สร้างระบบนี้ จวงปี้เฉิงยังรู้สึกทึ่งไปพักใหญ่
เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างขึ้นเองนั้นมีระบบแยกท่อน้ำร้อนและน้ำเย็นออกจากกัน โดยใช้ก๊าซสำรองในท่อที่ต่อจากบ่อก๊าซชีวภาพผลิตกระแสไฟเข้าไปทำความร้อนให้น้ำ ซึ่งระบบพวกนี้ทำให้เขาตกตะลึงไม่น้อย
ในสายตาของเขา เจียงเสี่ยวไป๋เป็นยอดอัจฉริยะ
ครั้งนี้เขารับงานสร้างบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ ทำให้เขาเรียนรู้อะไรหลายอย่าง
ดังนั้น ในช่วงเก็บรายละเอียดงานขั้นสุดท้าย เขาถึงได้ยืนกรานว่าจะเป็นคนคุมงานเองทั้งหมด
……
กลับมาที่ปัจจุบัน
การตักน้ำให้แขกค้างคืนนั้นจะต้องมีน้ำหนึ่งอ่างและอ่างเปล่าสองใบเสมอ เพราะหลังจากที่แขกล้างหน้าแล้ว แขกจะเทน้ำลงในอ่างแช่เท้าแล้วล้างเท้าต่อ
โดยทั่วไป หากผู้ใหญ่ที่มีเด็กมาด้วย พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหาอ่างน้ำให้ทุกคน แค่แบ่งกันใช้ก็ได้
หลังจากที่แขกล้างเท้าแล้ว เจ้าบ้านก็ต้องเตรียมรองเท้าแตะไว้ให้ โชคดีที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อรองเท้าแตะไว้หลายขนาดทั้งของผู้ใหญ่และของเด็ก เมื่อจ้าวเต๋อหรงกำลังเช็ดเท้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็รีบเอาน้ำล้างเท้าไปเททิ้ง
นี่ถือเป็นลักษณะเด่นของยุคนี้เช่นกัน พวกเขาจะดูแลแขกอย่างพิถีพิถัน
หลังจากที่จ้าวเต๋อหรงล้างหน้าเสร็จ เขาก็ให้เจียงเสี่ยวเยว่ พี่สาวคนโตของเขาล้างหน้าล้างเท้าต่อ นอกจากนี้ยังรวมถึงเจียงเสี่ยวผิงและเจียงเสี่ยวอัน ลูกทั้งสองคนของเจียงไห่โปอีกด้วย
“พี่เสี่ยวไป๋ เดี๋ยวพวกเราไปตักน้ำเอง ! ”
ทั้งเจียงเสี่ยวผิงและเจียงเสี่ยวอันเป็นเด็กโตแล้ว พวกเขาเคารพนับถือเจียงเสี่ยวไป๋มาก แม้ว่าพวกเขาจะมาที่นี่ในฐานะแขก พวกเขาก็ไม่กล้าให้เจียงเสี่ยวไป๋ไปตักน้ำให้พวกเขา ทั้งสองจึงอาสาไปที่ห้องน้ำเพื่อตักน้ำมาเพิ่ม
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและไม่ห้ามพวกเขาเช่นเดียวกัน
หลังจากที่ทุกคนล้างหน้าล้างเท้าและเข้ามากันจนครบแล้ว ผ่านไปสักพัก เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มมึนด้วยฤทธิ์เหล้า เขาจึงเดินกลับไปที่ห้องนอนด้วยอาการมึน
ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่ แต่ค่อนข้างหรี่
ตอนที่เขาสร้างบ้าน เขาไม่ได้ซื้อสวิตซ์ควบคุม แต่ดัดแปลงสวิตซ์ขึ้นมาเอง
“คุณมาแล้วหรือ ? ”
แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเดินเข้ามาในห้องเบามาก แต่ก็ยังทำให้หลินเจียอินสะดุ้ง เธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วเอ่ยถามเขา
“ขอโทษที่ทำให้คุณตื่น”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยความรู้สึกผิด เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาไม่เห็นเจ้าตัวเล็กบนเตียง ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ชานชานอยู่ที่ไหน ? ”
“แม่บอกให้ลูกไปนอนกับเจียงถิงแล้ว ! ” หลินเจียอินพูดเบา ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างดีใจ
ในโลกนี้ไม่มีใครดีไปกว่าแม่อีกแล้ว และลูกก็เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าของแม่ ตอนที่เขาและภรรยากำลังทำอาหาร แม่ของเขาบอกว่าอยากให้เขาและหลินเจียอินมีลูกอีกคน คืนนี้แม่ก็เลยพาเจ้าตัวเล็กออกไปนอนอีกห้องเพื่อช่วยเปิดทางให้เขา
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าตัวเล็กนอนคนเดียวในห้องส่วนตัวของเธอ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
ผลคือทันทีที่แม่ของเขาลงมือ มันก็สำเร็จทันที
“เมียจ๋า คุณรอผมแป๊บนะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างตื่นเต้น เขารีบวิ่งเข้าห้องน้ำและอาบน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมทำภารกิจสำคัญของเขาในค่ำคืนนี้……