ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 173 :หลินเจียอินกลับบ้านเกิด
ตอนที่ 173 :หลินเจียอินกลับบ้านเกิด
“ทำไมกลับมาเร็วจัง ไปบ้านพี่เขยไม่ใช่หรือ ? ”
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาเร็ว หลินเจียอินจึงได้ถามออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมไปส่งแล้วก็กลับเลย ไม่ได้นั่งคุยธุระอะไรกันต่อ ผมแค่บอกให้เขารอเงินอีก 2-3 วัน แล้วผมจะไปคุยรายละเอียดกับเขาอีกที”
“แล้วรีบกลับมาแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า ? ” หลินเจียอินถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร จากนั้นเขาก็หันไปมองหาลูกสาวของเขา “แล้วชานชานอยู่ที่ไหน ? ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ไปเล่นกับเจียงถิงที่สวนหลังบ้านแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “คุณไปตามเธอมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราจะออกไปข้างนอกกัน”
“อ้อ ! ” หลินเจียอินอุทานออกมา เธอนึกว่าเรื่องด่วนที่ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาเร็วคือการไปทำงานในเมือง เธอจึงรีบไปที่สวนหลังบ้านเพื่อตามเจียงชานมาเปลี่ยนเสื้อผ้า
ในสวนหลังบ้านมีกิ่งก้านของต้นหนานมู่ขนาดใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าจนแสงแดดส่องผ่านเข้ามาไม่ถึง พุ่มของต้นหนานมู่เกือบคลุมทั้งสนาม แม้ในฤดูร้อนของเดือนกรกฎาคม สนามหญ้าก็ยังมีร่มเงาปกคลุมให้ความเย็นสบาย
นอกจากต้นหนานมู่แล้ว ยังมีการสร้างบ่อน้ำตื้นในสวนหลังบ้าน มีการปลูกดอกบัว เลี้ยงปลาทอง นำหินทะเลสาบไท่หูมาวางประดับ มีคูน้ำ และชั้นหินให้น้ำตกลงมาเป็นระดับ และมีปั๊มน้ำซ่อนอยู่ในมุมหนึ่ง กลายเป็นน้ำตกจำลองขนาดย่อม
ริมคูน้ำมีทางเดินไม้ปูไว้ โดยมีทรายสีขาวกระจายอยู่ระหว่างช่องว่างของทางเดิน ข้างทางเดินมีดอกไอริสปลูกไม้เป็นแนวตามทางเดิน ใบไม้สีเขียวสดปลิวไปตามสายลม
อาคารหลังบ้านทั้งหมดอาจไม่ได้มีการตกแต่งมากมายเหมือนกับลานกลาง แต่มีทางเดินนอกบ้านที่ทอดยาวออกไป เป็นเส้นทางที่คดเคี้ยว ให้ความรู้สึกที่เงียบสงบ
สวนหลังบ้านก็เป็นเพียงสวนเล็ก ๆ
ที่นี่ ไม่เพียงแต่มีเด็กสองคนอย่างเจียงชานและเจียงถิงมาเล่นเท่านั้น แม้แต่หวังซิ่วจวี๋และป้าพี่สะใภ้อีกสองคนก็ชอบมานั่งเล่นที่นี่เช่นกัน พวกเธอมักจะนั่งในศาลา คอยดูเด็กทั้งสองและพูดคุยกัน
“ชานชาน มาเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว เราจะเข้าเมืองกันแล้ว”
หลินเจียอินเดินเข้าไปในสวนหลังบ้านแล้วตะโกนเรียกเจียงชาน
“แม่ วันนี้หนูไม่เข้าเมืองนะคะ หนูจะอยู่ตกปลากับพี่ถิงถิง ! ” เจียงชานยังคงใช้กิ่งไม้เล็ก ๆ คนในบ่อต่อไป โดยไม่หันกลับมามองหลินเจียอินด้วยซ้ำ
ปรากฎว่าการตกปลาที่เธอพูดถึงหมายถึงการไล่ปลาทองในบ่อด้วยไม้
แต่ถึงอย่างนั้น ในน้ำก็มีซอกหินหลายแห่งใต้สระน้ำ ทันทีที่เธอจุ่มไม้ลงไปในน้ำ ปลาก็ว่ายหนีเข้าไปในซอกหินอย่างรวดเร็ว เธอกับเจียงถิงตกปลาเป็นเวลานาน แต่กลับตกไม่ได้สักตัว
ตอนนี้พวกเธอกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่อยากไปไหน
หวังซิ่วจวี๋จึงหันไปพูดกับหลินเจียอิน “เข้าเมืองไปก่อนเถอะ พอพวกเธอเล่นกันเบื่อ แม่จะดูแลเจียงชานให้”
หลินเจียอินคิดว่าเนื่องจากเธอและเจียงเสี่ยวไป๋ต่างยุ่งกันหลังจากเข้าไปในเมือง และในเมืองก็ร้อนด้วย จึงอยากปล่อยให้ลูกสาวของเธออยู่บ้านบ้าง เธอจึงตอบตกลง
เมื่อมาที่ลานด้านหน้า เจียงเสี่ยวไป๋ที่เห็นว่าเธอกลับมาเพียงลำพังจึงถามว่า “ชานชานล่ะ ? ”
หลินเจียอินจึงกล่าวว่า “เธอเล่นกับเจียงถิงสนุกอยู่ เลยไม่ยอมไปในเมืองด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปเปลี่ยนชุดเถอะ เดี๋ยวผมจะไปตามลูกเอง”
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นก็กล่าวว่า “แม่บอกว่าจะช่วยดูลูกให้ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลเธอ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่ได้ วันนี้ลูกต้องไปกับเรา”
พูดจบ เขาก็เดินไปที่สวนหลังบ้าน
หลินเจียอินเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว และคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋ชอบพาลูกสาวไปไหนมาไหนด้วย คงไม่อยากทิ้งเธอไว้ที่บ้านตามลำพัง
เธอไม่เคยเห็นพ่อที่ติดลูกสาวขนาดนี้มาก่อน !
มีเขาเป็นพ่อของลูกสาว ตัวเองก็สุขใจ !
ไม่นานหลังจากที่หลินเจียอินเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็กลับมาพร้อมกับเจียงชาน
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้เล็กน้อย เธอไม่สามารถตามลูกสาวของเธอกลับมาได้ แต่เจียงเสี่ยวไป๋ทำได้
ประเด็นก็คือ ไม่เพียงแต่ลูกสาวจะไม่งอแงเลย แต่เธอกลับดูมีความสุขมากอีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกว่า ในหัวใจของลูกสาว เธอนั้นด้อยกว่าเจียงเสี่ยวไป๋มาก
“หม่าม๊า เปลี่ยนชุดใหม่ให้หนูทีค่ะ ! ”
ทันทีที่เจียงชานเข้ามาในห้อง เธอก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เสื้อผ้าที่หนูใส่ยังใหม่ไม่พออีกหรือ ถึงต้องเปลี่ยเสื้อผ้าใหม่อีกแล้ว” หลินเจียอินพูดด้วยความโกรธ
“แม่คะ ป่าป๊าบอกว่าวันนี้จะพาหนูไปเที่ยวบ้านคุณยาย ! ”
คำพูดนี้เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ถูกโยนออกมากะทันหัน จนทำให้หลินเจียอินยืนนิ่งด้วยความตกใจ
เมื่อนึกถึงที่เจียงเสี่ยวไป๋พูด เมื่อกลับมาถึงบ้านว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำในวันนี้ และต้องพาลูกสาวไปด้วย ทันใดนั้น เธอก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดทั้งหมดคือการพาเธอและลูกกลับไปหาครอบครัวของเธอ
ทันใดนั้น เธอก็หันหน้าไปมองเจียงเสี่ยวไป๋ทันที
“กลับ…บ้าน…วันนี้ ? ”
หลินเจียอินอยู่ในอารมณ์ที่สับสน เธอได้แต่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพยักหน้า
“เสี่ยวไป๋…”
ดวงตาของหลินเจียอินคลอไปด้วยน้ำตา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อของเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็พูดด้วยท่าทีจริงจังว่า “เมียจ๋า คุณต้องเรียกผมว่าสามีสิ ! ”
ทุกครั้ง เขาจะเรียกภรรยาว่าเมียจ๋า ภรรยาของเขาก็ควรเรียกเขาว่าสามีด้วยสิ
“สา….มี ! ”
หลินเจียอินไม่สามารถพูดออดอ้อนได้อย่างราบรื่นเหมือนกับเจียงเสี่ยวไป๋ แต่เธอก็ยังพยายามที่จะพูดออกมา แม้ว่าจะเบามากก็ตาม
ฮ่าฮ่าฮ่า……
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก ในที่สุดภรรยาของเขาก็ยอมเรียกเขาว่าสามีสักที !
“เมียจ๋า นับจากนี้ไปคุณจะเรียกผมว่าสามีตลอดไปเลยนะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เน้นย้ำเป็นพิเศษ แล้วพูดว่า “เร็วเข้า คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ชานชานได้แล้ว อีกเดี๋ยวเราจะออกเดินทางกัน”
“อื้ม”
หลินเจียอินพยักหน้ารับอย่างมีความสุข
“ชานชาน มาเร็ว แม่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้หนู ! ”
“เปลี่ยนชุดใหม่แล้วไปบ้านคุณยายกัน ! ”
“ไปหาคุณตา คุณยาย คุณลุง คุณป้า และคุณน้ากันเถอะ ! ”
“……”
หลินเจียอินล้างหน้าให้ลูกสาวของเธอ สวมชุดสีชมพูชุดใหม่ พร้อมพูดกับลูกสาวอย่างอารมณ์ดี
นี่ก็ 5 ปีแล้วที่เธอไม่เคยได้กลับบ้านอีกเลย ความโหยหาที่ฝังลึกอยู่ในใจได้เกิดขึ้นในเวลานี้ ดังนั้นเธอจึงตื่นเต้นและเล่าให้ลูกสาวฟังเกี่ยวกับครอบครัวของเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก
“หม่าม๊าคะ ทำไมก่อนหน้านี้เราไม่เคยไปบ้านคุณตาคุณยายมาก่อนล่ะคะ ? ”
เจียงชานถามอย่างไร้เดียงสา เมื่อหม่าม๊าพูดถึงครอบครัวฝั่งคุณยายให้ฟัง
ในช่วงตรุษจีนปีที่แล้ว ครอบครัวของเจียงถิงได้เดินทางไปอวยพรปีใหม่ที่บ้านคุณยายของเธอ และเมื่อพวกเขากลับมาก็ได้รับอั่งเปามามากมาย ในตอนนั้น เจียงชานได้แต่อิจฉา เธอมักจะสงสัยว่าทำไมเธอไม่ได้อั่งเปา และทำไมไม่เคยได้ไปที่บ้านคุณยายเลย
คำพูดของลูกสาวทำให้หลินเจียอินรู้สึกหดหู่และขมขื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอจึงพูดออกไปว่า “เพราะบ้านของคุณตาคุณยายอยู่ไกล เมื่อก่อนเราก็ไม่มีรถยนต์ พ่อกับแม่จึงไม่สะดวกที่จะพาหนูไปที่นั่น”
เธอไม่ชอบโกหกลูกสาว แต่บางครั้งความจริงนั้นโหดร้ายเกินไป
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมหลายคนถึงเลือกที่จะโกหก
“ไกลกว่าเข้าเมืองไหมคะ ? ”
เห็นได้ชัดว่าเจียงชานไม่มีความเข้าใจเรื่องของระยะทาง เพราะสถานที่ที่ไกลที่สุดที่เธอเคยไปคือในเมือง เป็นธรรมดาที่เธอจะถามด้วยความสงสัย
หลินเจียอินจึงกล่าวว่า “”บ้านของคุณตาคุณยายอยู่ไกลกว่าในเมืองมาก”
จากเจียงวานไปยังตัวเมืองนั้นห่างกันเพียง 10 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น แต่จากเมืองชิงโจวไปยังอำเภอเจี้ยนหยางห่างออกไปตั้ง 60 กว่ากิโลเมตร
สภาพถนนในปัจจุบันไม่ค่อยดีนัก หากนั่งรถโดยสารไปจะต้องหยุดรับคนไปตลอดทาง ดังนั้นเวลาเดินทางทีต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะขับรถจี๊ปส่วนตัวไปเอง ก็ยังใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง กว่าจะถึงเขตอำเภอเจี้ยนหยาง
อำเภอเล็ก ๆ นี้ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หัวสะพานของลำธารซีหม่ายังคงยืนหยัดอยู่ และต้นหลิวริมลำธารก็พลิ้วไหวไปตามสายลม ราวกับต้อนรับผู้คนที่ไม่ได้กลับมาเยือนบ้านเกิดเป็นเวลานาน
“จะเที่ยงแล้ว พ่อกับแม่น่าจะยังไม่เลิกงาน ! ”
หลินเจียอินมองดูเวลาแล้วพูดด้วยความเป็นกังวล