ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 174 :ไม่เคยเปลี่ยนกุญแจล็อคประตู
ตอนที่ 174 :ไม่เคยเปลี่ยนกุญแจล็อคประตู
ความรู้สึกคิดถึงได้ปะทุขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ หลินเจียอินแทบทนรอไม่ไหว เธออยากให้ถึงบ้านเร็ว ๆ แล้ว
แต่หากกลับไปถึงในเวลานี้ จะต้องไม่มีใครอยู่บ้านแน่นอน
“คุณยังมีกุญแจบ้านอยู่ไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถาม
หลินเจียอินพยักหน้า “กุญแจของเมื่อก่อนยังอยู่ที่ฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่า……”
เธอไม่รู้ว่าพ่อแม่ยังใช้แม่กุญแจตัวเดิมล็อคประตูบ้านอยู่ไหม หลังจากผ่านไปหลายปี ไม่รู้ว่าพ่อแม่เปลี่ยนกุญแจบ้านไปแล้วหรือยัง ?
“ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันก่อนเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม “บางทีพ่อแม่อาจกลัวว่าเมื่อคุณคิดถึงบ้านแล้วกลับมา คุณจะไม่สามารถเข้าบ้านได้ จึงไม่คิดจะเปลี่ยนแม่กุญแจก็ได้ ! ”
ชาติที่แล้ว ตอนที่เขามาหาหลินต้าเหว่ยเพื่อบอกพ่อตาถึงการตายของหลินเจียอิน ดูเหมือนว่าหลินต้าเหว่ยจะแก่ขึ้นมากแล้ว และบ่นว่าเขากับหลิวอี้ถิงได้แต่รอให้ลูกสาวของพวกเขากลับบ้านมาตลอด จึงไม่เคยเปลี่ยนแม่กุญแจเลยสักครั้ง เพราะกลัวว่าถ้าเธอมาถึงแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้
แม้ว่าประตูจะถูกล็อคอยู่ แต่ถ้าลูกสาวของพวกเขากลับมา พวกเขาเชื่อว่าเธอจะเปิดประตูเข้าบ้านได้เสมอ
เพียงแต่ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าลูกสาวจะไม่มีโอกาสได้ใช้กุญแจตัวเดิมเปิดประตูเข้ามาในบ้านอีกเลย
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดมันออกมา เพราะเขาไม่สามารถพูดเรื่องนี้ออกไปได้จริง ๆ
แต่เขาคิดว่า หากหลินเจียอินเปิดเข้าไปในบ้านได้ด้วยกุญแจที่เธอมี เธอน่าจะรู้ได้ทันทีว่าพ่อแม่ไม่เคยลืมเธอเลยสักวัน
หลินเจียอินได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่นหลังจากได้ยินคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋
บางที พ่อแม่อาจเปลี่ยนกุญแจไปนานแล้วก็ได้ !
รถจี๊ปขับช้า ๆ ข้ามสะพานซีหม่าเข้าสู่ถนนเจี้ยนหยาง จากนั้นก็เลี้ยวเข้าถนนกู่หย๋า
หลินต้าเหว่ยเกิดและเติบโตในอำเภอเจี้ยนหยาง หลังจากเข้าทำงานที่หน่วยงานราชการประจำอำเภอแล้ว เขาก็ไม่ได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักข้าราชการ แต่ครอบครัวของเขาเลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าแถบถนนกู่หย๋า
นี่คืออาคารเก่าแก่สองชั้นที่สร้างขึ้นในสมัยแรก ๆ ของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน มีกำแพงอิฐสีแดงกระดำกระด่าง ไม้เลื้อยหนาแน่นติดบนผนัง และมีเสื้อผ้าสองสามตัวตากบนระเบียงชั้นสอง
หลินเจียอินยืนอยู่บนแท่นเล็ก ๆ ที่ประตู และชะเง้อมองเข้าไป เป็นเวลานานมากแล้วที่เธอไม่ได้กลับมาที่นี่
เธอจับกุญแจทองเหลืองที่เธอพกติดตัวมาโดยตลอดไว้แน่น และมองไปยังประตูใหญ่ที่คุ้นเคย
ที่ประตูใหญ่ยังคงคล้องด้วยแม่กุญแจเหล็กนั้นอยู่
เหมือนกับว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ
พ่อกับแม่ไม่ได้เปลี่ยนกุญแจจริง ๆ
ตราบใดที่เธอก้าวไปข้างหน้า เธอก็จะสามารถไขกุญแจแล้วเดินเข้าไปในบ้านที่เธอคิดถึงได้ทันที
“ป่าป๊า คุณตาคุณยายไม่อยู่บ้าน แบบนี้เราจะเข้าไปได้ไหมคะ ? ”
เจียงชานยืนอยู่ข้างเจียงเสี่ยวไป๋ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วถามออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ตบไหล่ลูกสาวของเขาเบา ๆ และทำท่าบอกว่าให้เงียบลงก่อน
ในขณะนี้ เขาไม่ต้องการรบกวนหลินเจียอิน
“เธอ…คือเจียอินใช่ไหม ? ”
ทว่าในขณะที่หลินเจียอินกำลังลังเลอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง
หลินเจียอินและเจียงเสี่ยวไป๋หันไปมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นหญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปีถือตะกร้าที่มีผักและมะเขือเทศหลายชนิดอยู่ในมือ หญิงคนนั้นจ้องมองมาที่หลินเจียอินด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้จักเธอ
แต่เมื่อหลินเจียอินมองไปชัด ๆ เธอก็พูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ป้าหวัง ฉัน..เจียอินเองค่ะ ! ”
ป้าหวังมองหลินเจียอินอย่างพินิจตั้งแต่หัวจรดเท้า และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คือเธอจริง ๆ ! เธอไม่ได้กลับมาบ้านหลายปีแล้วนี่ ป้าไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเธอเลย จนแทบจำเธอไม่ได้แล้ว”
เธอหันไปมองที่รถจี๊ปเทียนจิง 212 ที่จอดอยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และเจียงชาน แล้วพูดว่า “นี่คือสามีและลูกสาวของเธอหรือ ? อ่า ดูสิ มีลูกสาวโตป่านนี้แล้ว ! ”
หลินเจียอินรีบแนะนำ เธอดึงเจียงชานเข้ามาแล้วพูดว่า “ป้าหวัง นี่คือลูกสาวของฉันเอง เธอชื่อว่าเจียงชาน” แล้เธอก็ชี้ไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ แล้วพูดว่า “ส่วนนี่คือพ่อของเธอ สามีของฉัน เขาชื่อว่าเจียงเสี่ยวไป๋”
หลังจากพูดจบ เธอก็พูดกับเจียงชานว่า “สวัสดีคุณยายหวังก่อนสิลูก ! ”
“คุณยายหวังสวัสดีค่ะ ! ”
เจียงชานทักทายอย่างน่ารักและสุภาพ
ป้าหวังหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความเอ็นดู และยังกล่าวชมเชยเด็กหญิงว่ารู้เรื่องรู้ราวดี
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทักทายเช่นกันว่า “สวัสดีครับ ป้าหวัง ! ”
หลินเจียอินชี้ไปที่บ้านใกล้เคียงที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน แล้วพูดว่า “ป้าหวังเป็นเพื่อนบ้านของเรา ฉันมักจะไปเล่นที่บ้านของป้าบ่อย ๆ สมัยยังเป็นเด็ก”
ป้าหวังยิ้มแล้วพูดว่า “หายากที่เธอยังจำได้”
ดูเหมือนเธอจะมีความสุขมาก จากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูบ้านของหลินต้าเหว่ยแล้วพูดว่า “พ่อแม่ของเธอออกไปทำงานกันหมดแล้ว พาสามีและลูกไปนั่งพักในบ้านป้าก่อน รอจนกว่าพวกเขาจะกลับมาแล้วกัน”
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นก็พูดว่า “ป้าหวัง ฉันมีกุญแจบ้านอยู่”
ขณะที่พูด เธอก็กางมือออก เผยให้เห็นกุญแจทองเหลืองที่ผูกไว้กับเชือกถักสีแดง
ป้าหวังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ที่แท้ต้าเหว่ยและอี้ถิงก็ไม่ยอมเปลี่ยนแม่กุญแจ ไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อปีที่แล้วกุญแจบ้านพัง แต่ต้าเหว่ยก็ไม่ยอมเปลี่ยน เขาขอให้ช่างทำกุญแจมาซ่อมให้ เขาคงคิดว่าถ้าเปลี่ยนแล้ว เมื่อเจียอินกลับมาแล้วไม่เจอใคร จะเข้าบ้านไม่ได้”
หลินเจียอินตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินแบบนี้
พ่อและแม่คงจะเฝ้ารอให้เธอกลับมาเยี่ยมหาตลอดจนไม่กล้าเปลี่ยนแม่กุญแจที่พัง เพราะกลัวว่าวันหนึ่งเธอกลับมาแล้วจะเข้าบ้านไม่ได้
แต่เธอล่ะ……
ที่มุมตาของเธอมีน้ำตาคลออยู่ จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับป้าหวังว่า “ขอบคุณป้าหวังมากที่บอกฉันเรื่องนี้”
ป้าหวังโบกมือแล้วพูดซ้ำ ๆ “กลับมาก็ดีแล้ว ในเมื่อเธอมีกุญแจแล้ว ก็รีบเข้าไปในบ้านเถอะ ! ”
พูดจบ เธอก็เดินกลับไปที่บ้านของตัวเอง
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็หันกลับมาพูดว่า “อย่าลืมมาเที่ยวบ้านป้านะ ป้าจะทำฟองเต้าหู้ให้กิน ! ”
“ขอบคุณมากจ้ะป้าหวัง ! ”
หลินเจียอินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอชอบไปกินฟองเต้าหู้ข้าวโพดที่ป้าหวังทำเป็นประจำ ซึ่งป้าหวังยังจำมันได้ไม่เคยลืม
นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าความรู้สึกที่ได้มาเยือนบ้านเกิด !
หลายปีต่อมา เมื่อเธอกลับมาบ้านเกิด เธอได้พบกับป้าหวังซึ่งทำให้หลินเจียอินค้นพบความอบอุ่นของบ้านเกิดที่เธอลืมมันไป ทำให้เธออยากเจอพ่อกับแม่ของเธอในตอนนี้เลย
“เปิดประตูสิ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
“อื้ม ! ”
หลินเจียอินพยักหน้า ก่อนจะเดินไปที่ประตูหน้า ยกกุญแจเหล็กที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลายปีด้วยมือเดียว สอดกุญแจเข้าไปในรูล็อคด้วยมืออีกข้างแล้วบิดเบา ๆ
แกร็ก !
ด้วยเสียงที่คมชัด กุญแจก็เปิดออก
หลังจากถอดกุญแจออก หลินเจียอินก็ค่อย ๆ เปิดประตู ห้องหลักยังคงเหมือนเดิมและแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยตลอด 5 ปีมานี้ ยังมีโซฟาตัวเก่า โต๊ะกาแฟ แต่ที่เพิ่มเข้ามาเห็นจะมีก็แต่โทรทัศน์ที่ด้านบนมีผ้าลูกไม้สีขาวคลุมเอาไว้
เจียงเสี่ยวไป๋และเจียงชานเดินตามเข้าไป สองพ่อลูกกวาดตามองดูไปรอบ ๆ แม้ว่าบ้านหลังนี้จะเก่า เฟอร์นิเจอร์ก็เก่า แต่ก็สะอาดสะอ้าน ดูอบอุ่นมาก เห็นได้ชัดว่าแม่ของหลินเจียอินเป็นคนสะอาดและจัดการงานบ้านเก่ง
“นี่คือบ้านของคุณยายหรือคะ ? ”
เด็กน้อยมองสำรวจรอบ ๆ แล้วถามอย่างสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋ลูบหัวของเธอแล้วพูดว่า “มันเป็นบ้านของคุณตาคุณยายของหนู ซึ่งแม่ของหนูก็เติบโตที่นี่ ! ”
“บ้านของคุณยายเล็กมากเลยค่ะ ! ทีวีไม่ใหญ่เท่าของหนู ! ” เด็กน้อยพูด
เธอเพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่ จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะเปรียบเทียบบ้านของเธอกับบ้านหลังอื่น
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ชานชาน หนูจะเปรียบเทียบแบบนี้ไม่ได้ ลองนึกถึงบ้านหลังเก่าที่เราอาศัยอยู่ก่อนที่เราจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่สิ มันเล็กและเก่ามากเลยใช่ไหม ? ”
หลังจากหยุดชั่วขณะหนึ่ง เขาก็ชี้ไปที่แผนผังในห้องแล้วพูดต่อ “ดูสิ ผนังที่นี่แข็งแรงกว่าบ้านหลังเก่าของเราขนาดไหน มันดูอบอุ่นมาก”
เด็กน้อยพยักหน้า แล้วพูดว่า “คุณยายต้องสวยเหมือนแม่แน่เลยค่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินรู้สึกขบขันกับคำพูดของเด็กน้อย ในเวลาเดียวกันเจียงเสี่ยวไป๋ก็ถามลูกสาวด้วยรอยยิ้มว่า “ชานชาน หนูไม่เคยเห็นคุณยายมาก่อน แล้วหนูรู้ได้ไงจ๊ะ ? ”
เจียงชานกล่าวว่า “เพราะว่าหม่าม๊าทำให้บ้านดูอบอุ่นเหมือนกัน ! ”
นี่คือทฤษฎีอะไรของเด็กน้อย ?
ทั้งเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินได้แต่หัวเราะออกมา
อย่างไรก็ตาม หากว่าคุณยายได้ยินหลานสาวของเธอพูดแบบนี้ เธอคงจะหัวเราะออกมาเสียงดังเหมือนกัน !
พวกเขาทั้งสามเดินไปรอบ ๆ บ้าน เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “เมียจ๋า ผมจะออกไปซื้อของที่ตลาดมาทำอาหาร พอพ่อแม่ของคุณกลับมา พวกท่านก็คงได้กินพอดี”
หลินเจียอินผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าด้วยความดีใจ
“อืม ! ”