ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 175 :สองแม่ลูกพบกัน
ตอนที่ 175 :สองแม่ลูกพบกัน
เมื่อไปเยี่ยมพ่อตา ก็ต้องมีของติดไม้ติดมือมาด้วยเป็นเรื่องปกติ
เจียงเสี่ยวไป๋ขนของฝากที่เตรียมไว้ท้ายรถเข้าไปในบ้านก่อน เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงเหมาไถกล่องหนึ่ง บุหรี่จงฮั๋วสองแถว ซอสสูตรลับของเขาอีกกระป๋องใหญ่ ขาหมู 1 ขา นมข้าวกล้อง และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยเฉพาะสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย นั่นก็คือกุ้งเครย์ฟิชที่จะเอามาทำกุ้งอบน้ำมัน
หลินเจียอินมองเขาด้วยความประหลาดใจ “คุณไปเตรียมของพวกนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและกล่าวว่า “เมียจ๋า ผมเตรียมไว้ตั้งนานแล้ว ! ”
“ขอบคุณมากนะ ! ”
หลินเจียอินมองไปที่ชายตรงหน้าของเธอด้วยหัวใจที่เต้นแรงอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ที่เจียงเสี่ยวไป๋บอกเธอว่าจะพาเธอกลับบ้านมาหาครอบครัว เธอก็รู้สึกตื่นเต้นมากจนลืมเตรียมของฝากมาให้พ่อกับแม่ของเธอเลย
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับเตรียมของมาอย่างดี
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “คุณเป็นภรรยาของผม จะขอบคุณไปทำไม ? ”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาก็ยิ้ม “ถ้าจะขอบคุณ ขอแค่เปลี่ยนไปเรียกผมว่าสามีแทนก็พอ ! ”
ใบหน้าของหลินเจียอินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาทันที แต่เธอก็ยอมเรียกเขาอย่างไม่ชินว่า “สามี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะอย่างมีความสุข “งั้นคุณกับชานชานรอผมอยู่ที่บ้านนะ ผมจะไปซื้อของและกลับมาให้เร็วที่สุด”
หลินเจียอินกล่าวว่า “คุณยังไม่รู้ว่าตลาดผักอยู่ที่ไหน ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ “ไม่เป็นไร คุณกับลูกนั่งรถนานแล้ว ต่างก็เหนื่อยกัน พักผ่อนอยู่บ้านเถอะ บอกสถานที่ให้ผมก็พอ”
ที่จริงหลินเจียอินไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร แต่เธอก็อยากอยู่บ้านจริง ๆ เพราะคิดว่าหากพ่อกลับมาแล้วไล่ตะเพิดเธอออกจากบ้านเหมือนครั้งที่แล้ว……
อย่างน้อยเธอก็ยังได้อยู่ที่บ้านสักพัก !
เจียงเสี่ยวไป๋ไปตลาดผักแล้วกลับมาอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกหลังจากเกิดใหม่ที่เขามาเยี่ยมพ่อตา เขามาเพื่อสานความสัมพันธ์ จึงต้องพยายามเป็นพิเศษ เมื่อเขากลับจากตลาด เขาก็เอาแต่ยุ่งกับการทำอาหารอยู่ในครัว
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จนในที่สุด ก็เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็น หลิวอี้ถิงกลับจากที่ทำงานมาที่บ้านก็เห็นประตูบ้านเปิดอยู่ และมีรถจี๊ปเทียนจิง 212 คันใหม่จอดอยู่ที่หน้าประตู “วันนี้พระอาทิตย์ส่องแสงทางทิศตะวันตกอย่างนั้นหรือ เขาถึงกลับบ้านมาเร็ว แถมยังพาแขกมาด้วย”
โดยปกติแล้ว หลินต้าเหว่ยจะกลับบ้านช้ากว่าเธอ และไม่ค่อยได้พาแขกมาที่บ้านสักเท่าไหร่ ซึ่งเขาจะกลับบ้านหลังจากจัดการกับงานข้างนอกเสร็จแล้วเท่านั้น
นอกจากนี้ แม้ว่ารถของหลินต้าเหว่ยจะเป็นรถจี๊ปเทียนจิน 212 เช่นกัน แต่เป็นรถเก่าที่ใช้งานมานานหลายปี และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คันที่จอดอยู่หน้าบ้านคันนี้แน่นอน
คนที่สามารถเป็นเจ้าของรถจี๊ปราคาแพงรุ่นนี้ได้ในยุคนี้จะต้องเป็นคนที่รวยเท่านั้น
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เธอจะคิดว่าผู้หลักผู้ใหญ่บางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินต้าเหว่ยคงจะมาเป็นแขกที่บ้าน
ตอนที่เธอกำลังคาดเดาอยู่ในใจ ทันใดนั้น เธอก็ได้กลิ่นหอมตลบอวบอวลลอยออกมาจากในบ้าน
ซึ่งกลิ่นนี้ยังลอยมาจากบ้านของเธออีกด้วย
หลิวอี้ถิงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที เพราะเธอรู้ว่าหลินต้าเหว่ยทำอาหารไม่เป็น ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าและเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว
“แม่คะ ! ”
เสียงฝีเท้าทำให้หลินเจียอินซึ่งอยู่ในห้องนั่งเล่นตกใจ ทันใดนั้น เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นหลิวอี้ถิงเดินเข้ามา หลินเจียอินก็ลุกขึ้นยืนทันที เธอเรียกแม่ของเธอด้วยความประหลาดใจและดีใจไปในคราวเดียวกัน
“อินอิน ! ”
ฝีเท้าของหลิวอี้ถิงหยุดชะงัก ใบหน้าของเธอตกตะลึง เธอไม่เคยคิดเลยว่าลูกสาวของเธอจะกลับมาที่บ้านโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้
เมื่อสองแม่ลูกพบกันครั้งแรก ต่างคนต่างก็ตกตะลึง ทั้งคู่สบตากันเนิ่นนานและพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ในครัว จึงออกมาเห็นหลิวอี้ถิง เขาจึงเอ่ยทักทายเธอเช่นกัน “สวัสดีครับแม่ ! ”
หลิวอี้ถิงกลับมามีสติในทันทีและมองตามเสียงนั้นไป ก่อนจะเห็นเจียงเสี่ยวไป๋สวมผ้ากันเปื้อนและถือไม้พายอยู่ในมือข้างหนึ่ง จึงรู้ได้ทันทีว่ากลิ่นของอาหารที่หอมตลบอบอวลเมื่อครู่มาจากฝีมือของเขานั่นเอง
“พวกเธอมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหมถึงทำอาหาร”
หลิวอี้ถิงพูดด้วยความประหลาดใจปนดีใจว่า “มานั่งเถอะ มานั่งก่อน แม่จะทำอาหารเย็นให้กินเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ครับ แม่นั่นแหละที่ควรนั่งคุยกับเจียอินก่อน ผมกำลังทำอาหารเย็นให้ทุกคนอยู่”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปบอกเจียงชานทันที “ชานชาน เข้าไปทักทายคุณยายสิลูก ! ”
ตอนนั้นเองที่หลิวอี้ถิงสังเกตุเห็นว่ายังมีเจ้าตัวเล็กวัยสี่ถึงห้าขวบอยู่ในห้องด้วย เธอสวมกระโปรงสีชมพู ใบหน้าเล็ก ๆ ที่อวบอ้วนงดงามราวกับหยกแกะสลัก ดูน่ารักน่าชังมาก
“สวัสดีค่ะคุณยาย ! ”
เจียงชานวิ่งไปหาหลิวอี้ถิง เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ
“ไอ้โหยว”
หลิวอี้ถิงร้องไห้ด้วยความดีใจ และนั่งยองลงทันที เธอดึงเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมแขนของเธอ แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ชื่อของหนูคือชานชานใช่ไหมลูก ! ยายดีใจมากที่ได้เจอหนู”
“ค่ะ หนูชื่อเจียงชาน และชานชานก็เป็นชื่อเล่นของหนูค่ะ” เจียงชานถูกหลิวอี้ถิงกอดไว้แน่น จนเธอจำวันเกิดของเธอไม่ได้เลยไม่ได้พูดออกมา จึงพูดอย่างมีความสุขไปว่า “คุณยาย หนูดีใจมากที่ได้พบคุณยายนะคะ”
หลิวอี้ถิงแทบใจละลาย เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมล่ะจ๊ะ ? ”
เจียงชานกล่าวว่า “ป่าป๊าบอกว่าคุณยายคือแม่ของหม่าม๊า ซึ่งเป็นญาติสนิทที่สุดของชานชาน”
“เด็กดี ! ”
หลิวอี้ถิงกอดเจียงชานแน่นยิ่งขึ้น จนเธอแทบสำลัก
“คุณยายคะ ป่าป๊าทำอาหารอร่อย ๆ ไว้เยอะแยะเลย เมื่อคุณตากลับมา ครอบครัวของเราจะกินข้าวเย็นพร้อมกัน” เด็กน้อยพูดอย่างภาคภูมิใจในอ้อมแขนของหลิวอี้ถิง “คุณยายไม่รู้หรอกค่ะ ว่าอาหารที่ป่าป๊าของหนูทำอร่อยมากแค่ไหน ! ”
“จริงหรือจ๊ะ ? ”
หลิวอี้ถิงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเจียงเสี่ยวไป๋ จากนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ในเมื่อชานชานบอกว่ามันอร่อย ดังนั้นมันจะต้องอร่อยที่สุด ยายจะรอกินข้าวกับหนูนะจ๊ะ”
เมื่อพูดอย่างนั้น เธอก็อุ้มเจียงชานขึ้นมา สองยายหลายก็เดินไปที่โซฟาและนั่งลงด้วยกัน
เธอยังคงกอดเจียงชานไว้บนตักของเธอแน่น โดยไม่คิดที่จะปล่อย ส่วนหลินเจียอินก็นั่งข้างเธอเช่นกัน
สองแม่ลูกไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เมื่อพวกเธอพบกันครั้งแรก พวกเธอจึงมีเรื่องพูดคุยกันไม่รู้จบ
“อินอิน หลายปีที่ผ่านมานี้ลูกเป็นอย่างไรบ้าง ? ” หลิวอี้ถิงถามลูกสาวด้วยความห่วงใย
หลินเจียอินยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ หนูสบายดีค่ะ ! ”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอได้แต่งงานไปอยู่กับเจียงเสี่ยวไป๋ แม้ว่าสภาพความเป็นอยู่จะไม่ดีเท่าครอบครัวของเธอ แต่ก็มีความสุขมากในตอนนั้น จนกระทั่งเจียงเสี่ยวไป๋เริ่มติดการพนัน เธอจึงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากถึง 2 ปี โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ตอนนี้เธอมีความสุขมาก เธอจึงไม่คิดที่จะพูดถึงความทุกข์ทรมานแบบนั้นให้แม่ของเธอต้องรับรู้
หลิวอี้ถิงมองไปที่ลูกสาวของเธอ ชุดที่ใส่นี้ก็เป็นชุดใหม่ ใบหน้าของเธอดูมีน้ำมีนวลแดงระเรื่อ มุมตาและคิ้วของเธอยกขึ้นแสดงให้เห็นว่ามีความสุข เธอจึงรู้ว่าลูกสาวของเธอมีชีวิตที่ดีจริง ๆ รู้แบบนี้เธอก็รู้สึกโล่งใจมาก
แต่จากนั้น เธอก็ทำหน้าบูดบึ้งหันไปทางห้องครัว “เขามาที่นี่ครั้งแรก ทำไมลูกถึงให้เขาทำอาหารให้เรากินล่ะ ? ”
มีคำตำหนิในคำถามนี้อย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าเธอจะเป็นแพทย์ และมีการศึกษาที่ดี แต่แนวคิดดั้งเดิมก็ยังคงหยั่งรากลึก เธอคิดเสมอว่าการทำอาหารควรเป็นหน้าที่ของผู้หญิง
ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ลูกเขยมาบ้าน เมื่อพวกเขาไม่อยู่บ้าน คนที่เป็นเจ้าบ้านก็คือลูกสาว ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ตามมารยาทแล้วลูกเขยก็ไม่ควรเป็นคนที่ต้องไปอยู่ในห้องครัว
หลินเจียอินยิ้มและพูดว่า “แม่คะ ที่บ้านเขาก็เป็นคนทำอาหาร ฝีมือการทำอาหารของเขาเก่งมาก”
หลิวอี้ถิงตกตะลึงไปอีกครั้ง เธอคิดว่าการที่เจียงเสี่ยวไป๋ไปทำอาหารก็เพื่อเอาหน้าเธอและหลินต้าเหว่ยเท่านั้น แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าลูกเขยของเธออย่างเจียงเสี่ยวไป๋จะทำอาหารให้ภรรยาและลูกสาวกินทุกวัน
เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่า ลูกสาวของเธอได้แต่งงานกับคนดี !
หลิวอี้ถิงรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เธอจับมือของหลินเจียอินวางไว้บนฝ่ามือของเธอ แล้วลูบเบา ๆ ก่อนจะรู้สึกว่ามือของลูกสาวเรียบเนียนละเอียดอ่อนราวกับว่าเธอไม่เคยต้องทำงานบ้านมาก่อนเลย
“เห็นเขาดีต่อลูกแบบนี้ แม่ก็วางใจ ! ”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่งามของหลินเจียอิน “แม่คะ เขาปฏิบัติต่อหนูเป็นอย่างดี แต่หนูต้องขอโทษพ่อกับแม่ที่ทำตามอำเภอใจขนาดนี้ ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง……”
“แม่ ยกโทษให้หนูได้ไหม”
มุมตาของหลิวอี้ถิงก็เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาเช่นกัน เธอตบมือลูกสาวของเธอแล้วพูดเบา ๆ ว่า “เด็กโง่ พูดอะไรของลูก แม่จะโกรธลูกได้อย่างไร ! ”
ปีแห่งความบาดหมางระหว่างสองแม่ลูกได้ยุติลงแล้ว ทั้งคู่ได้เคลียร์ใจกันและยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
แต่ถึงอย่างนั้น หลิวอี้ถิงก็ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าสามีของเธอจะคิดอย่างไรเมื่อเขากลับมา ? เธอกังวลมากว่ามันจะเหมือนครั้งที่แล้ว ที่สามีของเธอไล่ลูกสาวออกไปโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ
ทว่าในตอนนี้เอง ก็มีเสียงดังขึ้นนอกประตู
“เหล่าหลิน คุณกลับมาแล้วหรือ ? ”
มันเป็นเสียงของป้าหวังข้างบ้าน หลิวอี้ถิงคุ้นเคยกับมันดี
วินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงของหลินต้าเหว่ยตอบกลับไปว่า “เพิ่งกลับมา จะออกไปข้างนอกหรือ ? ”
ป้าหวังพูดว่า “อืม ฉันว่าจะออกไปซื้อซีอิ๊ว ! ”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “รีบไปเถอะ ที่บ้านฉันก็ได้กลิ่นหอม ๆ ลอยออกมาแล้ว อาหารที่บ้านน่าจะทำเสร็จแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็มาถึงที่หน้าประตู