ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 177 :ประเมินลูกเขยคนนี้ต่ำไป
ตอนที่ 177 :ประเมินลูกเขยคนนี้ต่ำไป
“คุณตา กุ้งอร่อยมากนะคะ ! ”
เจียงชานนั่งอยู่ระหว่างหลินต้าเหว่ยและหลิวอี้ถิง เมื่อเห็นว่าคุณตามองกุ้งเครย์ฟิชอบน้ำมันอยู่เรื่อย ๆ แต่กลับไม่ยอมกินเสียที เธอจึงได้พูดขึ้นมา
หลินต้าเหว่ยจึงตอบเธอไปว่า “ตาไม่เคยกิน เลยไม่รู้ว่าต้องกินยังไง”
เจียงชานดูมีความสุขขึ้นมาในทันที และพูดอย่างภาคภูมิใจไปว่า “หนูรู้ค่ะว่ากินยังไง”
พูดแล้ว เธอก็กระโดดลงจากเก้าอี้ “พ่อคะ พาหนูไปล้างมือที หนูจะกินกุ้งอบน้ำมัน”
เวลาจะกินกุ้งอบต้องล้างมือให้สะอาด เพราะการกินด้วยมือมันอร่อยกว่าและสะดวกกว่า เจ้าตัวน้อยรู้ว่าต้องล้างมือก่อนจะเอาอะไรเข้าปากจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว
“เอาล่ะ ไปล้างมือแล้วมากินกุ้งกันเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม และพาเจียงชานไปล้างมือที่ก๊อกน้ำในครัว
หลินต้าเหว่ยและหลิวอี้ถิงต่างมองหน้ากัน ประการแรก พวกเขาคิดว่าเจียงชานนั้นเป็นเด็กที่ฉลาด เธอรู้ว่าต้องล้างมือก่อนกินอาหารตั้งแต่อายุยังน้อย ประการที่สอง เด็กไม่เรียกแม่ให้พาเธอไป แต่ขอให้พ่อของเธอพาเธอไป นี่แสดงให้เห็นว่าเด็กคนนี้ติดเจียงเสี่ยวไป๋มากกว่าหลินเจียอิน
คู่สามีภรรยาสูงอายุอดไม่ได้ที่จะมองดูลูกสาวของพวกเขา
หลินเจียอินก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ ชานชานติดพ่อของเธอมาก ซึ่งเธอที่เป็นแม่ก็ทำอะไรไม่ได้
โชคดีที่เจ้าตัวเล็กกลับมาทันเวลาหลังจากล้างมือเสร็จ จึงช่วยบรรเทาความลำบากใจของหลินเจียอินไปได้มาก ไม่เช่นนั้นเธออาจถูกพ่อแม่ตำหนิไปแล้วก็ได้
“คุณตา คุณยาย มากินกุ้งอบกันเถอะค่ะ ! ”
เจียงชานนั่งบนเก้าอี้ เธอบิดตัวเพื่อปรับท่าทางให้สบายที่สุด แล้วเริ่มกินอย่างชำนาญ
หลินต้าเหว่ยและหลิวอี้ถิงก็ได้ลุกไปล้างมือเช่นกัน และเริ่มกินอาหารด้วย
ความหอมของกุ้งอบน้ำมันได้ดึงดูดใจทั้งสองคนทันที โดยเฉพาะหลินต้าเหว่ย เพราะกุ้งอบน้ำมันนั้นมีรสเผ็ดพอควร และมีรสชาติเข้มข้นซึ่งเป็นรสชาติที่เขาโปรดปรานมากที่สุด
‘กุ้งอบน้ำมันอร่อยมาก ถ้าเปิดร้านคงจะมีลูกค้าเยอะน่าดู ! ’ หลินต้าเหว่ยเริ่มคิดในใจ ตั้งใจจะบอกลูกสาวให้เธอเปิดแฟรนไชส์ในเจี้ยนหยาง เขาเชื่อว่าจะต้องขายดีแน่นอน
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือในเจี้ยนหยาง ได้มีแฟรนไชส์ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเหอที่กำลังจะเปิดใหม่อยู่ 5 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมการและอีกไม่นานก็คงจะเปิดกิจการได้
“เสี่ยวเจียง แม่ไม่คิดเลยว่าฝีมือการทำอาหารของลูกจะอร่อยขนาดนี้ ! ”
หลิวอี้ถิงกล่าวชมด้วยรอยยิ้ม
เธออดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าที่ลูกสาวของเธอหนีออกจากบ้านไปอยู่กับเจียงเสี่ยวไป๋ เป็นเพราะฝีมือการทำอาหารของเด็กคนนี้หรือเปล่า
“อาหารที่ป่าป๊าทำอร่อยหมดเลยค่ะคุณยาย คุณยายกินให้มาก ๆ นะคะ”
ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋กำลังจะพูด เจ้าตัวเล็กก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาก่อน ทั้งที่ยังมีกุ้งอยู่เต็มปาก
ผู้ใหญ่ทุกคนต่างมีความสุข สาวน้อยคนนี้ไม่เคยลืมที่จะชื่นชมพ่อของเธอจริงๆ
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มดีขึ้นแล้ว เขาจึงรีบยกแก้วขึ้น “พ่อครับ เมื่อก่อนผมยังเด็กและโง่เขลา ผมทำให้พ่อและแม่ผิดหวัง วันนี้ผมมาที่นี่เพื่อขอโทษ เห็นแก่ชานชาน พ่อกับแม่ช่วยยกโทษให้ผมได้ไหมครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอโทษอย่างจริงใจ
ไม่เพียงแต่เรื่องที่ผ่านมาเมื่อห้าหกปีก่อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึกผิดในชาติที่แล้วด้วย
ในชาติที่แล้ว เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวของพวกเขาเสียชีวิต
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ดื่มเหล้าในแก้วจนหมดในอึกเดียว
หลินต้าเหว่ยเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะหยิบถ้วยตาวัวขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แล้วดื่มมันลงไป
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจแน่วแน่ แม้ว่าทัศนคติของชายชราที่มีต่อเขาจะยังไม่ดี แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้ละเลยเขา เหมือนชาติที่แล้วที่ขับไล่เขาออกไปจากบ้าน
แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
ตามกฎหลักของจิตวิทยาแล้ว เมื่อทัศนคติของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งคลายลง ก็จะคลายต่อไปจนกว่าจะมองสิ่งนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“พ่อครับ ผมขอดื่มให้พ่ออีกครั้งนะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รินเหล้าให้หลินต้าเหว่ยอีกแก้ว แล้วพูดออกมาอย่างร่าเริง
ดังคำกล่าวที่ว่า เหล้าช่วยเชื่อมช่องว่างในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล นี่เป็นเรื่องจริง หลังจากดื่มไปสองแก้ว สีหน้าของหลินต้าเหว่ยก็ดูจะผ่อนลงมาก
หลินเจียอินเห็นแบบนั้นจึงพูดว่า “มัวแต่ให้พ่อดื่ม ทำไมไม่กินอาหารให้อิ่มก่อน”
ขณะที่เธอพูด เธอก็เอาตะเกียบคีบผัดพริกหยวกหมูให้หลินต้าเหว่ย เธอรู้ว่าพ่อของเธอชอบอาหารรสเผ็ดมากที่สุด และเขาเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่มีอาหารรสเผ็ดในมื้ออาหาร ก็จะไม่กิน
นี่ถือได้ว่าเป็นการประจบเล็ก ๆ น้อย ๆ
แน่นอนว่าใบหน้าของหลินต้าเหว่ยอ่อนลงเมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขายังคงจำอาหารจานโปรดของเขาได้
“ลูกก็จำได้ ! ”
หลินต้าเหว่ยกล่าวเบา ๆ
หลินเจียอินรีบกล่าวขอโทษออกมา “พ่อคะ หนูจำได้สิ พ่อดีที่สุดสำหรับหนู ตอนนั้นหนูยังเด็กมาก เลยโง่เขลา แต่นับจากนี้ต่อไปในอนาคต หนูจะกตัญญูต่อพ่อให้มากที่สุด ! ”
หลินต้าเหว่ยทำหน้าบูดบึ้ง และพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ใครจะสนใจล่ะ”
จากนั้นก็หยิบแก้วตาวัวขึ้นมา แล้วเข้าไปชนแก้วกับเจียงเสี่ยวไป๋
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เริ่มที่จะยกแก้วขึ้นเชิญเจียงเสี่ยวไป๋ให้ดื่มแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ถือแก้วด้วยมือทั้งสองทันที และชนแก้วกับชายชรา
แน่นอนว่าขอบแก้วของเขาต้องต่ำกว่าเล็กน้อย
นี่คือวัฒนธรรมการดื่มของคนจีน
ในงานเลี้ยง เมื่อรุ่นน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาชนแก้วกับผู้อาวุโสหรือผู้บังคับบัญชา แก้วของพวกเขาจะต้องต่ำกว่าแก้วของอีกฝ่ายเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋มีความเชี่ยวชาญในเรื่องวัฒนธรรมการดื่มของจีนเป็นอย่างดี ในเมื่อที่สุดพ่อตาก็ได้เริ่มชวนเขาดื่ม โดยธรรมชาติแล้วเขาจะต้องเข้าแสดงความเคารพต่อพ่อตาตามลำดับ
รายละเอียดเล็ก ๆ ดังกล่าวนี้ หลินต้าเหว่ยสังเกตเห็นและแอบพยักหน้าอย่างลับ ๆ ด้วยความชื่นชม
หากคุณเป็นผู้นำ ก็แสดงว่าคุณอยู่ในตำแหน่งที่สูง ฉะนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อย ๆ เหล่านี้ให้มากขึ้น
เมื่อเริ่มต้นได้ดี ที่เหลือจะง่ายขึ้นมาก
หลังจากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มที่จะคีบอาหารให้เขาและแนะนำเมนูที่เขาทำ และเริ่มมีการชนแก้วกันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มคึกคักอยู่พักหนึ่ง
เหตุผลหลักคือ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เพียงแต่ทำอาหารอร่อยเท่านั้น แต่ยังพูดเก่ง ไม่ว่าหลินต้าเหว่ยจะพูดอะไร เขาก็สามารถหยิบยกความคิดเห็นของเขาเข้ามาพูดคุยด้วยได้ ซึ่งทำให้หลินต้าเหว่ยมองเขาด้วยความชื่นชมมากยิ่งขึ้น
ต้องรู้ก่อนว่า ในตอนนั้นเขาดูถูกเจียงเสี่ยวไป๋อย่างมาก และคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋นั้นนอกจากหน้าตาดีแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรดีเลย ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังของครอบครัวที่ด้อยกว่า จบการศึกษาที่ไม่ได้สูง เป็นคนไม่มีความรู้ความสามารถ บ้านนอก ใช้เทคโนโลยีอะไรก็ไม่เป็น
คนแบบนี้จะคู่ควรกับลูกสาวของเขาได้อย่างไร ?
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต่อต้านการแต่งงานครั้งนั้น และไม่ลังเลเลยที่จะยอมตัดขาดจากลูกสาว หากว่าเธอเลือกที่จะออกจากบ้านไปแต่งงาน
แต่ตอนนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ได้ล้มล้างความเข้าใจก่อนหน้านี้ของเขาไปจนหมดสิ้น
เขาตัดสินพลาดตั้งแต่แรกแล้วหรือ ?
หลินต้าเหว่ยอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ขอรับหน้าที่ในการเก็บโต๊ะและล้างจานเหมือนเดิม
คราวนี้ หลิวอี้ถิงไม่พูดอะไร แต่ปล่อยให้เขาทำเลย
เมื่อลูกเขยมาที่นี่ครั้งแรก ก็ต้องปล่อยให้เขาได้โชว์ศักยภาพเพื่อคลายความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสามีกับลูกเขยก่อน แต่เธอซึ่งเป็นแม่ยาย หากยังปล่อยให้ลูกเขยไปล้างจานเอง มันก็ดูจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่
“เสี่ยวเจียง ไปคุยกับพ่อเถอะ แม่จะทำความสะอาดและล้างจานชามเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร เขาจึงได้แต่ฟังที่เธอบอก
“พ่อครับ บุหรี่ครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่งบุหรี่จงฮั๋วให้หลินต้าเหว่ยหนึ่งมวน
เมื่อหลินต้าเหว่ยรับบุหรี่ไป เจียงเสี่ยวไป๋ก็หยิบไม้ขีดออกมาและกำลังจะจุดมัน แต่หลินต้าเหว่ยโบกมือแล้วพูดว่า “แม่ไม่ชอบกลิ่นควันบุหรี่ เราเดินไปสูบข้างนอกกันเถอะ”
“ได้ครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับและเก็บไม้ขีดไฟทันที
หลิวอี้ถิงกำลังเก็บจาน และหลังจากได้ยินคำพูดของหลินต้าเหว่ย เธอก็พูดว่า “เสี่ยวเจียง ไม่เป็นไร สูบในบ้านก็ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับไปว่า “แม่ครับ ไม่เป็นไร ผมจะออกไปเดินย่อยกับพ่อด้วย”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินตามหลินต้าเหว่ยออกประตูไป
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ทั้งสองก็จุดบุหรี่อยู่ที่ประตู หลินต้าเหว่ยเหลือบมองรถจี๊ปที่จอดหน้าบ้านแล้วพูดว่า “เป็นของนายหรือเปล่า ? ”
ในระหว่างการสนทนา เขาก็ได้รู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋และลูกสาวของเขาทำธุรกิจในเมืองชิงโจว ซึ่งทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ส่วนเขานั้นเป็นข้าราชการที่กว่าจะหาเงินซื้อรถคันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “ผมขอให้รองนายกเทศมนตรีจางเป็นผู้รับรองสัญญาการซื้อขายสำหรับรถสามคัน โดยมีรถบรรทุกขนาดเล็กรุ่น 130 2 คัน และรถคันนี้อีก 1 คัน”
หลินต้าเหว่ยตกใจเล็กน้อย “รองจาง…..จางอี้เต๋องั้นหรือ ? ”
อำเภอเจี้ยนหยางเป็นเขตปกครองของเมืองชิงโจว รองนายกเทศมนตรีจางอี้เต๋อจึงมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าของเขา เขาจึงรู้ว่าจางอี้เต๋อไม่ใช่ผู้นำที่จะคุยได้ด้วยง่าย ๆ
หลินต้าเหว่ยไม่คาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะคุ้นเคยกับจางอี้เต๋อจนสามารถขอให้เขาเป็นผู้รับรองในสัญญาการซื้อขายรถทั้งสามคันให้ได้
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินลูกเขยคนนี้ต่ำไปเสียแล้ว