ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 182 :ความสงสัยของเจียงเสี่ยวไป๋
ตอนที่ 182 :ความสงสัยของเจียงเสี่ยวไป๋
บนรถ เจียงเสี่ยวไป๋ถามหลี่ซิ่งฮวาว่า “ทำไมนายอำเภอหลินถึงบอกให้ผมไปคนเดียวล่ะ ? ”
หลี่ซิ่งฮวาตอบว่า “พี่เจียง เมื่อวานคุณทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก นายอำเภอหลินจึงต้องการให้คุณเข้าร่วมต้อนรับแขกของอำเภอด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น
เขาไม่อยากไปพบแขกอะไรนั่น เขาอยากอยู่บ้านกับภรรยามากกว่า
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของพ่อตาได้เช่นกัน
“เลขาหลี่ แขกที่พูดถึงเขาเป็นใครกัน ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถาม
หลี่ซิ่งฮวาอธิบายว่า “เขาเป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกง โรงเบียร์ซานเฉิงกำลังเตรียมที่จะอัพเกรดอุปกรณ์ไลน์การผลิต และเขาสามารถจัดหาเครื่องจักรนำเข้าระดับสูงได้ เขาเคยมาพบเราแล้วครั้งหนึ่ง และคราวนี้มีแนวโน้มว่าพวกเราจะทำสัญญากัน”
โรงเบียร์ซานเฉิงเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอำเภอเจี้ยนหยาง และหลินต้าเหว่ยให้ความสำคัญกับมันอย่างยิ่ง
ไม่นาน รถก็มาถึงโรงแรมประจำอำเภอเจี้ยนหยางที่บริหารโดยรัฐ
ทันทีที่พวกเขาลงจากรถ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เห็นหลินต้าเหว่ยและหลี่กังยืนอยู่ที่ทางเข้าโรงแรม เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังรอนักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนั้นอยู่
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เขาค่อนข้างน่าแปลกใจที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนจากภายนอก แม้แต่นายอำเภอและรองนายอำเภอก็รอนักธุรกิจอยู่ที่ทางเข้าโรงแรมเป็นการส่วนตัว
ซึ่งหากเป็นในยุคสมัยหลัง สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
เขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของนักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนั้นขึ้นมาแล้ว
“พ่อ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ทักทายหลินต้าเหว่ย จากนั้นทักทายกับหลี่กัง “สวัสดีครับรองนายอำเภอหลี่”
เนื่องจากพ่อตาของเขาเป็นนายอำเภอ ทั้งยังยืนอยู่ข้างกัน เขาจึงทักทายหลี่กังอย่างสุภาพ
”สวัสดีเสี่ยวเจียง ! คุณคือวีรบุรุษของอำเภอเจี้ยนหยางของเราอย่างแท้จริง ! ” หลี่กังกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมืออย่างถ่อมตัวและกล่าวว่า “คำว่าวีรบุรุษ ผมไม่กล้ารับไว้จริง ๆ วีรบุรุษที่แท้จริงคือเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ทหาร ตลอดจนทุกคนที่มาช่วยกันดับไฟป่าด้วยความสามัคคีและความกล้าหาญ ผมเพียงเสนอแนะวิธีไปบ้างก็เท่านั้น”
“พวกเขาเป็นฮีโร่ ลูกก็เช่นกัน ! ” หลินต้าเหว่ยเน้นย้ำ
หากไม่มีวิธีที่เจียงเสี่ยวไป๋เสนอให้ดับไฟด้วยไฟ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าไฟป่าจะดับลงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เขาพอใจกับท่าทีของเจียงเสี่ยวไป๋มาก
กล้าที่จะเสนอแนะอย่างกล้าหาญ ช่วยเหลือโดยไม่แสวงหาผลตอบแทน และไม่นิ่งนอนใจ สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติที่น่าชื่นชม
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา โดยถามด้วยความสงสัยว่า “พ่อครับ พ่อกำลังจะต้อนรับนักธุรกิจชาวฮ่องกง เชิญผมมางานเลี้ยงนี้ด้วยแบบนี้ ผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะนะครับ ? ”
หลินต้าเหว่ยตอบว่า “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ลูกยังเป็นนักธุรกิจเหมือนกันไม่ใช่หรือ นักธุรกิจสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพูดคุยกันได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรอีก และยืนรออยู่ข้างหลังหลินต้าเหว่ยอย่างเงียบ ๆ
ไม่นานนัก ก็มีรถจี๊ปเทียนจิง 212 มาจอดที่ทางเข้าโรงแรม ก่อนที่ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปีจะลงมาจากรถ เขามีรูปร่างท้วมตัวสูง สวมสายเอี๊ยม หัวล้าน จมูกใหญ่ ริมฝีปากหนา มีสร้อยทองเส้นใหญ่ห้อยอยู่ที่คอส่องประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงแดด นอกจากนี้ยังสวมนาฬิกาข้อมือสีทอง สวมแว่นตาขอบทองหรูหรา การแต่งการของเขาบ่งบอกถึงความร่ำรวยได้เป็นอย่างดี
“ยินดีต้อนรับคุณเฉิน ! ”
หลินต้าเหว่ยและหลี่กังเข้าไปจับมือและทักทายเขา
นักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนี้คือเฉินกังเซิง เขาพูดจีนสำเนียงกวางตุ้งพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุขว่า “ผมขอโทษที่ทำให้พวกคุณทั้งสองต้องรอ ! ”
“ไม่เป็นไร ! ”
หลินต้าเหว่ยตอบอย่างสุภาพ “คุณเฉิน เชิญทางนี้”
หลังจากนั้น เขาจึงก็เฉินกังเซิงเข้าไปในโรงแรม
ขณะที่แขกผู้มีเกียรติมาถึง หลินต้าเหว่ยก็เชิญเฉินกังเซิงนั่ง โดยมีหลินต้าเหว่ยและหลี่กังนั่งคนละฝั่ง ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋นั่งอยู่ข้าง ๆ หลินต้าเหว่ย หลี่ซิ่งฮวานั่งอยู่ที่นั่งปลายโต๊ะ
เฉินกังเซิงสังเกตเห็นเจียงเสี่ยวไป๋
เขารู้จักหลินต้าเหว่ย หลี่กังและหลี่ซิ่งฮวา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเจียงเสี่ยวไป๋ เฉินกังเซิงจึงเอ่ยถามว่า “ท่านนี้คือ ? ”
หลินต้าเหว่ยแนะนำว่า “นี่คือเถ้าแก่เจียงจากชิงโจว เป็นเจ้าของธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม”
เขาไม่ได้บอกว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นลูกเขยของเขา
“สวัสดีครับคุณเจียง ผมเฉินกังเซิง ! ”
เฉินกังเซิงยื่นมือไปจับมือกับเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋แนะนำตัวเองสั้น ๆ และพูดคุยทักทายอีกเล็กน้อย ก่อนจะเงียบไป
ท้ายที่สุดแล้ว นี่ไม่ใช่ถิ่นของเขา เขาเป็นเพียงคนที่มาคอยอยู่เป็นเพื่อนแขกเท่านั้น เขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การเพลิดเพลินกับมื้ออาหารแทน
เฉินกังเซิงดูเหมือนจะพูดภาษาจีนกลางไม่ค่อยได้ ทำให้การสื่อสารส่วนใหญ่ตลอดมื้ออาหารเป็นภาษากวางตุ้งเสียส่วนใหญ่
ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋ฟัง สีหน้างุนงงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มให้ความสนใจกับนักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนี้มากขึ้น
หลังจากทานอาหารเสร็จ เฉินกังเซิงถูกจัดให้ไปพักผ่อนที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอเจี้ยนหยาง ซึ่งหลินต้าเหว่ยจะต้องกลับไปที่ว่าการอำเภอ เขาจึงบอกให้คนขับรถไปส่งเจียงเสี่ยวไป๋ที่บ้านก่อน
ในรถ จู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “พ่อ พ่อรู้จักเฉินกังเซิงดีแค่ไหน ? ”
หลินต้าเหว่ยหยุดครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาถามว่า “ลูกหมายถึงอะไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พ่อช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าพ่อรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง”
แม้ว่าหลินต้าเหว่ยจะรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังอธิบายว่า “ผู้ใหญ่จากมณฑลแนะนำมา บอกว่าเฉินกังเซิงมีอิทธิพลอย่างมากในเกาะฮ่องกง เป็นเจ้าของบริษัทหลายแห่ง และมีอำนาจในธุรกิจนำเข้าและส่งออก”
“แค่นั้นหรือครับ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถาม
หลินต้าเหว่ยพยักหน้า
สมัยนี้ การคมนาคมและการสื่อสารยังไม่ก้าวหน้า และไม่มีอินเทอร์เน็ตเหมือนในอนาคต ดังนั้นการเข้าถึงข้อมูลจึงมีจำกัด
เฉินกังเซิงยังเป็นนักธุรกิจจากเกาะฮ่องกง และในเวลานี้ เกาะฮ่องกงและแผ่นดินใหญ่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันมากนัก ดังนั้นข้อมูลที่หลินต้าเหว่ยรับรู้จึงมีเพียงเท่านี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋จึงตัดสินใจพูดออกมาว่า “พ่อ ผมคิดว่าตัวตนของเฉินกังเซิงน่าสงสัย”
หืม ?
หลินต้าเหว่ยตกตะลึง แม้แต่หลี่ซิ่งฮวาที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองที่เจียงเสี่ยวไป๋ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ลูกรู้ได้ยังไง ? ”
หลินต้าเหว่ยถามอย่างระมัดระวัง
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายว่า “แม้ว่าเฉินกังเซิงจะพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้ แต่สำเนียงของเขาไม่ใช่ชาวเกาะฮ่องกงโดยกำเนิด แต่สำเนียงของเขากลับใกล้ชิดกับผู้คนจากหมู่บ้านชาวประมงโซนกวางโจวและเซินเจิ้นมากกว่า”
หลินต้าเหว่ยหัวเราะเบา ๆ “สิ่งที่เขาพูดฟังดูยากที่จะเข้าใจก็จริง แต่ลูกสามารถแยกแยะสำเนียงออกได้ยังไง”
แน่นอนว่าเจียงเสี่ยวไป๋สามารถแยกแยะได้
ในชีวิตก่อนของเขา เขาได้ติดต่อกับนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงของเกาะฮ่องกงอย่างกว้างขวาง และเคยดำเนินธุรกิจกับผู้ประกอบการจำนวนมากจากภูมิภาคกวางโจวและเซินเจิ้น
ในเวลานั้น เพื่อความสะดวกในการสื่อสาร เขาได้จ้างครูสอนภาษาจีนกวางตุ้งและเรียนภาษาจีนกวางตุ้งมาระยะหนึ่งด้วย
ในขณะที่ฟังคำพูดของเฉินกังเซิง เขาสังเกตเห็นความแตกต่างเล็กน้อยในการออกเสียง
แต่เมื่อหลินต้าเหว่ยถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถเปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงได้
แต่หากไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน แม้ว่าหลินต้าเหว่ยจะเป็นพ่อตาของเขา ก็เกรงว่าคงจะไม่เชื่อเขาง่าย ๆ แน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง……”
ประโยคนี้ยังเป็นข้ออ้างที่ใช้ได้ผลเสมอ เมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่สามารถระบุได้โดยตรง ผู้คนมักจะอ้างถึงเพื่อนคนหนึ่งเสมอ
หลังจากได้ยินคำอธิบายของเจียงเสี่ยวไป๋ หลินต้าเหว่ยก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ฟังจากสำเนียงที่แตกต่างกันเล็กน้อย ลูกก็สงสัยในตัวตนของเขา นั่นไม่รีบด่วนสรุปไปหน่อยหรือ ? ” หลินต้าเหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ไม่แน่นอน ยังมีเสื้อผ้าของเขาและวิธีการร่วมมือที่กล่าวถึงในการสนทนาด้วย”
จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็อธิบายโดยละเอียดในแต่ละประเด็น
จากความทรงจำของเขาจากชาติก่อน มีนักต้มตุ๋นจำนวนมากในช่วงทศวรรษ 1980 ที่ปลอมตัวเป็นนักลงทุนชาวต่างชาติหรือฮ่องกง คนพวกนั้นได้โกงเงินและทรัพยากรจำนวนมากไปจากหน่วยงานต่าง ๆ ของแผ่นดินใหญ่
พฤติกรรมของเฉินกังเซิงทำให้เขารู้สึกว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขา และความจริงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พ่อ เนื่องจากสัญญายังไม่ได้ลงนามและยังไม่มีการจ่ายเงิน พ่อควรตรวจสอบก่อน เพื่อยืนยันว่าเขาไม่ใช่คนฉ้อโกง”
หลินต้าเหว่ยพยักหน้าเห็นด้วย