ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 19 :บางเรื่องยังไม่ชิน
ตอนที่ 19 :บางเรื่องยังไม่ชิน
เช้าวันต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋ตื่นนอนตั้งแต่ฟ้าเริ่มสว่าง
เมื่อเห็นว่าภรรยากับลูกยังไม่ตื่นนอน เจียงเสี่ยวไป๋จึงค่อย ๆ ลุกจากที่นอน
หากอยากสุขภาพดี ตื่นนอนในตอนเช้าต้องเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายก่อนเป็นอันดับแรก
ห้องน้ำในชนบทมักจะเป็นแบบส้วมซึม โดยทั่วไปจะใช้การขุดหลมเป็นรูปสี่เหลี่ยม จากนั้นจะนำไม้กระดานมาวางพาดด้านบนให้นั่งได้ สร้างคอกกั้นไว้ด้านบนคล้ายกับคอกเลี้ยงหมู ส่วนด้านล่างเป็นส้วมซึม
ดังนั้น ปกติส้วมซึมในลักษณะนี้จะสร้างไว้ใกล้ ๆ คอกหมู
ในตอนที่สร้างคอกหมูจะเว้นทางเดินไว้ที่ฝั่งด้านใน แล้วค่อยขุดหลุมเอียงไว้ตรงทางเดิน เวลาจะถ่ายหนักถ่ายเบาก็จะถ่ายใส่หลุมเอียงนี้ ดังนั้นนอกจากจะเรียกว่าส้วมซึมแล้ว คนในชนบทก็จะเรียกส้วมแบบนี้ว่าส้วมนั่งยองอีกด้วย
ที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีส้วมซึม พวกเขาใช้ร่วมกับบ้านของผู้เป็นพ่อ
หลังจากขับถ่ายเสร็จ คราวนี้เจียงเสี่ยวไป๋ทำตัวไม่ถูกแล้ว
ที่นี่ไม่มีกระดาษชำระ !
ในยุคสมัยนี้ ชาวบ้านในชนบทจะใช้ ‘กาบข้าวโพด’ เช็ดก้นหลังจากถ่ายหนักเสร็จ
เมื่อชาวไร่หักข้าวโพดกลับมาจากไร่แล้ว ในตอนเย็นก็จะปอกข้าวโพดที่บ้าน หลังจากเอากาบใบชั้นนอกออก พวกเขาจะเหลือใบที่ห่อหุ้มฝักข้าวโพดเอาไว้ และเรียกใบด้านในว่า ‘กาบข้าวโพด’
จากนั้นพวกเขาก็จะมัดกาบข้าวโพดไว้เป็นก้อนกลม หากไม่นำไปให้วัวกินก็จะนำมาเช็ดก้นตอนถ่ายหนัก
เวลาใช้เจ้าสิ่งนี้เช็ดก้น มันทั้งหยาบทั้งขาดง่าย ตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋ใช้มันเช็ดก้น เขายังเช็ดไปกลัวไป แถมตอนเช็ดเสร็จยังคันยิบ ๆ ที่ก้นอีกด้วย
ขนาดชายร่างใหญ่อย่างเขาใช้กาบข้าวโพดเช็ดก้นยังคันยุบยิบจนแทบทนไม่ไหวขนาดนี้ ก้นของภรรยาและลูกสาวของเขาบอบบางขนาดนั้นจะทนได้อย่างไร?
“ไม่ ฉันต้องไปซื้อกระดาษชำระ”
เจียงเสี่ยวไป๋พึมพำ
จนกระทั่งเขาออกมาจากส้วมซึมและไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ริมร่องน้ำหลังบ้านซึ่งมีกลิ่นหญ้า ต้นไม้และดิน เขาถึงได้รู้สึกสดชื่นอีกครั้ง
เขาต้องแปรงฟัน
แต่หลังจากค้นหาอยู่นาน เจียงเสี่ยวไป๋ถึงพบว่าที่บ้านไม่มียาสีฟันและแปรงสีฟัน
เจียงเสี่ยวไป๋หมดคำจะพูด เขาเพิ่งนึกได้ว่าตนเองคือคนที่กลับมาเกิดใหม่ จึงติดนิสัยรักความสะอาดและรักษาสุขอนามัยของตนเองมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว แต่ตอนนี้มันคือช่วงต้นของยุค 80 ผู้คนส่วนใหญ่ในชนบทไม่มีนิสัยชอบแปรงฟัน
“ต้องซื้อยาสีฟันและแปรงสีฟันแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ตัดสินใจที่จะซื้อของเพิ่ม
เขาจะให้ภรรยากับลูกแปรงฟันทั้งตอนเช้าและก่อนนอนทุกวัน เพื่อให้ทั้งสองมีสุขภาพปากและฟันที่แข็งแรง แบบนี้เวลาที่ลูกสาวจุ๊บแก้มเขาก็จะได้มีแต่กลิ่นหอม
อืม ภรรยาด้วย
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่ได้จู๋จี๋กับเธอ แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องของเวลาไม่ใช่หรือไง ?
นึกถึงความตื่นเต้นนั้น เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกตื่นตัวอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงรีบไปล้างหน้าล้างตาที่ถังน้ำในครัว
ต่อมา เขาจะทำอาหารเช้าให้ภรรยาและลูกของเขาแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋นวดแป้งที่ซื้อมาเมื่อวาน จากนั้นก็ต้มซุปใส่กระดูกหมู เขาไปที่แปลงผักเพื่อเด็ดแตงเทศมา หลังจากหั่นแตงเป็นชิ้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ใส่แตงลงไปต้มกับซุปกระดูกหมู
จากนั้นเขาก็สับเนื้อหมูให้ละเอียด แล้วซอยต้นหอมใส่ ใส่เครื่องปรุงเล็กน้อย ทำเป็นไส้หมูสับ
รอจนแป้งได้ที่แล้ว เขาก็เริ่มห่อซาลาเปา
แป้งสาลี 2 ชั่งทำซาลาเปาลูกใหญ่ได้ประมาณ 60 ลูก แต่ละลูกแป้งบางไส้เยอะ ไส้ซาลาเปาเน้นเนื้อ ไม่เน้นต้นหอม เรียกได้ว่ามันคือซาลาเปาไส้หมูอย่างแท้จริง
หลังจากเอาซาลาเปาที่ห่อเสร็จแล้วไปนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋ก็วุ่นอยู่หน้าเตา
……
ปกติหลินเจียอินเป็นคนตื่นเช้ามาก แต่เมื่อเธอตื่นมาก็พบว่าบนเตียงไม่มีเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว หญิงสาวจึงอดที่จะสงสัยไม่ได้
เมื่อก่อนทุกครั้งที่เธอตื่น เจียงเสี่ยวไป๋จะยังหลับสนิทอยู่บนเตียง ทำไมวันนี้เขาตื่นเช้าจัง?
เธอลุกจากเตียงแล้วเดินออกจากห้อง เมื่อเห็นว่าไฟในห้องครัวยังคงส่องแสงสว่าง ขณะเดียวกันเธอก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยโชยมาจากด้านใน หญิงสาวจึงเดินเข้าไป
“เมียจ๋า คุณตื่นแล้วหรือ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าหลินเจียอินเดินเข้ามาจึงรีบทักทาย แล้วพูดต่ออีกว่า “อีกเดี๋ยวซาลาเปาก็จะสุกแล้ว”
“คุณทำซาลาเปาหรือ ? ”
หลินเจียอินตกตะลึงอีกครั้ง เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะทำซาลาเปาเป็นด้วย
“ไม่ใช่แค่ซาลาเปาเท่านั้นนะ ผมยังทำซุปกระดูกใส่แตงเทศอีกด้วย ต่อไปนี้เราต้องกินมื้อเช้าที่มีประโยชน์” เจียงเสี่ยวไป๋พูด
ตอนนี้หลินเจียอินถึงได้รู้ว่าในหม้อใบเล็กอีกใบยังมีซุปกระดูกใส่แตงอยู่ด้วย อีกทั้งบนเขียงยังมีซาลาเปาที่ยังไม่ได้นึ่งอีกหลายสิบลูก
“คุณไปล้างมือล้างหน้าก่อน อีกเดี๋ยวค่อยมากินซาลาเปา” เจียงเสี่ยวไป๋บอก
หลินเจียอินพูดขึ้นว่า “ใครเขากินข้าวเช้าขนาดนี้กัน อีกอย่างชานชานยังไม่ตื่นเลย”
“งั้นพวกเรารอชานชานตื่นแล้วค่อยกินพร้อมกันดีกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดแล้วจึงพูดต่ออีกว่า “งั้นผมเอาซาลาเปาหม้อนี้ไปให้เสี่ยวเหลยกับเสี่ยวหยูก่อน สองคนนั้นจะได้ห่อไปกินมื้อกลางวัน”
“อืม”
หลินเจียอินพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “คุณห่อซาลาเปาเยอะขนาดนี้ อีกเดี๋ยวค่อยแบ่งไปให้พ่อกับแม่ทีหลัง”
“เมียจ๋า เราไปด้วยกันนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะพลางพูดอย่างหน้าไม่อาย
หลินเจียอินหน้าแดงในขณะที่มองค้อนเจียงเสี่ยวไป๋
นับตั้งแต่ที่ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อวาน เขาก็ใช้โอกาสนี้เรียกเธอว่าเมียจ๋าโดยไม่กระดากปากเลยสักนิด
อีกด้านหนึ่ง เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูตื่นนอนแต่เช้ามืดเพราะต้องไปโรงเรียน เจียงเสี่ยวหยูล้างหน้าเสร็จแล้วก็เตรียมจะไปนึ่งมันเทศกินเป็นอาหารเช้า จากนั้นเธอยังต้องนำไปเป็นอาหารกลางวันกับพี่ห้า อีกคนละ 2 ลูก
เด็ก ๆ ในชนบทเป็นผู้ใหญ่เร็ว ปกติพออายุ 10 ขวบก็สามารถหุงหาอาหารกินเองได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเสี่ยวหยูอายุ 12 ปีแล้ว เธอจึงไม่ต้องให้แม่ของเธอตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมาทำอาหารเช้าให้เธอกิน
“เสี่ยวเหลย เสี่ยวหยู”
เจียงเสี่ยวหยูเตรียมจะก่อไฟ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของเจียงเสี่ยวไป๋ดังมาจากนอกบ้าน
เช้าขนาดนี้ แทนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะเข้ามาทางประตูใหญ่ แต่เขากลับเดินอ้อมไปยังประตูหลังครัวแทน เขารู้ว่าในตอนเช้า น้องห้าและน้องเล็กจะมาทำอาหารเช้าในครัวเวลานี้ประจำ
เจียงเสี่ยวหยูหยุดงานในมือแล้วเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน
“พี่รอง มาเช้าขนาดนี้มีอะไรหรือเปล่า ? ”
หลังจากถามจบ เธอถึงได้เห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ยกกะละมังมาด้วยหนึ่งใบ ซึ่งในนั้นมีซาลาเปานึ่งนับสิบลูกที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่นขึ้นมา
“อ๊า ซาลาเปา”
เจียงเสี่ยวหยูตาเป็นประกาย เด็กสาวอุทานด้วยความตื่นเต้น
“เอาไปสิ พี่เอามาให้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นกะละมังให้เธอ และไม่ลืมที่จะพูดว่า “เอาซาลาเปาออกไปแล้วคืนกะละมังมาให้พี่ด้วย”
“ขอบคุณนะพี่รอง”
เจียงเสี่ยวหยูยิ้มหน้าบาน เธอรับกะละมังมาอย่างไม่เกรงใจ
เฮอะ ๆ พี่รองเอาซาลาเปามาให้ เช้านี้ไม่ต้องนึ่งมันเทศกินแล้ว
“พี่รอง พี่รวยแล้วหรือไง ? ”
ในตอนนี้ เจียงเสี่ยวเหลยที่เพิ่งล้างมือเสร็จเดินเข้ามาในครัวพอดี เขาเห็นตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋เอาซาลาเปามาให้น้องเล็ก แววตาของเขาก็เป็นประกายเช่นกัน เขารีบวิ่งเข้ามาถามด้วยความตื่นเต้น
เมื่อคืนพี่รองเพิ่งเอาเนื้อกระต่ายผัดและหมูตุ๋นมาให้ ตอนนี้เขาเอาซาลาเปามาให้อีกแล้ว หากเขาไม่รวย แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเนื้อและแป้งสาลี ?
“นายนี่ถามมากนักนะ หรือว่าซาลาเปาไส้หมูยังปิดปากนายไม่ได้ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดหยอกด้วยรอยยิ้ม
“ผมก็แค่ถามเอง”
เจียงเสี่ยวเหลยทำเป็นพูดอย่างไม่พอใจ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว “พี่รอง ถ้าพี่มีลู่ทางทำให้ตัวเองรวยก็อย่าลืมพาผมไปด้วยนะ”
เมื่อคืนเขาได้ยินพี่รองพูดตอนที่เอาเนื้อกระต่ายผัดและหมูตุ๋นมาให้ พี่รองบอกว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการขึ้นเขาไปล่าสัตว์ขาย เขาจึงกำลังคิดว่าการล่าสัตว์มันทั้งสนุกและยังสามารถนำไปขายแลกเงินได้อีก มันดีกว่าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนตั้งเยอะ
“นายตั้งใจเรียนดีกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างเข้มงวด
ในตอนนั้นที่เขากลายเป็นคนไม่เอาไหน ดูเหมือนทุกคนต่างดูแคลนเขาทั้งนั้น มีเพียงแค่น้องห้าคนเดียวที่ยึดถือเขาเป็นแบบอย่างและใกล้ชิดกับเขายิ่งกว่าใคร
แต่ในชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวเหลยเรียนจบมัธยมปลายแล้วก็เดินตามเส้นทางเก่าของเขาเข้าสู่วงการของพวกนักเลง สุดท้ายก็ติดคุกอยู่ 2 ปี
ชาตินี้เขาจะไม่ยอมให้น้องห้าเดินทางผิดอีกแล้ว
เขาจะทำให้ทุกคนในครอบครัวได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“อื้อ”
เจียงเสี่ยวเหลยตอบกลับอย่างเซ็ง ๆ เขาไม่เคยกลัวพ่อแม่ แต่คนที่เขากลัวที่สุดก็คือพี่รองของเขานี่เอง ถึงขนาดที่ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับพี่รองด้วยซ้ำ
เจียงเสี่ยวไป๋พูดกับเจียงเสี่ยวเหลยแล้วก็เห็นว่าเจียงเสี่ยวหยูเอาซาลาเปาออกไปแค่ 8 ลูกและเก็บที่เหลือเข้าไปในตู้ เขาจึงพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหยู เธอจะเก็บซาลาเปาทำไม รีบกินสิ”
เจียงเสี่ยวหยูตอบกลับ “หนูกับพี่ห้ากินคนละ 2 ลูกและเอาไปกินตอนกลางวันอีกคนละ 2 ลูกก็พอแล้ว ที่เหลือเก็บไว้ให้พ่อ แม่ และถิงถิง”
น้องเล็กของเขาช่างรู้เรื่องรู้ราวดีจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ทั้งชื่นชมและสงสาร เขาพูดว่า “เธอกับเสี่ยวเหลยกินให้อิ่มก่อน ที่เหลือค่อยเอาไปกินตอนกลางวัน ไม่ต้องห่วงส่วนของพวกพ่อกับแม่ อีกเดี๋ยวพี่จะยกมาให้ทีหลัง”
“ยอดไปเลย จะได้กินได้เต็มที่เสียที” เจียงเสี่ยวเหลยพูดด้วยความดีใจ
ส่วนเจียงเสี่ยวหยูยิ้มจนดวงตากลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม แต่เขาไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน ทว่ากลับเดินไปทางริมแม่น้ำแทน