ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 191 :จะเหมือนกันได้อย่างไร?
ตอนที่ 191 :จะเหมือนกันได้อย่างไร?
ในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อการติดต่อสื่อสารยังไม่พัฒนา เป็นเรื่องปกติที่จะบอกให้ญาติที่อยู่ไกลรู้ล่วงหน้า ก่อนที่จะไปเยี่ยม เป็นเพราะพวกเขากลัวว่าหากมาโดยไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า ญาติ ๆ อาจจะไม่อยู่บ้านและจะเดินทางโดยเปล่าประโยชน์
ขณะเดียวกัน เมื่อเจ้าบ้านรู้ว่าแขกจะมา พวกเขาก็จะสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้
มิฉะนั้น เมื่อแขกมาถึงและเจ้าของบ้านไม่มีเครื่องดื่มหรืออาหารจำพวกเมนูเนื้อให้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เจ้าของบ้านอับอายเท่านั้น แต่แขกยังอาจคิดว่าเจ้าบ้านไม่พอใจที่พวกเขามาเยี่ยมเยียนอีกด้วย
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีธรรมเนียมในการส่งจดหมายมาบอกล่วงหน้า
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะและพูดว่า “ผมมาที่บ้านพี่ทั้งที ยังต้องเอาจดหมายมาบอกล่วงหน้าด้วยหรือ ? ”
เฉินหยวนเฉายิ้มทื่อ เขารับของต่าง ๆ มาจากมือของเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “คราวที่แล้ว นายเอาของจากบ้านตัวเองมาต้อนรับพวกเราเสียเยอะ นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น นายก็มาที่นี่พร้อมของเต็มไม้เต็มมืออีกแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือปัด “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เมื่อก่อนเป็นเพราะผมทำตัวไม่ค่อยดีกับพี่เขยและพี่สาวต่างหาก”
เฉินหยวนเฉาก็ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน
“อาเสี่ยวไป๋ อาสะใภ้ ! ”
“สวัสดีค่ะคุณอา สวัสดีค่ะอาสะใภ้ ! ”
เฉินปิงและเฉินหงทักทายเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินอย่างสุภาพเช่นกัน
ที่บ้าน เด็กทั้งสองไม่ได้เก็บตัวเหมือนเมื่อไปเยี่ยมบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ หลังจากทักทายทุกคนแล้ว พวกเขาก็พาเจียงชานไปเล่นทันที
เจียงเสี่ยวเยว่ดีใจที่ได้เจอเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินเช่นกัน เธอชวนทั้งสองคนให้นั่งในห้องนั่งเล่นแล้วไปเตรียมชามาให้พวกเขา
หลังจากที่เฉินหยวนเฉาวางของลงแล้ว เขาก็ยื่นบุหรี่ให้เจียงเสี่ยวไป๋
บุหรี่จงฮว๋า !
มันเป็นบุหรี่ยี่ห้อเดียวกับที่เจียงเสี่ยวไป๋ให้เขาครั้งล่าสุด ปกติเขาไม่สูบบุหรี่เอง จึงมักจะเก็บไว้ให้แขก
“คุยกับพี่เขยของนายไปก่อนนะ พี่จะไปทำอาหาร” เจียงเสี่ยวเยว่พูด หลังจากรินชาแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ผมเอาพะโล้ตุ๋นมาด้วย พี่แค่ผัดอาหารสักสองสามอย่างก็พอ”
เจียงเสี่ยวเยว่ทำหน้ามุ่ย “นายมาที่บ้านฉันและยังนำอาหารเหล่านี้มาอีก นายกลัวว่าจะไม่มีอะไรกินหรือไง”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ถึงอย่างไรผมก็ทำของพวกนี้ขาย ผมเลยเอามาฝาก มันไม่ยุ่งยากอะไร อีกอย่างปิงปิงและเสี่ยวหงก็ชอบน่องไก่พะโล้เหมือนกัน”
“เอาล่ะ นายมีเหตุผลของนายเสมอ ! ” เจียงเสี่ยวเยว่พูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
ขณะที่พวกเขาจุดบุหรี่ เฉินหยวนเฉาก็ถามว่า “เสี่ยวไป๋ ครั้งนี้นายมาที่นี่เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับโรงงานหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
ใบหน้าของเฉินหยวนเฉาสดใสขึ้น เขาพูดว่า “เร็วเข้า! บอกฉันที ฉันคิดถึงเรื่องนี้มาสองสามวันแล้ว และยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งมองเห็นศักยภาพมากขึ้นเท่านั้น”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ผมได้ที่ดิน 500 หมู่มาจากรองนายกเทศมนตรีจาง……”
“อะไรนะ ? ! ”
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เฉินหยวนเฉาก็อุทานและลุกขึ้นยืน “นายได้ที่ดินมา 500 หมู่หรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยกมือขึ้น โบกมือให้เขานั่งลงแล้วพูดว่า “ผมบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ? ผมจะลงทุน 1 ล้านหยวนเพื่อสร้างโรงงาน ดังนั้นเรื่องที่ดิน 500 หมู่มีอะไรน่าตกใจกัน ? ”
เฉินหยวนเฉานั่งลงทั้งที่ยังอ้าปากค้าง
นี่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่เขาคิดไว้ !
ความคิดของเขานั้นเรียบง่าย โดยให้เจียงเสี่ยวไป๋ลงทุนสักสองสามหมื่นหยวน ตั้งโรงงานเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน จากนั้นให้ผู้หญิงที่มีทักษะในหมู่บ้านที่เก่งในการทำผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองมาทำงาน ไม่ว่าจะเป็นทำเต้าหู้และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จากนั้น เขาจะพาคนหนุ่มสาวสองสามคนไปจัดการการขายด้วย
เขาได้หารือเกี่ยวกับแนวคิดนี้กับชาวบ้านในหมู่บ้านหลายคน และทุกคนคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะลอง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาและชาวบ้านที่หมู่บ้านกำลังรอข่าวจากเจียงเสี่ยวไป๋
แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าข่าวที่เขาจะได้รับคือเจียงเสี่ยวไป๋ได้ครอบครองที่ดินในเมืองแล้ว
ในกรณีนั้น โรงงานจะอยู่ภายใต้เขตอำนาจของเมือง และจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านไป๋หยาง
เขารู้สึกราวกับว่าความพยายามของเขาไร้ประโยชน์ เหมือนกับน้ำที่เทลงในตะกร้าไม้ไผ่
เมื่อเห็นสีหน้าท้อแท้ของเฉินหยวนเฉา เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “พี่เขย อย่าคิดว่าเพียงเพราะผมตั้งโรงงานในเมือง แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านไป๋หยาง”
เฉินหยวนเฉามองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าความคิดของเขาจะถูกมองผ่านได้ง่ายขนาดนี้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดต่อ “เหตุผลที่ผมทำแบบนี้ เพราะว่าผมเล็งเห็นการพัฒนาองค์กรในอนาคต ท้ายที่สุดแล้ว หมู่บ้านไป๋หยางก็เป็นเพียงหมู่บ้าน และถ้าเราต้องการให้โรงงานเต้าหู้เติบโตและประสบความสำเร็จ มันไม่สามารถเจริญเติบโตได้ที่นี่”
เฉินหยวนเฉายิ้มเหยเกและพูดว่า “ฉันแค่อยากตั้งโรงงานเล็ก ๆ เพื่อช่วยให้ชาวบ้านได้ราคาถั่วเหลืองที่ดีขึ้นและมีรายได้พิเศษ ฉันไม่เคยคิดที่จะทำให้มันใหญ่โตขนาดนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “พี่เขย พี่เคยเป็นทหาร ดังนั้นพี่น่าจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่าทหารที่ไม่อยากเป็นนายพลไม่ใช่ทหารที่ดี”
“เช่นเดียวกับการบริหารโรงงาน หากพี่ไม่ต้องการขยายโรงงาน พี่อาจไม่ใช่ผู้จัดการโรงงานที่ดี”
“ตอนนี้พี่มีผมลงทุนให้ ทำไมไม่ลองใช้โอกาสนี้ตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นสำหรับโรงงานดูล่ะ ? ”
“ชายชาตรีมักมีใจที่คิดการใหญ่ และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล”
“เมื่อเราทำงาน เราไม่สามารถมุ่งความสนใจไปที่ปัจจุบันได้ แต่เราต้องมองไปยังอนาคต นั่นคือวิธีที่เราสามารถขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของเราได้”
เฉินหยวนเฉาเงียบไป คำพูดหลายคำที่เจียงเสี่ยวไป๋ใช้ เช่น ‘องค์กร’ ‘ตำแหน่ง’ และ ‘วิสัยทัศน์’ นั้นเป็นคำที่เขาไม่คุ้นเคย และคำเหล่านี้ฟังดูเหมือนหมอกเมฆในความเข้าใจของเขา
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เขาเข้าใจได้
ความตั้งใจของเจียงเสี่ยวไป๋คือให้เขาเป็นผู้จัดการโรงงาน
หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหยวนเฉาก็พูดว่า “เสี่ยวไป๋ ถ้านายลงทุนสองสามหมื่นหยวน เพื่อตั้งโรงงานเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน และให้ฉันเป็นผู้จัดการโรงงาน นั่นยังพอเหมาะกับฉัน”
“แต่…..”
“นายลงทุนเป็นล้านและสร้างโรงงานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 500 หมู่ และคาดหวังให้ฉันจัดการมัน ฉันทำไม่ได้หรอก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ “ตอนพี่ชวนให้ฉันดื่ม พี่เคยพูดว่าผู้ชายห้ามพูดคำว่า ‘ทำไม่ได้’ แต่ตอนนี้เมื่อถึงเวลาที่จะทำอะไรสักอย่าง ทำไมพี่ถึงกลายเป็นคนที่พูดคำนี้แทนเสียแล้วล่ะ ? ”
เฉินหยวนเฉายิ้มอย่างเขินอาย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่ออีกว่า “พี่เขย ความคิดของพี่ในการช่วยให้ชาวบ้านเจริญรุ่งเรืองเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเราไม่ขยายโรงงาน มันก็จะเป็นเพียงแค่ความคิดหนึ่งเท่านั้น”
“ในทางตรงกันข้าม การขยายขนาดโรงงาน ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในเขตเมืองหรือในหมู่บ้านไป๋หยาง สถานการณ์ก็ยังคงเหมือนเดิม”
“เราไม่เพียงแต่สามารถรับซื้อถั่วเหลืองจากชาวบ้านได้เท่านั้น แต่ยังให้โอกาสการจ้างงานแก่พวกเขาในโรงงาน ทำให้พวกเขากลายเป็นคนงานได้”
“แบบนี้ดีกว่าเปิดโรงงานเล็ก ๆ แล้วซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาห่างไกลตั้งเยอะ ! ”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหยวนเฉารู้สึกว่าคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋มีเหตุผล
“แล้ว……หลังจากสร้างโรงงานแล้ว เราจะจ้างคนจากหมู่บ้านของเราเพิ่มได้ไหม ? ” เฉินหยวนเฉาถาม
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ด้วยโรงงานขนาดใหญ่เช่นนี้ เราจะต้องมีคนงานหลายพันคนในอนาคต ไม่ต้องกังวล เพราะจะมีโอกาสมากมายสำหรับผู้คนจากหมู่บ้านไป๋หยางที่จะหางานทำ”
ซี๊ด !
เฉินหยวนเฉาสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง
โรงงานที่มีคนงานหลายพันคน ซึ่งมากกว่าประชากรทั้งหมดของหมู่บ้านไป๋หยางเสียอีก !
แม้จะเปรียบเทียบกับรัฐวิสาหกิจบางแห่งแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นโรงงานขนาดใหญ่
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังวางแผนสร้างโรงงานขนาดใหญ่เช่นนี้
สำหรับพี่เขยเช่นเขาแล้ว เขาพบว่ามันยากที่จะเข้าใจ
“นายต้องการให้ฉันจัดการโรงงานขนาดใหญ่ขนาดนี้ นายคิดว่าฉันทำได้หรือเปล่า ? ”
เฉินหยวนเฉาเริ่มมีความมั่นใจน้อยลงอีกครั้ง แต่เขาก็ยังคงถามอย่างไม่แน่ใจ
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “ทำไมพี่ถึงไม่มีความสามารถล่ะ ? พี่ทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านมาก่อน และการเป็นผู้จัดการโรงงานก็คล้ายกับการเป็นผู้ใหญ่บ้าน ทั้งสองบทบาทเกี่ยวข้องกับการจัดการทั้งนั้น”
เฉินหยวนเฉาเบิกตากว้าง การเป็นผู้ใหญ่บ้านและผู้จัดการโรงงานจะเป็นบทบาทเดียวกันได้จริงหรือ ?
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเป็นผู้จัดการโรงงาน แต่เขารู้แน่ว่ามันไม่เหมือนกับการเป็นผู้ใหญ่บ้านเลย
อย่างไรก็ตาม เขายังรู้ด้วยว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังพูดสิ่งนี้เพื่อช่วยบรรเทาความกดดันของเขา
“ตกลง ฉันจะฟังนายและเรียนรู้จากนาย ! ”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำให้ความตั้งใจของน้องชายภรรยาต้องผิดหวัง
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ใช่แล้ว ! ไม่มีใครเกิดมารู้ทุกอย่าง ทักษะการทำงานและประสบการณ์ได้มาจากการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่พี่มุ่งมั่นที่จะบริหารโรงงานให้ดี ใส่ใจในการเรียนรู้และการทำงาน ไม่มีอะไรที่พี่จะทำไม่ได้”
“ฉันเข้าใจแล้ว ! ”
เฉินหยวนเฉาพยักหน้า และให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อบริหารโรงงานให้ประสบความสำเร็จ
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ การตัดสินใจครั้งนี้จะนำเขาไปสู่การเป็นเจ้าสัวธุรกิจ ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง
อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องราวในอนาคต
ในขณะนี้ เขาเป็นเหมือนนักเรียนชั้นประถมที่ขอคำแนะนำจากเจียงเสี่ยวไป๋อย่างถ่อมตัว “ฉันควรทำอย่างไรต่อไป ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พอใจที่ได้เห็นว่าเขาอินกับบทบาทใหม่ได้เร็วแค่ไหน เขาจึงเริ่มอธิบายขั้นตอนต่อไปให้เฉินหยวนเฉาฟัง