ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 196 :ถูกกดดันให้มีลูกคนที่สอง
ตอนที่ 196 :ถูกกดดันให้มีลูกคนที่สอง
เมื่อครอบครัวใหญ่อยู่ด้วยกัน ก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะกินข้าวด้วยกัน
ทุกวันนี้ หวังซิ่วจวี๋เตรียมอาหารล่วงหน้าทุกวัน เพื่อว่าเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอิน และเจียงชานกลับมาแล้ว พวกเขาจะสามารถกินอาหารได้ทันที
“แม่ครับ แม่ไม่ต้องลำบากเตรียมอาหารเอาไว้ให้ผมก็ได้ ตอนกลับมาบ้านแล้ว ผมสามารถทำอาหารได้” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
หวังซิ่วจวี๋มองค้อนเขาทันที “ทำไมล่ะ ? ลูกคิดว่าอาหารที่แม่ทำไม่อร่อยเท่าที่ลูกทำหรือยังไง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ผมโตมากับอาหารฝีมือแม่ และผมก็ชอบกินอาหารฝีมือของแม่ที่สุด ไม่มีทางที่ผมจะบอกว่ามันไม่อร่อย”
เขากล่าวเสริมอีกว่า “ผมแค่ไม่อยากให้แม่ทำงานหนัก บางอย่างที่ผมทำได้ ก็ให้ผมทำเถอะครับ”
เมื่อลูกชายของเธอมีความเข้าใจและกตัญญูแบบนี้ หวังซิ่วจวี๋รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้ในทุ่งนามีงานไม่มากนัก และเธอก็ไม่จำเป็นต้องจับกุ้งด้วย กิจวัตรประจำวันของเธอตอนนี้คือการดูแลเจียงถิง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเธอผ่อนคลายและมีเวลาว่างเยอะมาก
เธอรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋มีงานยุ่งทุกวัน ดังนั้นเธอจึงต้องการช่วยเขาแบ่งเบาภาระบางส่วน
เธออาจทำอย่างอื่นไม่ได้มาก แต่สามารถทำอาหารทุกวัน เพื่อให้ลูกชายของเธอได้กินอาหารร้อน ๆ ทันทีที่เขากลับมาถึงบ้าน
“แม่ไม่ได้ลำบาก”
หวังซิ่วจวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นหวังซิ่วจวี๋ก็หันไปมองรอบ ๆ เมื่อพบว่าหลินเจียอินไม่อยู่ตรงนี้ เธอจึงกระซิบว่า “ลูกเองก็เหมือนกัน อย่ามัวแต่ทำงานทั้งวัน ต้องใส่ใจสิ่งที่แม่บอกครั้งที่แล้วด้วย รีบหน่อยสิ ! ”
ในตอนแรก เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว
เขาคิดกับตัวเองว่า: ตอนนี้ผมก็จัดหนักมากแล้ว
เขาจัดหนักจนภรรยาพยายามใช้วิธีอื่นมาทำให้เขาเข้านอนทีหลังได้
แต่เรื่องของการมีลูก ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถรู้ผลลัพธ์ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“แม่กำลังพูดกับลูกอยู่ ลูกได้ยินไหม ? ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ตกอยู่ในภวังค์ความคิด หวังซิ่วจวี๋ก็พูดอย่างฉุนเฉียวและขึ้นเสียงเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ผมได้ยินแล้วครับแม่”
เขาไม่กล้าอยู่ในครัวอีกต่อไป เจียงเสี่ยวไป๋รีบหยิบจานสองใบแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
หวังซิ่วจวี๋กระทืบเท้าและพึมพำออกมา “ทำเป็นเขินอายไปได้ แม่ยังให้กำเนิดพวกลูก ๆ มาตั้งหกคน ตอนนี้ลูกโตก็แล้ว แต่เพิ่งมีลูกสาวแค่คนเดียว ลูกไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เลยหรือไง ? ”
เมื่อคิดว่าการพูดคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋เกี่ยวกับเรื่องนี้จะไม่เพียงพอ เธอจึงตัดสินใจพูดคุยกับหลินเจียอินเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ใช่สิ เจียงเสี่ยวเฟิงและภรรยาของเขาด้วย
อย่าคิดว่าจะมีใครสามารถหลบเลี่ยงเรื่องนี้ได้
ตอนนี้ฐานะของครอบครัวดีขึ้นแล้ว พวกเขาทุกคนควรพยายามมีลูกให้มากขึ้น เพราะการมีลูกหลานเต็มบ้านเป็นเรื่องที่ดี
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว
เจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงต่างก็ไปดูโทรทัศน์
ตอนนี้ ตราบใดที่ฝนไม่ตก ผู้คนจำนวนไม่น้อยในหมู่บ้านก็จะนำเก้าอี้มารวมตัวกันนอกบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋เพื่อขอดูละครโทรทัศน์ด้วย
ตอนนี้โทรทัศน์จะถูกย้ายเข้าออกโดยเจียงเสี่ยวเฟิง ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ต้องลำบากอีก
เจียงชานและเจียงถิงกินอาหารเสร็จก็เตรียมพร้อมที่จะดูโทรทัศน์ ทว่าหลินเจียอินได้เดินไปหาเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “สามี คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋สะดุ้ง เขายังกลืนข้าวคำสุดท้ายไม่เสร็จด้วยซ้ำ ก็ต้องรีบไปเรียกเจียงชานแล้ว
“ป่าป๊า หนูจะดูโทรทัศน์กับถิงถิง”
หนูน้อยลืมไปแล้วว่าหม่าม๊าของเธอให้เรียนการเขียนในวันนี้
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูลูกสาวที่น่าสงสารของเขาแล้วถอนหายใจ และหยุดทั้งเจียงชานและเจียงถิงแล้วพูดว่า “อย่าไปเลย ป่าป๊าจะพาพวกหนูไปเรียนที่ห้องหนังสือ”
“ห้องหนังสือไม่เห็นมีอะไรน่าสนุกเลย ! ” เจียงชานกล่าวอย่างไม่พอใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ดูอาเสี่ยวเหลยกับอาเสี่ยวหยูของหนูสิ ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ดูโทรทัศน์เหมือนกัน พวกเราไปเรียนและเล่นเกมกันดีกว่า”
เนื่องจากการสอบปลายภาคที่กำลังจะมาถึง เจียงไห่หยางไม่อนุญาตให้เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูดูโทรทัศน์ หลังอาหารเย็น พวกเขาต้องเข้าไปในห้องเพื่ออ่านหนังสือทบทวนบทเรียนของตนเอง
บ้านหลังใหม่มีห้องหลายห้อง ดังนั้นเจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูต่างมีห้องของตัวเอง และพวกเขาจะไม่รบกวนกันและกัน
นอกจากนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ยังได้ออกแบบห้องหนังสือมาโดยเฉพาะ แต่ไม่เคยใช้งานเลยสักครั้ง
ไม่คาดคิดว่าคราวนี้จะได้ใช้ห้องนี้สอนเด็ก ๆ หัดเขียน
เจียงเสี่ยวไป๋มีลายมือที่ยอดเยี่ยม แต่ความเป็นเลิศนี้จำกัดอยู่ในสายตาของผู้คนทั่วไปเท่านั้น ต่อหน้านักอักษรยังไม่ถือว่าโดดเด่นอะไร
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากชาติก่อนเขาสนใจในการสะสมผลงาน เขาจึงได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอักษรวิจิตรและการวาดภาพ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจเทคนิคและหลักการในการประดิษฐ์ตัวอักษรเป็นอย่างดี
ซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับการสอนเด็ก ๆ
เขาพาเด็กสองคนเข้าไปในห้องอ่านหนังสือ และให้พวกเธอนั่งที่โต๊ะด้านหนึ่ง
เดิมที การฝึกอักษรพู่กันควรฝึกในท่ายืน แต่เด็กทั้งสองยังตัวเล็กเกินไป พวกเธอสูงกว่าโต๊ะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นหากให้พวกเธอยืนจะทำให้พวกเธอไม่สามารถเขียนได้เลย
เจียงเสี่ยวไป๋จุ่มพู่กันลงในน้ำแล้วจึงลงหมึก เขาวางกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ข้างหน้าเจียงชานและเจียงถิง โดยเทหมึกเล็กน้อยลงในแท่นฝนหมึก
“ป่าป๊า หนูไม่อยากเขียน”
เด็กน้อยพูดอย่างน่าสงสาร ดวงตาโตของเธอหม่นแสงลงเล็กน้อย
“คุณลุง หนูก็ไม่อยากเขียนเหมือนกัน”
เจียงถิงแสดงความเห็นของเธอออกมาเสียงเบา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขาไม่ได้พูดถึงการเขียนด้วยซ้ำ แต่เด็กน้อยทั้งสองได้กังวลไปก่อนแล้ว
บางทีเด็ก ๆ มักจะต่อต้านสิ่งต่าง ๆ โดยธรรมชาติ เช่น การเรียนหนังสือ
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับการดูโทรทัศน์และการเล่น การเรียนรู้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ และมันน่าเบื่อมากสำหรับเด็ก ๆ
อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่จำเป็นในชีวิต เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขัดเกลาความคิดและไขข้อสงสัย นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่การสร้างอาชีพ และเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ
เนื่องจากเจียงเสี่ยวไป๋ตัดสินใจที่จะสอน เขาจึงต้องหาวิธีการสอนที่ดี
เขามองไปที่เด็กทั้งสองคนและยิ้ม แล้วพูดว่า “วันนี้ป่าป๊ายังไม่สอนวิธีเขียนให้หรอก เรามาเล่นเกมกันดีไหม ? ”
เจียงชานทำหน้ามุ่ย “เรามีกระดาษและปากกา เห็นได้ชัดว่ายังมีการเขียนอยู่”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ เขาไม่พูดอะไรมาก แต่หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกแล้วจุดไว้ตรงกลางกระดาษ จากนั้นเขาก็เริ่มวาดวงกลมตามเข็มนาฬิกา
เขาขยับพู่กันอย่างราบรื่น และจังหวะของพู่กันก็หมุนตามการหมุนข้อมือของเขา เส้นของวงกลมมีความหนาสม่ำเสมอ และวงกลมก็ขยายออกไปด้านนอกเรื่อย ๆ ไม่นานนักเขาก็วาดภาพที่คล้ายกับขดยากันยุงขึ้นมา
“เห็นไหม ป่าป๊าไม่ได้เขียนอะไรเลย” เจียงเสี่ยวไป๋พูดขณะที่เขาวาด
“ภาพวาดของป่าป๊าสวยมาก ! ”
เมื่อเจียงชานเห็นว่าพ่อของเธอไม่ได้เขียนอะไรเลย เธอจึงรู้สึกมีความสุขและปรบมือ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ลูกและเจียงถิงแข่งขันกันดีไหม ดูว่าใครจะวาดได้สวยกว่ากัน”
“ตกลงค่ะ ! ”
เมื่อเจียงชานพบการวาดขดยุงน่าสนใจ เธอจึงเห็นด้วยทันที จากนั้นธอก็หยิบพู่กันสองด้ามขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น มอบให้เจียงถิงหนึ่งด้าม และอีกหนึ่งด้ามสำหรับตัวเธอเอง
จากนั้น ทั้งสองก็เริ่มวาดตามเจียงเสี่ยวไป๋
อย่างไรก็ตาม……
ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีนัก เพราะหนูน้อยทั้งสองนั้นไม่สามารถควบคุมพู่กันในมือได้ แต่ละจังหวะส่งผลให้มีหมึกมากมาย ไม่ต้องพูดถึงลวดลายของขดยุงเลย แม้แต่เส้นก็แทบจะมองไม่เห็น อีกทั้งกระดาษก็เปื้อนไปด้วยหมึกเป็นจุด ๆ อีกด้วย
“ป่าป๊า หนูทำไม่ได้ มันยากมาก”
“คุณลุง หนูก็ทำไม่ได้เหมือนกันค่ะ”
ความกระตือรือร้นของเด็กทั้งสองลดลงอย่างกะทันหัน ใบหน้าของพวกเธอแสดงความผิดหวังออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋คาดการณ์สถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว
เขาไม่รีบร้อนเลย เขาจับมือเล็ก ๆ ของลูกสาวและนำเธอวาดภาพ
โดยที่เจียงชานเพียงแค่ถือพู่กัน ในขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋ควบคุมการเคลื่อนไหว ในไม่ช้า เธอก็สามารถวาดขดยุงที่ดูดีได้
“เห็นไหม มันง่ายใช่ไหมล่ะ ? ”
“ใช่ค่ะ ง่ายมาก ! ” เจียงชานพยักหน้า “ป่าป๊าสอนหนูอีก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “พ่อสอนหนูไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้จะสอนเจียงถิง หนูสามารถดูจากด้านข้างได้ เช่นเดียวกับตอนที่พ่อสอนหนูเล่นหมากรุก หนูต้องสังเกตการเคลื่อนไหวของพ่อ โอเคไหม ? ”
“หนูเข้าใจแล้ว ! ”
เจียงชานตอบรับอย่างมีความสุข และสังเกตอย่างระมัดระวัง ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋สอนเจียงถิงวาด
เมื่อเธอพยายามวาดอีกครั้ง แม้ว่าเส้นจะไม่สม่ำเสมอและค่อนข้างคดเคี้ยว แต่อย่างน้อยคราวนี้ก็ไม่ใช่กองหมึก
“เยี่ยมมากชานชาน หนูเรียนรู้ได้เร็วมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋เอ่ยชมลูกสาวของเขา จากนั้นจับมือเล็ก ๆ ของเธออีกครั้ง แนะนำให้เธอวาดภาพต่อไป
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาทั้งสามจึงเล่นเกมวาดขดยากันยุงในห้องหนังสือ
คาดว่าในอีกหลายปีต่อมา เมื่อเจียงชานได้รับรางวัลการประดิษฐ์ตัวอักษร ในตอนที่เธอกล่าวถึงเหตุผลที่เธอเริ่มเรียนการประดิษฐ์ตัวอักษร เธออาจจะบอกว่าเป็นเพราะเธอถูกหลอกโดยพ่อของเธอให้เล่นเกมวาดรูปขดยากันยุง
ปรากฎว่าเกมที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันนี้ แท้จริงแล้วเป็นการเรียนรู้การประดิษฐ์ตัวอักษร โดยเป็นการฝึกควบคุมพู่กันและเส้นนั่นเอง
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องราวหลังจากนี้
สำหรับตอนนี้ เด็กทั้งสองพบว่าการวาดภาพสนุกมาก โดยได้เห็นตัวเองพัฒนาขึ้นทุกครั้งที่พยายามและรู้สึกถึงความสำเร็จ