ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 197 :พบกันใหม่อีกครั้ง
ตอนที่ 197 :พบกันใหม่อีกครั้ง
หลังจากสอนเจียงชานและเจียงถิงใช้พู่กันวาดขนยากันยุงเสร็จแล้ว เด็กทั้งสองคนลงเอยด้วยการที่หมึกเปื้อนไปทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นมือทั้งสองข้าง เสื้อผ้า และแม้แต่ใบหน้าของพวกเธอก็เปื้อนไปด้วยหมึกเป็นจุด ๆ
หลินเจียอินรีบพาเด็กสองคนไปอาบน้ำ
สมัยก่อน การอาบน้ำเคยเป็นงานที่ยุ่งยากมาก เพราะต้องตั้งน้ำร้อนในหม้อก่อน จากนั้นจึงยกถังน้ำเข้าบ้าน เทน้ำอาบใส่อ่างไม้ขนาดใหญ่ อาบเสร็จก็ต้องยกถังไม้เทน้ำทิ้ง
ทั้งยุ่งยากและเหนื่อย
ส่งผลให้ผู้คนในชนบทมักอาบน้ำไม่บ่อยนัก
แต่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ แตกต่างออกไป บ้านหลังใหม่มีน้ำร้อนใช้ตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีฝักบัวอีกด้วย ทำให้การอาบน้ำกลายเป็นเรื่องสะดวกไปแล้ว
เด็กทั้งสองไม่เพียงแต่ชอบอาบน้ำเท่านั้น แต่หวังซิ่วจวี๋และเจียงไห่หยางยังติดนิสัยการอาบน้ำทุกวันอีกด้วย
น้ำอุ่น ๆ ที่ไหลลงมาได้ชำระล้างสิ่งสกปรกและความเหนื่อยล้าออกไป ให้ความรู้สึกสบายตัวอย่างเหลือเชื่อ
หลังจากที่เด็กทั้งสองอาบน้ำเสร็จแล้ว พวกเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดออกมา
“ป่าป๊า หนูและถิงถิงจะดูโทรทัศน์” เจียงชานกล่าว
ขณะนี้เพิ่งเป็นเวลา 3 ทุ่มเท่านั้น และยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่สถานีโทรทัศน์จะหยุดออกอากาศ พวกเธอมีเวลามากพอที่จะดูละครทางโทรทัศน์ได้สักตอนหนึ่ง
“ไปสิ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ารับ
ด้วยการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวเคร่งเครียดกับการเรียนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เธอควรจะสนุกสนานในวัยเด็กและเล่นอย่างมีความสุข
เด็กน้อยทั้งสองวิ่งออกไป เหลือเพียงหลินเจียอินและเจียงเสี่ยวไป๋ภายในบ้าน
“เมียจ๋า คุณนี่เจ้าเล่ห์จังเลยนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียอินหลบสายตาและพูดว่า “ชานชานโตแล้ว คุณควรสอนลูกให้เข้มงวดกว่านี้”
“ตอนที่ฉันอายุ 5 ขวบ พ่อฉันสอนเขียนตัวอักษรเป็นร้อยตัวอักษรแล้ว”
หลินเจียอินหยิบยกข้อโต้แย้งอออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ฟังเธอและยิ้มอย่างซุกซน “ยังไงซะคุณเป็นคนเริ่มก่อเรื่องก่อน คืนนี้ผมจะเอาคืนคุณ”
หลินเจียอินตกตะลึง ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังจะบานปลายเข้าแล้ว
ดูเหมือนว่าแค่นี้ยังไม่สามารถเผาผลาญพลังงานของเขาได้ เธอจะต้องให้เขาทำงานอย่างอื่นเพิ่มไปอีก
เธอรีบพูดว่า “ก่อนชานชานนอน คุณต้องเล่านิทานให้ลูกฟังด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “เล่านิทานก่อนนอนเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่หรือ ? ทำไมวันนี้ถึงให้ผมเล่าล่ะ ? ”
หลินเจียอินอึกอัก “ฉัน… ฉันรู้สึกเจ็บคอนิดหน่อยน่ะ”
เมื่อพูดเช่นนี้ เธอก็มองค้อนเจียงเสี่ยวไป๋ไปปราดหนึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกงุนงง จากนั้นเขาถึงได้เข้าใจ และรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาพูดว่า “เอาล่ะ… ผมจะเล่านิทานให้ลูกฟังเอง”
หลินเจียอินหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของเธอ
เฮอะ ผู้ชายมักเกลี้ยกล่อมได้ง่ายจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางเล็กๆ น้อย ๆ ของหลินเจียอิน ตอนนี้เขากำลังคิดว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้ลูกสาวของเขาฟังดี
ในชาติที่แล้ว เขามีนิสัยชอบอ่านนิยายออนไลน์ จึงค่อนข้างรู้เรื่องราวต่าง ๆ อยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาพยายามคิดถึงนิทานที่จะเล่าให้ลูกสาวฟัง เขากลับพบว่าตนเองไม่รู้จะเล่าเรื่องแบบไหนที่เหมาะสมกับเธอ
พอคิด เขาก็รู้สึกเสียดายที่ชาติที่แล้วไม่ได้อ่านนิทานเด็กเลย
และในยุคสมัยนี้ยังไม่มีหนังสือจำพวก ‘100 นิทานจีน’ หรือ ‘เทพนิยายของแอนเดอร์สัน’ เช่นกัน
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อนิทานภาพมาอ่านสักชุด ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พึมพำกับตัวเอง
เขาคาดว่า เขาจะต้องได้เล่านิทานให้ลูกสาวฟังไปอีกนาน ดังนั้นการซื้อนิทานภาพมา จะทำให้ลูกสาวได้ดูภาพไปด้วยขณะที่เขาเล่า ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายกว่าและสร้างความสนุกให้ลูกสาวได้ดีกว่าเล่าธรรมดา
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ไปที่โรงงานผลิตเครื่องปรุงรสแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปที่ร้านหนังสือซินหัว การเล่าเรื่องเมื่อคืนก่อนทำให้เขาเหนื่อยล้ามากจริง ๆ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเริ่มเล่าเรื่อง ลูกสาวก็จะพูดว่า “หม่าม๊าเล่าให้หนูฟังแล้ว ป่าป๊าเลือกเรื่องอื่นเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้สมองอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถคิดนิทานเรื่องใหม่ ๆ ได้
ท้ายที่สุด เขามีความคิดที่ชาญฉลาดและขอให้ลูกสาวเล่าเรื่องให้เขาฟัง กระทั่งกล่อมให้เธอเข้านอนได้
ดังนั้นวันนี้ทั้งวันเขาเอาแต่คิดจะซื้อหนังสือนิทานภาพ
เมื่อเดินเข้าไปในร้านหนังสือซินหัว เจียงเสี่ยวไป๋ก็มุ่งตรงไปที่เคาน์เตอร์แล้วลองถามว่า “ที่ร้านพอจะมีหนังสือนิทานสำหรับเด็กไหม ? ”
พนักงานขอโทษแล้วบอกว่า “ที่ร้านเราไม่มีเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ผิดหวังมากนัก เขาถามว่า “แล้วคุณมีหนังสือภาพบ้างไหม ? ”
“มีค่ะ ! ”
“งั้นผมเอาเรื่องสามก๊ก ไซอิ๋วและซ้องกั๋งครับ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
หนังสือที่เขาประทับใจคือสี่นวนิยายคลาสสิกที่ยิ่งใหญ่ของประเทศจีน อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจข้ามเรื่อง “ความฝันในหอแดง” ไป เนื่องจากเขาไม่อยากเล่าเรื่องประเภทนั้นให้ลูกสาววัย 5 ขวบฟัง และเขาคิดว่าลูกสาวของเขาคงจะไม่สนุกกับการฟังมันเช่นกัน
พนักงานรีบหยิบหนังสือนิทานภาพสามชุดอย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกเล่มจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิจิตรศิลป์ประชาชนเซี่ยงไฮ้ โดยแต่ละเรื่องจะมีหนังสือภาพทั้งหมด 60 เล่ม
เขาซื้อ 3 เรื่อง นั่นหมายถึงหนังสือทั้งหมด 180 เล่มที่เรียงซ้อนกันเป็นกองขนาดใหญ่
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถามว่า “มีหนังสือภาพชุดอื่นอีกไหมครับ ? ”
“มีเรื่องขุนศึกตระกูลหยาง, ชีวประวัติของเย่ว์เฟย, ศึกจอมราชันย์, นักรบกองโจร, ตำนานยอดวีรสตรี……”
พนักงานพูดชื่อหนังสือออกมาทั้งหมด
ในท้ายที่สุด เจียงเสี่ยวไป๋ก็เลือกหนังสือเพิ่มอีก 2-3 ชุด
เขาซื้อ ‘กองโจรรถไฟ’ หนึ่งชุดจำนวน 10 เล่ม และซื้อ ‘การเดินทางในทุ่งหิมะ’ หนึ่งชุดจำนวน 6 เล่ม ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิจิตรศิลป์ประชาชนเซี่ยงไฮ้
เขายังซื้อหนังสือภาพชุด ‘ขุนศึกตระกูลหยาง’ จำนวน 5 เล่ม และ ‘ตำนานยอดวีรสตรี’ ชุด 4 เล่มจากสำนักพิมพ์วิจิตรศิลป์ประชาชน
รวมถึงหนังสือภาพ ‘ไฟผลาญเมือง’ และ ‘นักรบกองโจร’ ชุด 6 เล่มจากสำนักพิมพ์วิจิตรศิลป์ประชาชนเมืองเทียนจิน
โดยรวมแล้ว เขาซื้อชุดหนังสือภาพไปทั้งหมด 218 เล่ม ราคาเล่มละ 2.6 เหมา รวมทั้งสิ้น 56.68 หยวน
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับราคาหนังสือภาพที่ราคาถูกมากขนาดนี้
ซึ่งเขารู้ดีว่าในอนาคต หนังสือนิทานภาพเหล่านี้จะมีราคาขายที่พุ่งสูงไปถึงเล่มละ 1,000 หยวน
เมื่อนึกถึงจำนวนห้องที่บ้านของเขา ยังมีตู้หลายตู้ที่ว่างอยู่ เขาจึงหันไปหาพนักงานแล้วพูดว่า “เอาหนังสือภาพที่มีในร้านของคุณทั้งหมดมาให้ผมอย่างละ 2 ชุดครับ”
พนักงานตกตะลึงและคิดว่าตนเองหูฝาดไป “ทุกเรื่องอย่างละ 2 ชุดหรือคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ารับ
จากราคาเล่มละ 2.6 เหมากลายเป็นราคาเล่มละ 1,000 หยวนในอนาคต ซึ่งมันมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 5,000 เท่าเชียวนะ
หากเขาไม่ได้กังวลว่าการซื้อในปริมาณมากอาจนำไปสู่การพิมพ์ซ้ำ ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของหนังสือ เขาอยากจะซื้อสักหนึ่งหมื่นชุดด้วยซ้ำไป
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจซื้อเรื่องละ 2 ชุด เพื่อเก็บสะสมไว้เป็นคอลเลคชั่นก็เพียงพอแล้ว
หลังจากชำระเงินแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มขนหนังสือเข้าไปในรถจี๊ปของเขา
“เจียงเสี่ยวไป๋ นั่นนายใช่ไหม ! ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง ซึ่งเสียงนี้ดูเหมือนค่อนข้างคุ้นเคยสำหรับเขา
เจียงเสี่ยวไป๋หันกลับมาและเห็นผู้หญิงสวยสองคนกำลังมองเขาด้วยความประหลาดใจ
หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวสูงประมาณ 170 เซนติเมตร มีรูปร่างเพรียวบาง เธอสวมเสื้อลายดอก กางเกงสีน้ำเงินขาตรง และรองเท้าผ้าใบสีน้ำเงิน ผมของเธอรวบเป็นหางม้า ใบหน้าสวยขาวกระจ่างใส เธอให้ความรู้สึกถึงความงามราวกับนางฟ้าบนสวรรค์
ผู้หญิงอีกคนตัวเล็กกว่า เธอสูงประมาณ 165 เซนติเมตร แต่มีรูปร่างอวบอิ่ม
“หลี่ม่านม่าน ! ”
“หยางเจี๋ย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋จำทั้งสองคนได้อย่างรวดเร็วและเรียกชื่อของพวกเธอ
หลี่ม่านม่านและหยางเจี๋ยต่างก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเจียงเสี่ยวไป๋ หลังจากสำเร็จการศึกษา พวกเขาก็แยกย้ายกันและไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะพบพวกเธอที่นี่
“นายไม่ได้เป็นครูประถมที่โรงเรียนในบ้านเกิดของเราหรือ ? ทำไมตอนนี้นายถึงมาขับรถจี๊ปได้ล่ะ ? ” หยางเจี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ฉันหยุดสอนไปหลายปีแล้ว”
ดวงตาของหยางเจี๋ยเป็นประกาย หญิงสาวถามเขาอย่างตื่นเต้นว่า “ตอนนี้นายทำงานให้กับรัฐบาลอยู่ใช่ไหม ? บอกฉันหน่อยสิ นายเป็นข้าราชการตำแหน่งไหน ถึงมีรถจี๊ปขับได้น่ะ ! ”
ในยุคนี้ คนที่สามารถขับรถจี๊ปได้คือเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ก็คนขับรถให้กับผู้นำเท่านั้น
คนธรรมดาส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์ ดังนั้นหยางเจี๋ยจึงสันนิษฐานว่าเจียงเสี่ยวไป๋ถูกย้ายจากโรงเรียนประถมไปยังตำแหน่งของรัฐบาล ทำให้เธอถามออกมาแบบนั้น
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัวและหัวเราะ “นอกจากตำแหน่งเจ้าบ่าวเพียงครั้งเดียว ฉันก็ไม่เคยดำรงตำแหน่งใดอีกเลย”
“ว้าว นายแต่งงานแล้วหรือ ? ภรรยาของนายคือหลินเจียอินใช่ไหม ? ” หยางเจี๋ยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น
ทว่าตอนนั้นเอง ความผิดหวังได้แวบขึ้นมาในดวงตาของหลี่ม่านม่าน ขณะที่เธอมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋เช่นกัน