ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 199 :เพื่อความรัก
ตอนที่ 199 :เพื่อความรัก
“คือหลี่ม่านม่านจริง ๆ ! ”
เมื่อเห็นการแสดงออกของเจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอินก็รู้ทันทีว่าเธอเดาถูก เธอเลิกคิ้วพลางพูดว่า “ไม่ได้เจอเธอมาหลายปี คุณยอมปล่อยเธอไปง่าย ๆ ด้วยหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้เกี่ยวกับความรู้สึกของหลี่ม่านม่านที่มีต่อเขา หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้คิดไปในทิศทางนั้น แต่หลินเจียอินรู้เรื่องนี้ดี
อย่าถามเลยว่าเธอรู้ได้อย่างไร
เพราะนี่เป็นสัมผัสที่หกของผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงทุกคนจะมีสัมผัสนี้โดยธรรมชาติ เพื่อปกป้องสิ่งที่เป็นของพวกเธอ และไม่ต้องการแบ่งปันกับใคร
ย้อนกลับไปสมัยที่พวกเขาเรียนอยู่ หลินเจียอินสังเกตเห็นว่าหลี่ม่านม่านมักจะชอบมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสายตาที่ต่างออกไป
สายตาแบบนั้นเกือบจะเหมือนกับสายตาที่เธอมองเจียงเสี่ยวไป๋
นี่คือการรับรู้และความสามารถในการสังเกตที่น่ากลัวของผู้หญิง โดยสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างในรายละเอียดที่เล็กที่สุดได้
แต่เจียงเสี่ยวไป๋นั้นราวกับท่อนไม้ ซึ่งเขายังคงไม่รู้ตัว
ในขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงตกใจที่หลินเจียอินเดาได้ถูกต้อง จู่ ๆ เขาก็ได้ยินน้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไป ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย
เราควรจะยินดีที่ได้รู้ข่าวคราวของเพื่อนร่วมชั้นไม่ใช่หรือ ?
ทำไมดูเหมือนเธอจะโกรธหน่อย ๆ เลยล่ะ ?
เรื่องไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ !
แต่เขาไม่มีอะไรปิดบัง เขาจึงบอกออกมาอย่างตรงไปตรงมา
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่อ “เมียจ๋า คุณน่าทึ่งมาก คุณเดาได้ทันทีเลย นอกจากหลี่ม่านม่านแล้ว ยังมีหยางเจี๋ยด้วย”
“ตอนนี้หยางเจี๋ยเป็นแม่ลูกสามแล้ว”
“หลี่ม่านม่านไปสอนที่หมู่บ้านห่างไกลในถู่เฉิง อ่า ไม่คิดว่าเธอจะเลือกไปสอนในสถานที่เช่นนั้นจริง ๆ ”
หลินเจียอินไม่แปลกใจเลยที่หลี่ม่านม่านและหยางเจี๋อยู่ด้วยกัน พวกเธอสนิทกันมากระหว่างเรียน และเป็นเรื่องปกติที่พวกเธอจะติดต่อกันหลังจากสำเร็จการศึกษา
แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ หลี่ม่านม่านเลือกที่จะไปสอนในหมู่บ้านชนบทที่ถู่เฉิง
หลินเจียอินรู้ดีว่าถู่เฉิงนั้นทุรกันดารเพียงใด และไม่ใช่สถานที่ที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไป
มันอาจจะเป็น…
มีความรู้สึกบางอย่างที่ในใจของหลินเจียอินบอกว่าการที่หลี่ม่านม่านออกไปจากชิงโจว สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากเจียงเสี่ยวไป๋และเธอ
เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงตัวเอง ในอดีตเธอตัดความสัมพันธ์กับพ่อแม่เพียงเพื่อจะได้อยู่กับเจียงเสี่ยวไป๋ และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็แย่จนเกือบจะถึงจุดที่ไม่สามารถหวนกลับได้
หากการเลือกของหลี่ม่านม่านนั้นคล้ายกับสิ่งที่เธอคิดจริง ๆ
เช่นนั้น……
หลี่ม่านม่านคล้ายกับตัวเธอมาก !
พวกเธอทั้งสองล้วนทำเพื่อความรัก !
เมื่อตระหนักรู้เช่นนี้ หลินเจียอินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ
ต้องบอกว่าสัมผัสที่หกของผู้หญิงนั้นน่าทึ่งจริง ๆ หลินเจียอินเข้าใจความจริงเกือบทุกอย่างจากสัญชาตญาณของเธอ
ต้องบอกว่าผู้หญิงเป็นเหมือนแมลงเม่าที่ถูกดึงดูดเข้าหาเปลวไฟเมื่อพูดถึงเรื่องความรัก
ไม่ว่าจะเป็นหลินเจียอินที่ไม่ลังเลที่จะตัดขาดกับพ่อแม่ของเธอ หรือหลี่ม่านม่านที่เลือกไปยังสถานที่ห่างไกลและยากจน สุดท้ายแล้วพวกเธอทั้งคู่ล้วนทำเพื่อ ‘ความรัก’
แน่นอนว่าแม้หลินเจียอินจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับเจียงเสี่ยวไป๋
นั่นอาจเป็นลักษณะนิสัยอีกอย่างหนึ่งของผู้หญิง
ผู้หญิงมักมีความเห็นแก่ตัว !
เห็นแก่ตัวในเรื่องความรัก !
เธอมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ มุมปากของเธอแย้มยิ้มขณะถามเขาว่า “หยางเจี๋ยเป็นแม่ของลูกสามคน แล้วหลี่ม่านม่านล่ะ ? ”
ฮะ ?
เจียงเสี่ยวไป๋หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เราพบกันเพียงช่วงสั้น ๆ ที่ทางเข้าร้านหนังสือซินหัว ผมไม่ได้พูดคุยอะไรกับพวกเธอมากนัก ผมลืมถามไปเลย”
การเผชิญหน้าช่วงสั้น ๆ ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เขาจะสนทนากับหยางเจี๋ย และเขาไม่ได้สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของหลี่ม่านม่าน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเธอแต่งงานมีลูกแล้วหรือยัง เขารู้แค่ว่าปัจจุบันเธอสอนอยู่ที่หมู่บ้านซานฮวาในถู่เฉิง
อีกอย่าง เขาสังเกตเห็นว่าสุขภาพของหลี่ม่านม่านดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก
นอกจากนี้ เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของหลี่ม่านม่าน
หลินเจียอินพอใจกับคำตอบของเจียงเสี่ยวไป๋ ผู้ชายคนนี้ฉลาดในเรื่องธุรกิจ แต่ในเรื่องปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิง เขานั้นหัวช้ามาก ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน !
หลังจากเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ผ่านไป ทั้งคู่ก็กลับมาใช้ชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายอีกครั้ง
ในไม่ช้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็ลืมเรื่องนี้ไป เขาทิ้งรถไว้ให้หลินเจียอิน ในขณะที่เขาเดินไปที่โรงงานผลิตเครื่องปรุงรส
ห้องยามของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางเป็นตำแหน่งที่เหมาะสม ด้านซ้ายสงวนไว้สำหรับอาคารตำรวจร่วมและสถานีป้องกันพลเรือน ในขณะที่ห้องชุดทางด้านขวาเป็นอาณาเขตของเจียงเสี่ยวไป๋
ที่ถนนชิงโจวไม่เหมาะกับเป็นสำนักงานของเขาอีกต่อไป
ดังนั้น เมื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสแล้ว เขาจึงได้จัดสถานที่สำหรับตนเองให้มีห้องรับแขก ห้องทำงาน ห้องพักผ่อน และห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วน
หลังจากมาถึงที่ทำงานของเขา เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มวางแผนการก่อตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
และเขางานยุ่งอยู่อย่างนี้จนถึงช่วงบ่าย
หลินเจียอินขับรถมารับเจียงเสี่ยวไป๋ และระหว่างทาง เธอพูดว่า “วันนี้วันที่ 7 แล้ว เสี่ยวชิงกำลังสอบเข้าวิทยาลัย ไม่รู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เวลาผ่านไปเร็วมาก พริบตาเดียวเจียงเสี่ยวชิงก็กำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
เขาจำได้ว่าในชาติก่อน เจียงเสี่ยวชิงได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจียงเฉิงที่มณฑลฮว๋าจง ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าน้องสาวของเขาจะสอบได้หรือไม่
“ไม่ต้องกังวลหรอก ผลการเรียนของเสี่ยวชิงดีมาก เธอสามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้แน่นอน” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยความมั่นใจ
หลินเจียอินพยักหน้า ในใจของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเจียงเสี่ยวชิง
ปัจจุบันที่เจียงวานยังไม่มีนักศึกษา หากเจียงเสี่ยวชิงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เธอจะกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนแรกจากเจียงวาน
“ถ้าเสี่ยวชิงสอบติดมหาวิทยาลัย คุณคิดว่าพ่อแม่ของเราจะจัดงานเลี้ยงฉลองไหม ? ” หลินเจียอินถาม
เจียงเสี่ยวไป๋หยุดครู่หนึ่งแล้วพูด “ถ้าเสี่ยวชิงเข้ามหาวิทยาลัยได้ พ่อกับแม่จะต้องฉลองอย่างแน่นอน”
ตอนที่ย้ายบ้าน พ่อแม่ของเราอยากจะฉลองอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบ้านเป็นของเจียงเสี่ยวไป๋ เมื่อเขาตัดสินใจไม่จัดงานเลี้ยง เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ก็เคารพการตัดสินใจของเขา
แต่การเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของเจียงเสี่ยวชิงนั้นแตกต่างออกไป
ตามธรรมเนียมและประเพณีในชนบท ก่อนที่เจียงเสี่ยวชิงจะแต่งงาน ทุกเรื่องจะถูกตัดสินใจโดยเจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีอำนาจตัดสินใจ
หลินเจียอินจึงกล่าวว่า “ถ้าจัดก็จัดได้ เพราะตอนที่เราย้ายบ้าน เราเองก็ไม่ได้จัดงานฉลอง ไม่ถือว่าจัดงานฉลองบ่อยเกินไป”
ในชนบท โดยทั่วไปแล้วทุกคนจะยอมรับการจัดงานเฉลิมฉลอง มักจะมีญาติและเพื่อนบ้านเข้าร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม หากครอบครัวหนึ่งเพิ่งจัดงานฉลองไปแล้วหลังจากนั้นไม่นานก็จัดอีก ผู้คนมักจะเอาไปซุบซิบนินทา และบ่นว่าต้องให้ของขวัญซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในช่วงปี 1980-1990 สถานการณ์นี้ค่อนข้างสามารถจัดการได้ คนในชนบทส่วนใหญ่จัดงานเฉลิมฉลองหลายโอกาส เช่น งานแต่งงาน งานครบรอบเดือนของบุตร งานศพ พิธีขึ้นบ้านใหม่และการสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้
นอกเหนือจากงานเหล่านี้แล้ว ผู้คนจะไม่จัดงานเฉลิมฉลองตามอำเภอใจ
แต่ในปีต่อ ๆ มา เมื่อเศรษฐกิจพัฒนาขึ้น การให้ของขวัญและของที่ระลึกที่มีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างเพื่อนและญาติในระหว่างการเฉลิมฉลองก็มีความสำคัญมากขึ้น บางคนเริ่มใช้ข้ออ้างในการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อสะสมความมั่งคั่ง และคอยหาเหตุผลต่าง ๆ มาสนับสนุนตัวเอง
ตัวอย่างเช่น ในตอนแรกพวกเขาจะฉลองวันเกิดปีที่หกสิบและเจ็ดสิบของพ่อแม่ จากนั้นพวกเขาจะจัดงานเฉลิมฉลองเมื่อลูกของพวกเขาอายุครบสิบปี ต่อมาเมื่อสร้างบ้านใหม่ก็จะแบ่งเป็นสองครั้ง ฉลอง 1 ครั้งเมื่อตัวบ้านชั้นแรกสร้างเสร็จ และฉลองอีกครั้งเมื่อชั้นสองของบ้านสร้างเสร็จ จนทำให้การจัดงานเฉลิมฉลองหลายครั้งนี้กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น
มีแม้กระทั่งกรณีสร้างโรงเลี้ยงวัวเสร็จ ก็ยังมีการจัดงานเฉลิมฉลอง
กรณีของการเฉลิมฉลองที่มากเกินไปเหล่านี้ ต่อมาได้ถูกเรียกว่า “งานฉลองไร้เหตุผล” แม้ผู้คนไม่อยากเข้าร่วม แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าร่วม
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวในอนาคต
ในปัจจุบัน ประเพณีทางวัฒนธรรมยังคงค่อนข้างเรียบง่าย และผู้คนยังคงจัดงานเฉลิมฉลองเฉพาะในโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น
ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ชอบประเพณีการเฉลิมฉลองแบบนี้สักเท่าไหร่
แต่เขาเชื่อว่าการที่คนจีนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แลกเปลี่ยนของขวัญ และการเฉลิมฉลอง ทำให้เกิดความรู้สึกสนิทสนมในหมู่ผู้คน ทำให้ชาวจีนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อเผชิญกับภัยพิบัติ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันก็ตาม แต่พวกเขาก็พร้อมช่วยเหลือกัน
นี่คือสิ่งที่เกิดจากความสัมพันธ์ของมนุษย์
ดังนั้นเมื่อเจียงเสี่ยวชิงเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยได้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านการตัดสินใจของพ่อแม่ที่จะจัดงานเฉลิมฉลอง เขาจึงพูดว่า “ถ้าเสี่ยวชิงสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ เราก็ควรเตรียมของขวัญให้เธอด้วย”