ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 2: ต้องตามไปให้ทัน
ตอนที่ 2: ต้องตามไปให้ทัน
“ประสาท ! ”
เจียงไห่โปตกใจจนเกือบจะกระโดดเหยงเพราะเสียงคำรามของเจียงเสี่ยวไป๋ และเมื่อเห็นว่าเขาร้องลั่นแล้วก็วิ่งออกไปเหมือนคนบ้าก็อดสบถด่าไม่ได้
ทว่าวันนี้ด่าไอ้สารเลวนั่น ไม่ยักจะเห็นเขาต่อปากต่อคำเหมือนทุกที
สิ่งนี้ทำให้เจียงไห่โปรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขารู้สึกคล้ายกับว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
แต่หากให้บอกว่าไม่เหมือนตรงไหน เจียงไห่โปเองก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน
เมื่อได้สติกลับมาและพบว่าเจียงเสี่ยวไป๋วิ่งออกไปไกลแล้ว เขาก็ถอนหายใจและไม่ได้สนใจอีก ชายวัยกลางคนยกจอบขึ้นมาทำงานของตนเองต่อ
ชาวบ้านทุกคนที่กำลังทำไร่ทำนาอยู่ต่างได้ยินเสียงตะโกนของเจียงเสี่ยวไป๋ พวกเขาแอบหันไปมองอย่างเงียบ ๆ และเมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋วิ่งตะบึงออกไปราวกับคนบ้า พวกเขาก็พากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา
“ไอ้อันธพาลนั่นไปเบื่ออะไรมาจากไหนอีกน่ะ ? ”
“ใครจะไปรู้กับมันล่ะ ? หรือว่าผีสุราเข้าสิง ? ”
“เฮ้อ……ดูซิเป็นผู้เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ อยากจะเป็นพวกอันธพาลหัวไม้เสียได้”
“ฉันล่ะเสียดายหลินเจียอินเหลือเกิน หญิงสาวที่ดีขนาดนั้นยอมหนีมาจากในเมืองเพื่อแต่งงานกับเขา ช่างโชคร้ายเหลือเกิน”
“ชานชานก็ด้วย ทั้งที่เป็นวัยกำลังโตแต่กลับต้องมาอดมื้อกินมื้อ น่าสงสารเหลือเกิน”
“……”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของลุงป้าน้าอา
ในเวลานี้เขากำลังเป็นห่วงหลินเจียอินจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อย่าว่าแต่ไม่ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์พวกนั้นเลย ต่อให้ได้ยิน เขาก็ไม่สนใจแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือไล่ตามหลินเจียอินให้ทัน ห้ามไม่ให้เธอขายเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมนั้นเกิดขึ้น
ในหัวของเจียงเสี่ยวไป๋คิดแค่นี้จริง ๆ
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะตามทันหรือไม่ แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่เขาสามารถทำได้แล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋วิ่งเต็มกำลัง ไม่นาน เขาก็วิ่งออกจากเส้นทางบนสันเขาแล้วเข้าสู่ถนนลูกรังที่ยังซ่อมไม่เสร็จ
เจียงวานอยู่ภายใต้เขตการปกครองอำเภอชิงซาน อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 4-5 ลี้
แต่ไหนแต่ไรมาก็มีถนนลูกรังเล็ก ๆ เข้าเมืองแค่สายเดียว ตอนนี้กำลังซ่อมถนนลูกรัง ชาวบ้านหลายหมู่บ้านริมทางช่วยกันระดมทุนมาซ่อม และทุกครัวเรือนจะต้องออกมาช่วยกันซ่อมเช่นกัน
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมเจียงเสี่ยวไป๋ถึงไม่เห็นใครอยู่บ้าน เพราะหากไม่ไปทำงานในแปลงนา พวกเขาก็จะมาซ่อมถนนกัน
ถนนลูกรังที่เพิ่งซ่อมไม่มีรถวิ่งผ่าน และเนื่องจากลูกรังมีเหลี่ยมและมุมแหลม ทำให้ตำเท้าเวลาวิ่ง อีกทั้งยังมีชาวบ้านกำลังซ่อมถนนอยู่ตลอดทาง ทางเรียบจึงน้อยกว่าทางที่มีหินมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงตะบันหน้าวิ่งต่อไปโดยไม่สนใจอะไร
“นั่นมันเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ใช่หรือ ? จะวิ่งเร็วอะไรขนาดนั้น ? ”
“คงไม่พ้นไปเล่นไพ่หรือไม่ก็ไปกินเหล้าหรอก คนไม่เอาถ่านอย่างเขาจะมีเรื่องรีบร้อนอะไรให้ทำกันล่ะ ? ”
“ไม่น่าให้ไอ้เวรนั่นวิ่งผ่านถนนเส้นนี้เลย ตอนเราซ่อมถนนกันก็ไม่เห็นมันจะมาช่วย พอถนนใกล้ซ่อมเสร็จแล้วล่ะวิ่งเร็วกว่าใครเลย ถ้าเบื่อชีวิตนักก็ล้มให้มันหน้าทิ่มตายไปเลยสิวะ ! ”
“……”
คนที่มาซ่อมถนนในวันนี้ต่างก็รู้จักเจียงเสี่ยวไป๋ แต่ชาวบ้านเกือบทุกคนไม่ชอบเขา ทว่าทุกคนรอให้เขาวิ่งผ่านไปแล้วถึงได้ด่าทอ เพราะไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าเจียงเสี่ยวไป๋
หากไปทำให้ไอ้เวรนี่โกรธขึ้นมา มีหวังซวยแน่
เจียงเสี่ยวไป๋วิ่งไปจนสุดทาง และในที่สุดเขาก็วิ่งมาจนถึงเมืองชิงโจว
การวิ่งสุดกำลังตลอดระยะทางกว่า 4-5 ลี้นี้เปลืองแรงมาก แต่โชคดีที่ร่างกายของเขาแข็งแรง ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เหนื่อยตายก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำเอาเขาหอบหายใจอยู่เหมือนกัน
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่กล้าหยุด เขายังต้องไล่ตามหลินเจียอินไปให้ทันก่อนที่เธอจะไปถึงธนาคารเลือด เขาถึงจะสามารถหยุดโศกนาฏกรรมนี้ได้
อำเภอชิงซานตั้งอยู่เขตชานเมืองชิงโจว หากจะเข้าเมืองต้องนั่งรถไปประมาณ 15-16 ลี้ มีรถโดยสารประจำทางไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสารชิงโจว เพียงแต่รอบวิ่งมีน้อย มีแค่รอบ 6.00 น. และรอบ 17.00 น. เท่านั้น
ดูจากตอนนี้น่าจะประมาณ 8.00 – 9.00 น. แล้ว ไม่มีรอบรถวิ่งในตอนนี้
“เจียอินไม่น่าจะนั่งรถเที่ยวเช้าเข้าเมือง เธอน่าจะเดินเท้าไป”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดขณะวิ่ง
เพราะถึงอย่างไรค่ารถโดยสารเข้าเมืองชิงโจวก็ตั้ง 5 หยวน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หลินเจียอินไม่มีเงินติดตัว เพราะต่อให้เธอมี เธอก็คงเสียดายไม่กล้าใช้มัน
คนในยุคสมัยนี้ลำบากยากแค้นมาก คนที่เสียดายเงินค่ารถโดยสารไม่ได้มีแค่หลินเจียอินเท่านั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างลังเลที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้เป็นค่าโดยสารเข้าเมือง พวกเขายอมที่จะเดินเท้าเข้าเมือง
ในปี 1983 คนงานในเมืองชิงโจวได้ค่าแรงเพียงเดือนละ 20 หยวน รายได้ของเกษตรกรรอบนอกยิ่งได้น้อยลงไปอีก แต่ละเดือนหาเงินได้ 5-6 หยวนก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
อีกอย่างคนในยุคสมัยนี้ส่วนใหญ่ยังขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า เงิน 5 หยวนสามารถซื้อเนื้อได้เป็นครึ่งชั่ง
สำหรับเกษตรกรแล้ว ระยะทาง 10-20 ลี้ไม่ถือว่าไกล ใช้เวลาเดินเท้าสัก 3-4 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ประหยัดเงิน 5 หยวนเอาไว้กินเนื้อไม่ดีกว่าหรือ ?
นึกถึงเหตุผลนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกโชคดีอยู่ลึก ๆ
“โชคดีที่การจราจรในยุคสมัยนี้ไม่ได้ดีนัก ไม่อย่างนั้นถ้าเจียอินนั่งรถเข้าเมืองขึ้นมา เราก็คงตามไม่ทัน”
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังมองหารถ แต่ตอนนี้แม้ว่าจะมีถนน แต่ก็มีรถวิ่งผ่านไปมาน้อยมาก เขาวิ่งไปตามถนนในตลาด ทว่าก็ยังไม่เห็นรถสักคัน
ถ้ามีรถคันไหนผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นรถอะไร เขาจะต้องขอ “ยืม” ก่อนแน่นอน
ตอนนี้มันคือเรื่องเร่งด่วน ขอเพียงแค่เขาตามหลินเจียอินทัน ต่อให้เขาต้องทำผิดกฎหมาย เขาก็ยอม
เจียงเสี่ยวไป๋สูดลมหายใจและวิ่งต่อไปบนถนน
วันนี้ไม่ใช่วันเปิดตลาด จึงไม่มีใครมาจ่ายตลาด แต่มีชาวเมืองหลายคนกำลังเดินเล่นและคุยกันอยู่บนถนน
“กริ๊ง กริ๊ง……”
ด้านหน้ามีเสียงกริ่งจักรยานดังขึ้นเป็นชุด สาวสวยวัยยี่สิบต้น ๆ คนหนึ่งกำลังขี่จักรยานล้อใหญ่ผ่านมา
รถจักรยานขี่ช้าบิดไปบิดมาอยู่ด้านหน้า
มีชาวบ้านสองคนที่เดินอยู่บนถนนเห็นจักรยานคันนี้ก็รีบแหวกทางให้ เพราะกลัวจะถูกชนเข้า
ในปี 1983 รถจักรยานถือว่าหายากในพื้นที่ชนบท มีคนไม่มากนักที่สามารถหาซื้อได้
ดูจากรูปร่างหน้าตาและทักษะขี่จักรยานที่ไม่ได้เรื่องของผู้หญิงคนนี้ ดูท่าว่าเธอเพิ่งจะซื้อมาและอยากจะขี่โชว์ จะได้ถือโอกาสฝึกขี่จักรยานไปด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋กลับตาเป็นประกาย
หากได้ปั่นจักรยานเข้าเมือง มันย่อมต้องเร็วกว่าวิ่งเข้าเมืองจริงไหม ?
“คนสวย ขอยืมจักรยานหน่อยสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋วิ่งตรงไปหาหญิงสาวที่ขี่จักรยาน เขากางแขนขวางทางเธอไว้เหมือนอันธพาลที่ดักปล้นตามถนน
“อ๊า……”
ผู้หญิงคนนี้ขี่จักรยานไม่เก่งอยู่แล้ว และจู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็วิ่งมาขวางทางเธอแบบนี้อีก เธอร้องกรี๊ดแล้วรีบบีบเบรก ก่อนจะกระโจนลงจากรถ
แม้ว่าเธอจะขี่ช้ามาก แต่หลังจากกระโดดลงมา เธอเซถลาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวถึงยืนได้อย่างมั่นคง ล้อหน้าของจักรยานเกือบชนน่องของเจียงเสี่ยวไป๋
“นี่นายทำอะไรของนายเนี่ย ? ”
“อยากตายหรือไง”
หญิงสาวหัวเสียมาก เธอตะโกนใส่เขาด้วยความโมโห
“คนสวย อย่าโมโหเลยนะ”
“พอดีมีเรื่องด่วนน่ะ ผมจำเป็นต้องยืมจักรยานของคุณสักพัก เดี๋ยวตอนเย็นๆ ผมจะเอามาคืนที่นี่นะ”
สีหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋ดูเป็นกังวลมาก แม้ปากของเขาจะสุภาพ แต่เขากลับคว้าจักรยานของหญิงสาวมาแม้ว่าเธอจะไม่ยอมก็ตาม เขาแย่งจักรยานมาแล้วนั่งคร่อมพร้อมกับออกแรงปั่นไปสุดชีวิต
เพียงชั่วพริบตา เขาก็ปั่นจักรยานออกไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่หญิงสาวจะได้สติ เธอก็เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ปั่นจักรยานไปไกลลิบแล้ว
นี่คือการยืมอย่างนั้นหรือ ?
มีใครเขายืมของคนอื่นแบบนี้บ้าง ?
หญิงสาวและคนผ่านทางอีกสองคนต่างพากันตกตะลึงตาค้าง
“โจรปล้น ! ……”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวเพิ่งได้สติกลับมาก็ส่งเสียงกรี๊ดลั่น