ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 20 :วิธีกินกระดูกแบบใหม่
ตอนที่ 20 :วิธีกินกระดูกแบบใหม่
ริมแม่น้ำมีต้นอ้อขึ้นเป็นทิว เจียงเสี่ยวไป๋เข้าไปหักต้นอ้อมา 2 ก้าน
เขากลับบ้านมานึ่งซาลาเปาต่อ แล้วให้หลินเจียอินเอาซาลาเปาอีกหลายสิบลูกไปให้พ่อกับแม่
จนกระทั่งเจียงชานตื่นนอนแล้ว เขาถึงได้นึ่งซาลาเปาหม้อสุดท้าย
ระหว่างรอซาลาเปาสุก เขาได้ใส่ไข่ลงไปต้มในน้ำอีกสามฟอง
เขาตักซุปกระดูกหมูใส่แตงมาสามชามโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย แล้วเอาซาลาเปากับไข่ต้มยกเสิร์ฟบนโต๊ะ จากนั้นพ่อแม่ลูกถึงได้เริ่มกินอาหารเช้าด้วยกัน
“ทำไมคุณถึงต้มไข่ด้วยล่ะ ? ”
หลินเจียอินมองไปที่อาหารเช้าแสนอร่อยแล้วถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “คุณกับชานชานผอมเกินไปแล้ว ดังนั้นต้องกินไข่ทุกเช้าเพื่อเสริมโภชนาการ”
ตอนนี้มีทั้งซาลาเปาไส้หมู มีทั้งซุปกระดูกหมู ยังจะเสริมโภชนาการอะไรอีก ?
หลินเจียอินไม่เห็นด้วย เธออดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ต่อไปนี้ฉันจะป็นคนทำอาหารเอง ให้คุณทำแบบนี้ทุกวันมันสิ้นเปลืองเกินไป”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ผมทำให้เมียและลูกได้กินของดี แบบนี้จะเรียกว่าสิ้นเปลืองได้อย่างไร ? ”
เอาอีกแล้ว !
หลินเจียอินรับไม่ได้ที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อขึ้นมา
“ว้าว ซาลาเปาไส้หมู”
หลังจากกัดซาลาเปาไปหนึ่งคำ หนูน้อยก็พูดด้วยความตื่นเต้น
ซาลาเปาไส้หมูอร่อยกว่าซาลาเปาไส้หวานตั้งเยอะ
หลินเจียอินกินซาลาเปาแล้วตาเป็นประกายเลย ซาลาเปาที่เขาทำอร่อยมาก ทั้งแป้งบางทั้งเนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น ไส้ซาลาเปามีรสชาติกลมกล่อมและหอมอร่อย
เจียงเสี่ยวไป๋ยังไม่เริ่มกิน เขานั่งปอกไข่ให้ภรรยาและลูกสาวคนละหนึ่งฟอง
“ขอบคุณค่ะป่าป๊า”
หนูน้อยพูดอย่างน่ารัก
หลินเจียอินกินไข่อย่างเงียบ ๆ เธอรู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างชัดเจน แถมยังเอาใจใส่เธอและลูกโดยการนั่งปอกไข่ให้พวกเธอกินด้วย
ชีวิตแบบนี้มันสวยงามจริง ๆ
จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ได้นำก้านต้นอ้อที่เขาล้างน้ำจนสะอาดแล้วมาแบ่งให้ภรรยาและลูกคนละก้าน พลางพูดว่า “อีกเดี๋ยวสามารถใช้มันดูดไขมันในกระดูกหมูได้”
พูดแล้ว เขาก็ทำให้พวกเธอดู
หนูน้อยเห็นแบบนั้นก็รีบทำตาม เธอดูดไขมันในกระดูกอย่างมีความสุข มันทั้งอร่อยและสนุกมาก
เธอมีความสุขที่สุดเลย
“ป่าป๊า ซุปกระดูกอร่อยจังเลยค่ะ”
หนูน้อยแอบชำเลืองมองหม่าม๊า อืม หม่าม๊าต้มซุปแตงเทศไม่อร่อย ไม่มีทั้งกระดูกหมูแล้วก็หลอดไว้ดูด
หลังจากดูดไขกระดูกเสร็จแล้ว หนูน้อยยังใช้หลอดก้านต้นอ้อดูดน้ำซุปกินอย่างเอร็ดอร่อยอีกด้วย
สำหรับมื้อเช้าในวันนี้ ทั้งสามคนได้กินอาหารที่ทั้งอิ่มท้องและเป็นของดี
หลังกินอิ่มแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋แย่งภรรยาล้างจานและหม้ออีกแล้ว ทำให้จู่ ๆ หลินเจียอินก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำที่บ้าน ทำเอาเธอเหม่อลอยเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“เมียจ๋า คุณเอาเงินมาให้ผมสัก 50 หยวนสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋ออกมาจากในครัวก็พูดกับหลินเจียอิน
“คุณจะเอาเงินไปทำอะไร ? ”
พอได้ยินว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเอาเงิน หลินเจียอินก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาโดยอัติโนมัติ
“ผมจะเข้าเมืองไปดูว่าพอจะทำธุรกิจอะไรได้บ้าง แล้วก็จะถือโอกาสซึ้อของกลับมาด้วย” เจียงเสี่ยวไป๋พูด
ทำธุรกิจ ?
หลินเจียอินมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “คุณทำธุรกิจเป็นด้วยหรือ ? ”
“ผมทำอะไรได้ตั้งมากมาย”
เจียงเสี่ยวไป๋ขยิบตาให้หลินเจียอินและพูดด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแสดงออกถึงความมั่นใจ
หลินเจียอินกุมขมับ นี่เขาช่วยพูดอะไรให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือ ?
ทำหน้าตาทะเล้นแบบนี้ แล้วจะเอาอะไรมาให้เธอคิดจริงจัง ?
เฮ้อ……ช่างเถอะ ขี้เกียจจะพูดแล้ว
หลินเจียอินเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ เธอรู้ว่าการทำธุรกิจต้องใช้เงินทุน เมื่อวานเจียงเสี่ยวไป๋ให้เงินเธอ 200 กว่าหยวน ตอนนี้เขาขอเงินเธอแค่ 50 หยวน มันไม่มากเกินไปเลย
แต่ว่าเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าจะซื้อของกลับมาด้วย เธอจึงไม่พอใจแล้ว
ของที่ซื้อมาเมื่อวานก็เพียงพอให้ใช้ได้นานแล้ว แทบจะไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเลย
อืม สงสัยเขาต้องซื้อของสำหรับทำธุรกิจ
หลินเจียอินคิดแบบนี้ เธอจึงเดินเข้าห้องไปเอาเงิน 50 หยวนมายื่นให้เจียงเสี่ยวไป๋ และไม่ลืมที่จะเน้นย้ำกับเขา “ห้ามซื้อของมั่วซั่ว”
“ได้เลยจ้ะเมีย ผมจะไม่ซื้อของมั่วซั่วแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋ตบแผงอกรับคำ
จากนั้น เขาก็หันไปหาลูกสาว “ชานชาน พ่อจะเข้าเมืองสักพักนะ กลับมาพ่อจะซื้อของอร่อยมาให้กิน”
“อื้อ”
หนูน้อยพยักหน้าเป็นไก่จิกข้าวเปลือก “ชานชานจะอยู่บ้านเป็นเด็กดี รอป่าป๊ากลับมา”
หลินเจียอินตกตะลึงอีกแล้ว
ไหนบอกว่าจะไม่ซื้อของมั่วซั่วไง ?
พอหันไปก็บอกกับลูกสาวแล้วว่าจะซื้อของอร่อยมาให้
เธอคิดว่าตัวเองตกหลุมพรางของเขาเข้าแล้ว ในใจก็ได้แต่แอบบ่นว่าต่อไปนี้จะไม่ให้เงินเจียงเสี่ยวไป๋สักเจี่ยวเดียวเลย
เจียงเสี่ยวไป๋อารมณ์ดีมาก เขาเดินเท้าเข้าเมือง ใช้เวลาไม่นาน เขาก็มาถึงตัวอำเภอชิงซาน
เวลานี้รถโดยสารเที่ยวเช้าน่าจะออกไปแล้ว หรือจะเข้าไปยืมรถจักรยานของจางชุ่ยฮวาอีกดีนะ ?
คิดแล้วก็ช่างมันดีกว่า ยืมเธอซ้ำ ๆ หลายรอบแบบนั้นมันมากเกินไป
งั้นคงต้องเดินเท้าเข้าเมืองแล้วล่ะ
ตอนนี้ห่างจากตัวเมืองเพียงแค่สิบกว่าลี้เท่านั้น ใช้เวลาเดินเท้าแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงมองว่ามันคือการออกกำลังกาย
หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินเล่นในเมือง
ชาติก่อน เมืองชิงโจวคือสถานที่ที่เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มต้นจากศูนย์ เขาคุ้นเคยกับเมืองนี้เป็นอย่างดี แค่ถึงอย่างไรเขาก็กลับมาเกิดใหม่ ยุคสมัยห่างกันถึง 20 กว่าปี แน่นอนว่าเขาเริ่มจำสถานที่หลาย ๆ แห่งที่เคยไปไม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม มีสถานที่แห่งหนึ่งที่เขายังคงจำได้แม่น
เจียงเสี่ยวไป๋เร่งฝีเท้าเดินไปตามเส้นทางในความทรงจำ
ที่นี่คือถนนชิงโจว เป็นถนนสายหลักของเมืองชิงโจว ทั้งยังเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองนี้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า สหกรณ์จำหน่ายเครื่องบริโภคอุปโภค ศูนย์จัดแสดงวัฒนธรรมเมืองชิงโจว สำนักพิมพ์ สถานีโทรทัศน์ ร้านขายผลิตภัณฑ์ทางเคมี โรงงานผลิตเครื่องดื่ม โรงเรียนมัธยมชั้นนำของเมือง วิทยาลัยครู และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่บนถนนสายนี้
เดินเข้าไปในร้านเล็ก ๆ ริมทาง เจียงเสี่ยวไป๋ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มลงเก็บกวาดข้าวของ
“หวังผิง นายทำอะไรอยู่หรือ ? ”
หวังผิงคือลูกชายของลุงรองฝั่งแม่ของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาเด็กกว่าเจียงเสี่ยวไป๋แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น สมัยเรียนประถมและมัธยม ทั้งสองต่างก็อยู่ห้องเดียวกัน ค่อนข้างสนิทกันเลยทีเดียว ต่อมาเจียงเสี่ยวไป๋เข้าเรียนที่วิทยาลัยครู ส่วนหวังผิงไปเป็นทหาร
หลังจากปลดประจำการและเปลี่ยนงาน เดิมทีหวังผิงได้ทำงานในสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค แต่หลังจากทำงานได้ 2 ปี เขาก็ออกมาเปิดโรงน้ำชาเล็ก ๆ ของตัวเอง รายได้ใกล้เคียงกับการทำงานในสหกรณ์ แต่ดีกว่าตรงที่เขามีเวลาว่าง
“อ้าว ไม่เจอกันนานเลยนะ นายเข้าเมืองมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
หวังผิงเงยหน้ามองก็เห็นว่าเป็นเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงถามด้วยรอยยิ้ม
“เพิ่งมา มาหานายโดยเฉพาะนั่นแหละ” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ
“มาหาฉันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ถ้ามายืมเงิน ฉันให้ได้มากสุดแค่ 3 หยวนนะ ช่วงนี้เมียฉันเข้มงวดเรื่องเงินมาก” หวังผิงพูดยิ้ม ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกอบอุ่นภายในใจ
ชาติที่แล้ว ตอนที่เขาพาตัวเองดำดิ่งสู่ความล้มเหลวและกลายเป็นพวกไม่เอาไหน ญาติสนิทมิตรสหายของเขานอกจากน้องชายผู้คลั่งไคล้เขาอย่างน้องห้าและเด็กน้อยอย่างเสี่ยวอวี่แล้ว ก็มีแต่หวังผิงนี่แหละที่ไปมาหาสู่กับเขาบ่อยที่สุด
นอกจากนี้ หลังจากที่หลินเจียอินและเจียงชานตาย เจียงเสี่ยวไป๋ได้เข้าเมืองชิงโจวมาเริ่มต้นใหม่ และตอนนั้นเขาก็อาศัยอยู่บ้านของหวังผิงนี่แหละ
เรียกได้ว่าหวังผิงคือคนที่ช่วยเหลือเขามากที่สุดในชาติที่แล้ว
แต่ชาตินี้พอเจอหน้ากันครั้งแรก หวังผิงไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะให้เขายืมเงิน 3 หยวนแล้ว
หากเป็นคนอื่น ต่อให้แค่ 1 เจี่ยวก็คงไม่ให้เขายืมแน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือปัจจุบัน หวังผิงก็ยังคงเป็นหวังผิงคนเดิม เป็นญาติและเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา
“ฉันไม่ได้มายืมเงิน” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
หวังผิงชะงักไปเล็กน้อย
ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ นอกจากวันปีใหม่แล้ว มีวันไหนบ้างที่เขามาแล้วจะไม่ยืมเงิน ?
วันนี้มาแปลกจริง ๆ นี่เขาไม่ได้มายืมเงินหรอกหรือ ?
“งั้นนายมาหาฉันทำไมล่ะ ? ”
หวังผิงถามด้วยความสงสัย