ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 200 :เสน่ห์ของหนังสือภาพ
ตอนที่ 200 :เสน่ห์ของหนังสือภาพ
กลับมาถึงที่เจียงวาน เจียงเสี่ยวไป๋ได้ย้ายหนังสือที่ซื้อมาไปไว้ในห้อง ข้างในมีหีบไม้การบูรจำนวนมาก ซึ่งเฉินเจิ้นฮวาเป็นคนรวบรวมหีบไม้ทั้งหมดนี้มาจากครัวเรือนต่าง ๆ ในเฉินเจียโกว
หีบไม้การบูรกันแมลง จึงเหมาะสำหรับเก็บหนังสือ
หลินเจียอินถามว่า “ทำไมคุณถึงซื้อหนังสือภาพมามากมายขนาดนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “บางเรื่องไว้ให้ชานชานอ่าน และบางเรื่องก็เก็บไว้เป็นของสะสมของผม”
หลินเจียอินตกตะลึงไปเล็กน้อย เธอถามเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “หนังสือภาพพวกนี้น่าสะสมตรงไหนหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม แม้หนังสือภาพจะเป็นเพียงสิ่งให้ความบันเทิงและสันทนาการในยุคนี้เท่านั้น ใครจะคาดคิดได้ว่ามูลค่าของหนังสือเหล่านี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 5,000 เท่าในอนาคต
เขาไม่ได้กล่าวถึงมูลค่าของหนังสือภาพในอนาคต แต่กล่าวว่า “หนังสือภาพที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิจิตรศิลป์ประชาชนเซี่ยงไฮ้เป็นผลงานของศิลปินระดับปรมาจารย์ งานศิลปะมีความซับซ้อน ตัวละครดูมีชีวิตชีวา และมีคุณค่าทางศิลปะสูง หากไม่เอ่ยถึงความชื่นชมในอนาคตของหนังสือภาพเหล่านี้ แม้ว่าหนังสือเหล่านี้จะมีอยู่มากมายในปัจจุบัน แต่มันจะหายากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป มันจึงควรค่าแก่การสะสม”
หลินเจียอินถามอย่างสงสัยว่า “แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งเหล่านี้จะหายากขึ้นในอนาคต ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง แต่กลับถามเธอว่า “ถ้าคุณต้องเลือกระหว่างดูละครโทรทัศน์กับอ่านหนังสือภาพ คุณชอบอันไหนมากกว่ากัน ? ”
“แน่นอนว่าฉันจะเลือกละครโทรทัศน์ ! ” หลินเจียอินตอบโดยไม่ลังเล
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะ งั้นคุณลองคิดตามผมนะ”
“ความนิยมของหนังสือภาพในยุคนี้เกิดจากสองปัจจัย ประการแรก ความรู้ด้านวัฒนธรรมของประชาชนไม่สูงและหลายคนไม่รู้หนังสือ การผสมผสานระหว่างรูปภาพและข้อความในหนังสือภาพที่เป็นเอกลักษณ์นี้จะทำให้ผู้ที่รู้หนังสือน้อยเข้าใจได้ง่าย”
“ประการที่สอง ตัวเลือกความบันเทิงมีจำกัดและซ้ำซากจำเจในยุคนี้ ด้วยการพัฒนาของโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ผู้คนจึงมีช่องทางในการทำกิจกรรมยามว่างมากขึ้น มีพร้อมทั้งประสบการณ์ด้านภาพ เสียง และการติดต่อสื่อสาร ผลที่ตามมาคือความน่าสนใจของหนังสือภาพที่ให้ความบันเทิงในรูปแบบสิ่งพิมพ์ลดฮวบลงอย่างมากในยุคที่มีอินเทอร์เน็ตเข้ามา”
แม้ว่าหลินเจียอินไม่รู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนหรืออินเทอร์เน็ตในอนาคต แต่เธอสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างหนังสือและโทรทัศน์ได้อย่างชัดเจน
ระหว่างทานอาหารเย็น ครอบครัวก็พูดคุยกันในหัวข้อต่าง ๆ
เจียงไห่หยางกล่าวว่า “วันนี้วันที่ 7 แล้ว เป็นวันที่เสี่ยวชิงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่รู้ว่าสอบเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
ทว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในยุคนี้ไม่ได้เข้มข้นเหมือนในอนาคต ไม่มีคำขวัญ ไม่มีการปิดถนนหรือห้ามบีบแตรในระหว่างวันสอบ
แน่นอนว่าผู้ปกครองในยุคนี้ไม่ได้รอลูก ๆ อยู่นอกโรงเรียนในช่วงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกับในอนาคตเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังคงเป็นเรื่องสำคัญ และผู้ปกครองยังคงกังวลกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของบุตรหลาน
เจียงเสี่ยวหยูกล่าวว่า “พี่สี่ผลการเรียนดีมาก ดังนั้นเธอจะต้องสอบได้อย่างแน่นอน”
เจียงเสี่ยวเหลยกล่าวเสริมว่า “พี่สี่ทำได้แน่นอน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เจียงไห่หยางก็รู้สึกพอใจ เขาเหลือบมองทั้งสองคนแล้วพูดว่า “พวกลูกเองก็ใกล้สอบแล้ว หลังอาหารเย็นอย่าลืมทบทวนบทเรียนด้วย”
หลังจากนั้น เขาก็หันไปหาเจียงเสี่ยวเหลยโดยเฉพาะ “ลูกจะต้องสอบเข้าโรงเรียนมัธยมในปีนี้ มั่นใจแล้วหรือยัง ? ”
ในอดีต เขาไม่ได้ตั้งความหวังกับการเรียนของเจียงเสี่ยวเหลยมากนัก เดิมทีเขาวางแผนที่จะส่งลูกชายไปเกณฑ์ทหารหลังจากเรียนจบมัธยมต้น โดยหวังว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่าจะสอนเจียงเสี่ยวเหลยขับรถหากเขาเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมชั้นนำได้ หลังจากนั้น เจียงเสี่ยวเหลยก็เปลี่ยนไป เขาให้ความสนใจในชั้นเรียน ทำการบ้านและทบทวนที่บ้านอย่างขยันขันแข็ง เมื่อทัศนคติต่อการเรียนรู้ของเขาเปลี่ยนไป ผลการเรียนของเขาจึงดีขึ้น
ตอนนี้ เจียงไห่หยางหวังว่าลูกชายคนเล็กของเขาจะเข้าโรงเรียนมัธยมชั้นนำได้เช่นกัน
เจียงเสี่ยวเหลยพูดอย่างมั่นใจว่า “ผมทำได้แน่นอน ! ”
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเขา เจียงไห่หยางก็ยิ้ม ถ้าเจียงเสี่ยวชิงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และเสี่ยวเหลยสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชั้นนำได้ มันก็จะกลายเป็นเรื่องดี ๆ ที่เข้ามาหาครอบครัวเขาพร้อมกัน
เจียงเสี่ยวเฟิงยิ้มและพูดว่า “เสี่ยวเหลย ลุยเลย ! ถ้านายเข้าโรงเรียนมัธยมได้ ฉันจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้นาย”
เจียงเสี่ยวเหลยตอบว่า “ผมไม่ต้องการเสื้อผ้าใหม่ ผมอยากเรียนขับรถกับพี่รอง”
จากนั้น เขาก็หันไปหาเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “พี่รอง ถ้าผมเข้าเรียนมัธยมปลายได้ พี่ต้องสอนผมขับรถนะ พี่ต้องรักษาสัญญาด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “แน่นอน ถ้านายสอบเข้าได้ ฉันจะสอนให้”
เจียงเสี่ยวเหลยได้รับคำตอบที่เขาอยากได้ยินก็รู้สึกมีความสุข เขารีบกินอาหารให้เสร็จ และรีบไปทบทวนหนังสือในห้องทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เจียงเสี่ยวหยูก็ไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เธอจึงกินอาหารเสร็จแล้วรีบเข้าห้องไปทบทวนหนังสือเช่นกัน
เจียงไห่หยางรู้สึกสบายใจ เขารู้สึกว่าทั้งครอบครัวเปลี่ยนไป ตั้งแต่เจียงเสี่ยวไป๋เปลี่ยนตัวเอง
หลังอาหารเย็น เจียงเสี่ยวไป๋พาเจียงชานและเจียงถิงไปที่ห้องหนังสือ
ถึงกระนั้น เขาไม่ได้สอนเด็กสองคนวาดขดยากันยุงเหมือนกับเมื่อวาน
เพราะการฝึกเขียนจะต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จึงจะเห็นผล
อย่างไรก็ตาม การวาดภาพสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อาจดูน่าเบื่อเมื่อเวลาผ่านไป
ดังนั้น วันนี้เจียงเสี่ยวไป๋จึงมีวิธีการแบบใหม่ คือ เทคนิคเส้นตรง เขาให้เจียงชานและเจียงถิงแข่งกันเพื่อดูว่าใครสามารถวาดเส้นได้ตรงที่สุด และมีความหนาสม่ำเสมอ
เพื่อให้การวาดเส้นตรงสนุกสนานยิ่งขึ้น และเพื่อฝึกความสามารถในการควบคุมพู่กันของเด็กๆ เขายังให้พวกเธอปรับแรงกดในแต่ละบรรทัด โดยเปลี่ยนจากเส้นหนาเป็นเส้นบาง และจากเส้นบางเป็นเส้นหนาในการไล่ระดับสี
เด็กน้อยทั้งสองสนุกกับการเล่นและเรียนรู้
ในตอนเย็น เมื่อถึงเวลาเล่านิทานก่อนนอนให้เจียงชานฟัง เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินเข้าไปในห้องของลูกสาวพร้อมกับหนังสือภาพในมือ
เจียงถิงก็อยู่ที่นี่ด้วย เพราะตอนนี้เธอนอนกับเจียงชาน
มิฉะนั้น ถ้าเจียงชานต้องนอนคนเดียว เธอก็คงจะประท้วงอย่างแน่นอน
“ป่าป๊า คืนนี้ป่าป๊าเป็นคนเล่านิทานอีกแล้วหรือคะ ? ”
เด็กน้อยดูผิดหวังเล็กน้อย ป่าป๊าของเธอทำอาหารเก่งและขับรถเก่งกว่าหม่าม๊า แต่เขาเล่านิทานได้ไม่ดีเท่าหม่าม๊า
เจียงเสี่ยวไป๋ยกหนังสือภาพในมือขึ้นและพูดอย่างมั่นใจว่า “วันนี้ป่าป๊ามีหนังสือติดตัวมาด้วย”
เขาได้ถือหนังสือภาพเล่มแรกในชุด ‘ไซอิ๋ว’ ที่มีชื่อตอนว่า “กำเนิดราชาวานร”
‘ไซอิ๋ว’ เป็นหนึ่งในสี่นวนิยายคลาสสิกที่ยิ่งใหญ่ เรื่องราวภายในนั้นได้รับการเผยแพร่ในนิทานพื้นบ้านมานานแล้ว แม้แต่เจียงชานและเจียงถิงก็เคยได้ยินจากคนอื่นมาบ้าง โดยรู้ว่าในเรื่องนี้มีตัวละครชื่อซุนหงอคง ตือโป๊ยก่าย ซาเหอซ่าง และพระถังซัมจั๋ง
แต่สิ่งที่ทำให้ ‘ไซอิ๋ว’ ได้รับความนิยมและคุ้นเคยสำหรับคนจีนทุกคนจริง ๆ ก็คือซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ออกอากาศหลังทศวรรษปี 1980 ซึ่งมักเรียกกันว่า ‘ไซอิ๋ว’ เวอร์ชั่นปี 83
ในที่นี้หลายคนอาจเข้าใจผิดและคิดว่า ‘ไซอิ๋ว’ เวอร์ชันปี 83 หมายถึงปี 1983 ที่ออกอากาศ
ที่จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น
‘ไซอิ๋ว’ เริ่มถ่ายทำเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ 1982 และตอนนำร่องชื่อ “กำจัดปีศาจไก่ดำ” ออกอากาศในวันที่ 1 ตุลาคมของปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิปี 1986 จึงมีการออกอากาศอย่างเป็นทางการรวมทั้งหมด 11 ตอน ดังนั้นจึงเรียกอีกชื่อว่าเวอร์ชั่นปี 86
สำหรับละครโทรทัศน์ ‘ไซอิ๋ว’ เวอร์ชั่นที่สร้างเสร็จในปี 1983 มีทั้งหมด 25 ตอน และผู้ชมต้องรออีกสองปีจึงจะดูได้ทั้งหมด
ดังนั้นในเวลานี้ แม้ว่าเจียงชานและเจียงถิงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับซุนหงอคงและตือโป๊ยก่าย แต่พวกเธอก็ไม่ค่อยชอบพวกเขามากนัก
ดังนั้นเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างมั่นใจว่า “วันนี้ป่าป๊าจะเล่าไซอิ๋วตอนกำเนิดราชาวานร” เด็กน้อยทั้งสองไม่ได้แสดงปฏิกิริยามากนัก
อย่างไรก็ตาม เจียงชานมีความสนใจในหนังสือภาพที่เจียงเสี่ยวไป๋ถืออยู่
เธอเคยเห็นหนังสือภาพมาก่อน มีตุ๊กตามากมายและแม้แต่ม้าก็อยู่ในนั้น เธอพบว่าพวกมันน่าสนใจทีเดียว
“ป่าป๊ากำลังจะเล่าเรื่องในหนังสือให้หนูกับถิงถิงฟังใช่ไหมคะ ? ” เด็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและไร้เดียงสา แล้วเสริมว่า “เราอ่านด้วยกันดีไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “แน่นอน ! ”
ดังนั้นเขาจึงนั่งที่ขอบเตียงพร้อมถือหนังสือภาพ โดยมีเด็กน้อยสองคนนั่งอยู่คนละข้าง
เขาเปิดหน้าแรกของตอกำเนิดราชาวานร หน้าแรกเป็นภาพพระถังซัมจั๋งและซุนหงอคง พระถังซัมจั๋งสวมชุดคลุมอยู่ทางด้านซ้าย ขณะที่ซุนหงอคงถือไม้เท้าสีทองของเขา ทะยานผ่านเมฆหมอกทางด้านขวา
“นี่คือพระถังซัมจั๋ง ! ”
“และนี่คือซุนหงอคง หรือที่รู้จักกันในชื่อราชาวานรและเห้งเจีย”
เจียงเสี่ยวไป๋ชี้และอธิบาย
“ฮ่าฮ่า เขาดูเหมือนลิงจริง ๆ ด้วย ! ” เด็กน้อยทั้งสองถูกดึงดูดด้วยภาพวาดอันสดใสของซุนหงอคง และหัวเราะเสียงร่า
ในหน้าสอง ตือโป๊ยก่ายถือคราดทางด้านซ้าย และซาเหอซ่างถือจอบรูปจันทร์เสี้ยวทางด้านขวา
รูปลักษณ์ของตือโป๊ยก่ายถูกถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจน ด้วยหัวหมูและหูที่กระพือ ทำให้เขาดูตลกและน่ารัก ทำให้เด็กน้อยสองคนหัวเราะไม่หยุด
เด็กน้อยทั้งสองชอบหนังสือเล่มนี้เข้าแล้ว ทั้งที่เพิ่งเปิดไปแค่หน้าแรกเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกผ่อนคลายมาก และเขาก็ตระหนักว่าการซื้อหนังสือภาพถือเป็นความคิดที่ดี
จากนั้น เขาก็เปิดหน้าแรกของตอนแรกและเริ่มเล่าเรื่องอย่างจริงจัง
“นานมาแล้ว โลกอยู่ในภาวะโกลาหล และหลังจากที่ผานกู่เปิดสวรรค์และโลกนั้น สิ่งมีชีวิตอย่างนก สัตว์และมนุษย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น….”