ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 202 :ย่อมมีคนไม่เต็มใจอยู่เสมอ
ตอนที่ 202 :ย่อมมีคนไม่เต็มใจอยู่เสมอ
ระดับหัวหน้าแผนกมีทั้งหมด 8 ตำแหน่ง ซึ่งรวมตำแหน่งหัวหน้าไลน์ผลิตทั้ง 4 คน หัวหน้าสำนักงาน 1 คน หัวหน้าแผนกขาย 1 คน หัวหน้าแผนกการเงิน 1 คนและหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์ 1 คน
ซึ่งตำแหน่งนี้ก็มีผู้คนมากมายที่เข้าร่วมการแข่งขัน นอกจากหัวหน้าทีมย่อยทั้งสามคนอย่าง หลี่ต้าอู๋ หลินเฟิงและหยางซ่างจงที่มาร่วมแข่งกับเขาแล้ว มีหัวหน้าแผนกชุดเก่าอีก 6 คนเข้าร่วมแข่งขันด้วย
ซึ่งผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมอีก 2 คน ได้แก่ เจี่ยนหมิงหยู่ หัวหน้าไลน์ผลิตหนึ่ง และเปากันฉวนหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์
และสาเหตุที่สองคนนี้ไม่เข้าร่วม เพราะพวกเขาลงแข่งขันชิงตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายบริหารนั่นเอง
นอกจากนี้ พนักงานขายหลายคนจากแผนกขายก็ยังมาสมัครเข้าร่วมการคัดเลือกด้วย มีผู้เข้ารับการคัดเลือกครั้งนี้ร่วม 12 คน แข่งขันกันเพื่อชิง 8 ตำแหน่ง ซึ่งตัดสินง่ายกว่ารอบคัดเลือกหัวหน้าทีมมาก
ซึ่งโหยวโหย่วหยูเป็นคนแรกที่ลงแข่ง
โดยปกติแล้ว เขามีตำแหน่งเดิมเป็นหัวหน้าสำนักงาน
ผู้สมัครรับการคัดเลือกทั้ง 12 คนต่างก็มีเป้าหมายเป็นของตัวเอง มี 6 คนลงแข่งขันเพื่อเป็นหัวหน้าไลน์ผลิต มี 3 คนลงสมัครแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าแผนกขาย ไม่มีใครลงแข่งชิงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานนอกจากเขา ดังนั้นเขาจึงชนะไปได้อย่างง่ายดาย
สิ่งนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออกเล็กน้อย
เนื่องจากขึ้นชื่อว่าเป็นการแข่งชิงตำแหน่ง จึงต้องมีผู้แข่งขันมากกว่า 2 คน แต่ถ้าเป็นแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ?
อีกทั้ง ตอนนี้ยังไม่มีใครลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์เลย
ในรุ่นต่อ ๆ ไป หัวหน้าแผนกโลจิสติกส์จะต้องเป็นคนอ้วนแน่นอน เพราะต้องมีคนควักกระเป๋าเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้
แต่ตอนนี้ หัวหน้าแผนกโลจิสติกส์กำลังเป็นที่ต้องการ
แต่กลับไม่มีใครสนใจตำแหน่งนี้เลย
ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการขาดแคลนเงินทุนของโรงงาน
อันดับต่อมาคือการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าไลน์ผลิตทั้ง 4 ตำแหน่ง ซึ่งคนที่ได้รับคัดเลือกก็คือต่งเจี้ยนชาง หลิวหยางเหอ หลินเฟิง และหลี่ต้าอู๋
หลินเฟิงเคยเป็นหัวหน้าทีมย่อยในไลน์ผลิตหนึ่งมาก่อน และในครั้งนี้เขายังได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าไลน์ผลิตหนึ่งอีกด้วย
เดิมที หลี่ต้าอู๋เป็นหัวหน้าทีมย่อยของไลน์ผลิตสี่ ตอนนี้เขาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าไลน์ผลิตสี่แทนมู่ฟางหยวนแล้ว
เป็นผลให้ทั้งมู่ฟางหยวนและหยางซ่างจงแพ้การคัดเลือกครั้งนี้ไป
ตามกฎก่อนหน้านี้ ผู้ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกทั้งสอง ไม่ว่าตำแหน่งเดิมของพวกเขาจะเป็นอะไร พวกเขาก็ต้องกลับไปอบรม และกลับเข้ามาทำงานในระดับต่ำที่สุด นั่นก็คือตำแหน่งพนักงานธรรมดานั่นเอง
แน่นอนว่ามู่ฟางหยวนและหยางซ่างจงไม่เต็มใจอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะมู่ฟางหยวน การที่เขาเป็นหัวหน้าไลน์ผลิตสี่สามารถหารายได้ 62 หยวนต่อเดือน แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาทำงานเป็นคนงานธรรมดา แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะกำหนดฐานเงินเดือนพื้นฐานของพนักงานธรรมดาไว้ที่ 30 หยวน แต่ก็น้อยกว่าเงินเดือนเก่าของเขาตั้งครึ่งหนึ่ง
แน่นอนว่าเงินอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือหน้าตาทางสังคม
จากหัวหน้าไลน์ผลิตระดับสูงกลายเป็นเพียงพนักงานธรรมดา มู่ฟางหยวนรู้สึกว่ามันยากที่จะรักษาหน้าตาของเขาไว้ได้
เช่นเดียวกับหยางซ่างจง แม้ว่าเขาจะเคยเป็นเพียงหัวหน้าทีมย่อยตำแหน่งเล็ก ๆ แต่ตอนนั้นเขาก็ยังถือว่าเป็นผู้นำระดับล่างคนหนึ่ง
ทว่าในตอนนี้ เขากลับต้องมาเป็นเพียงพนักงานธรรมดาอีกครั้ง ซึ่งไม่ต่างอะไรจากกลับไปนับหนึ่งใหม่เลย
สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ยิ่งกว่านั้นคือ หลินเฟิงและหลี่ต้าอู๋ที่เคยเป็นหัวหน้าทีมย่อยเหมือนกับเขา ตอนนี้ทั้งคู่ต่างได้เป็นหัวหน้าไลน์ผลิตไปแล้ว ทั้งคู่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง มีเพียงเขาเท่านั้นที่ถูกลดตำแหน่งลง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกยอมรับไม่ได้มากยิ่งขึ้น
บนเวที การคัดเลือกยังคงดำเนินต่อไป
มู่ฟางหยวนและหยางซ่างจงไม่มีอารมณ์ที่จะฟังต่อ พวกเขาเดินออกจากหอประชุมและออกไปยืนบ่นกันอยู่สองคน
“หัวหน้ามู่ เราจะปล่อยไปง่าย ๆ แบบนี้น่ะหรือ ? ”
หยางซ่างจงหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ แล้วพูดอย่างไม่เต็มใจ
มู่ฟางหยวนหน้าตาบึ้งตึง เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เป็นไปไม่ได้ ฉันเคยมีตำแหน่งที่ใหญ่โตมาก่อน แต่เจียงเสี่ยวไป๋พ่อครัวชั้นต่ำคนนั้น กลับมาทำให้ฉันต้องเสียตำแหน่งหัวหน้าไลน์ผลิตไป ฉันจะยอมรับง่าย ๆ ได้อย่างไร ! ”
หยางซ่างจงกล่าวว่า “แต่เขาได้เซ็นสัญญาเหมาโรงงานไปแล้ว เขามีอำนาจตัดสินใจในโรงงาน พวกเรายังจะทำอะไรได้อีก ? ”
มู่ฟางหยวนพูดด้วยความโกรธว่า “ถึงอย่างไรฉันก็จะไม่ยอมเป็นเพียงพนักงานธรรมดาแน่นอน”
หยางซ่างจงพูดว่า “ใช่แล้ว คุณเคยเป็นหัวหน้าไลน์ผลิตมาก่อน หากต้องให้ไปทำงานกับอดีตลูกน้อง คุณจะกล้ำกลืนได้หรือ ? ”
ว่ากันว่า ‘คนขึ้นที่สูง น้ำไหลลงที่ต่ำ’ คนจีนให้ความสำคัญกับเรื่องหน้าตาทางสังคมมาก เมื่อมีตำแหน่งหน้าที่การงานแล้ว พวกเขาจะยอมแค่เลื่อนตำแหน่งขึ้น แต่ไม่ยอมถูกลดตำแหน่งลงเป็นอันขาด
เพราะหากเป็นแบบนั้น สิ่งที่ตามมาคือคุณจะถูกผู้คนมองด้วยสายตาเหยียดหยาม
หรือบางทีอาจจะถูกแซะหรือถากถางจากคนที่รอเหยียบหัวคุณ
มู่ฟางหยวนรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในใจเมื่อคิดถึงฉากนั้น
“ไม่ ฉันยอมให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้ ฉันต้องหาทางรักษาตำแหน่งของฉันในฐานะหัวหน้าไลน์ผลิตเอาไว้ให้ได้ ! ”
มู่ฟางหยวนโยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วเหยียบด้วยรองเท้าหนังคู่ใจของเขา
หยางซ่างจงเห็นแบบนั้นก็โยนก้นบุหรี่ทิ้งเช่นกัน เขาพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “หัวหน้ามู่ คุณคือเจ้านายคนเก่าของผม ผมจะทำทุกอย่างตามที่คุณสั่ง”
มู่ฟางหยวนเหลือบมองหยางซ่างจงและพยักหน้า
เขาเคยเป็นหัวหน้าไลน์ผลิตสี่ และหยางซ่างจงก็เคยเป็นหัวหน้าทีมย่อยในไลน์ผลิตสี่เช่นกัน เขาทำงานให้กับมู่ฟางหยวนมาเกือบสิบปี ถือได้ว่าเป็นคนสนิทกัน
ทั้งสองจุดบุหรี่อีกมวนและสมคบคิดกันอยู่ในป่าข้างโรงงาน
เมื่อมู่ฟางหยวนและหยางซ่างจงกลับมาที่หอประชุม ผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าแผนกขายและหัวหน้าแผนกการเงินก็ได้รับการคัดเลือกแล้ว เฉินอันผิงและก่งชิ่งเซี๋ยงได้รับเลือกตามลำดับ ส่วนหวังชิ่งซีก็เพิ่งกล่าวสุนทรพจน์ของเขาจบไป
สถานการณ์เป็นเหมือนกับโหยวโหย่วหยู ไม่มีใครแข่งขันกับหวังชิ่งซีในตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายเทคนิคเลย ดังนั้นหวังชิ่งซีจึงถูกคัดเลือกไป
เจียงเสี่ยวไป๋เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้ว่าเขาจะมองหวังชิ่งซีในแง่ดี แต่เขาก็หวังว่าจะมีคนมาแข่งขันกับหวังชิ่งซี
ยิ่งมีคนที่มีความสามารถทางด้านเทคนิคในโรงงานมากเท่าไร ก็ยิ่งดีต่อโรงงานเท่านั้น
ยิ่งมีคนที่มีความสามารถทางเทคนิคมากเท่าไหร่ การอัพเกรดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก็จะมีความเป็นไปได้มากเท่านั้น และผลิตภัณฑ์ก็จะมีคุณภาพมากขึ้นด้วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่มีความสามารถทางด้านเทคนิคในโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกยังมีไม่เพียงพอ
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้ปลายปากกาแตะขมับของเขาแล้วครุ่นคิด
ต่อไปก็เป็นการแข่งขันชิงตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายบริหาร ครั้งนี้มีผู้เข้าแข่งขัน 3 คนด้วยกัน
นอกจากเจี่ยนหมิงหยู่ อดีตหัวหน้าไลน์ผลิตหนึ่ง และเปากันฉวน อดีตหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์คนเก่าแล้ว ก็ยังมีเมิ่งเสี่ยวเป่ย ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าทีมย่อยไลน์ผลิตสี่มาลงคัดเลือกด้วย
และเธอก็เป็นผู้หญิงด้วย
สิ่งนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
และสิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายบริหารในครั้งนี้ไม่ใช่ทั้งเจี่ยนหมิงหยู่หรือเปากันฉวน
แต่มันคือเมิ่งเสี่ยวเป่ย
ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงหัวหน้าทีมตำแหน่งเล็ก ๆ กลับได้รับเลือกให้เป็นรองผู้จัดการของโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกที่ต้องเข้ามารับผิดชอบการวางแผนธุรกิจของโรงงาน นี่แสดงให้เห็นว่าความสามารถและอิทธิพลของเธอในโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกนั้นไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
จากข้อมูลที่โหยวโหย่วหยูมอบให้เขา เจียงเสี่ยวไป๋ค้นพบว่าเมิ่งเสี่ยวเป่ยไม่ใช่คนชิงโจวโดยกำเนิด บ้านเกิดของเธออยู่ที่เมืองเทียนจิง เธอมาอาศัยอยู่ที่จิงโจวและเรียนที่นี่หลังจากจบมัธยมในเทียนจิง
ข้อมูลนี้ไม่ได้ละเอียดนัก แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้ข้อมูลสำคัญของเธอจากข้อมูลดังกล่าว
ในส่วนประวัติทางครอบครัว ชื่อพ่อของเมิ่งเสี่ยวเป่ยเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าชื่อ…..เมิ่งเจิ้นฮัว
เจียงเสี่ยวไป๋ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อนี้
ถ้าฉันจำไม่ผิดและไม่มีใครชื่อเดียวกัน เมิ่งเจิ้นฮัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเทียนจิง และต่อมาก็กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในสาขาการวิจัยทางเศรษฐกิจของประเทศจีน
มองดูหญิงสาวผมสั้นอายุประมาณ 30 ปีที่มีเสน่ห์คนนี้ หัวใจของเจียงเสี่ยวไป๋ก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจอย่างมาก
“รองผู้จัดการเมิ่ง ขอแสดงความยินดีด้วย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋จับมือกับเมิ่งเสี่ยวเป่ยเพื่อแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่า “จากนี้ไป การดำเนินงานบริหารของโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกขึ้นอยู่กับคุณแล้ว ! ”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยเม้มริมฝีปากยิ้มรับ “ผู้ช่วยเจียง คุณสุภาพมาก เสี่ยวเป่ยต้องขอบคุณคุณที่ให้โอกาส ฉันจะทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุดค่ะ”
เธอพูดภาษาจีนกลางได้อย่างชัดเจน คำพูดของเธอราบรื่น น้ำเสียงของเธอก็ไพเราะ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเธอเป็นคนอ่อนโยนแต่มั่นใจ
โหยวโหย่วหยูเองก็เข้ามาแสดงความยินดีกับเมิ่งเสี่ยวเป่ยเช่นกัน “รองผู้จัดการเมิ่ง ฉันจะทำงานภายใต้การนำของคุณนับจากนี้เป็นต้นไป โปรดให้คำแนะนำแก่ฉันด้วย”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยตอบรับอย่างรวดเร็ว เธอพยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นต่อไปเราทำตามกระบวนการกันเถอะ ให้หัวหน้าไลน์ผลิตและหัวหน้าทีมย่อยคนใหม่ทุกคนนำพนักงานเข้าไปในไลน์การผลิตของตนเอง เพื่อประเมินการปฏิบัติงาน”
หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปทางเจียงเสี่ยวไป๋แล้วถามว่า “ผู้ช่วยเจียง แบบนี้ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ย่อมไม่ติดขัดอะไรอยู่แล้ว เพราะเขาอยากเห็นความเป็นผู้นำและความสามารถในการบริหารงานของเมิ่งเสี่ยวเป่ยด้วย