ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 204 พี่มารับเธอกลับบ้าน
ฤดูกาลแห่งการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สิ้นสุดลงแล้ว
นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 6 เรียนจบแล้ว และเพื่อนร่วมชั้นทุกคนต่างเริ่มเก็บข้าวของและมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อไปรอฟังประกาศผลสอบแห่งโชคชะตา
ทว่าในยุคนี้ ผู้ปกครองไม่ค่อยไปรับลูกมาจากโรงเรียนสักเท่าไหร่
แม้ว่าจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และมีของมากมายที่ต้องขนกลับบ้าน แต่ก็แทบจะไม่มีผู้ปกครองมารับพวกเขาเลย
เพราะพ่อแม่ในยุคนี้เชื่อว่าการที่ลูกเรียนจบมัธยมปลายแล้ว จะต้องเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
และเด็กในวัยนี้ก็เป็นคนรักอิสระมากที่สุดเช่นกัน
เด็กส่วนใหญ่เริ่มเรียนทำอาหารตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ โตมาอีกหน่อยก็ต้องก่อไฟหุงข้าวเป็น หากถึงช่วงฤดูหนาวหรือฤดูร้อน ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องออกไปทำงานกับพ่อแม่กลางทุ่งนาหรือขึ้นเขาไปหาฟืน
การที่ต้องทำงานตั้งแต่เด็กทำให้เด็กในวัยนี้เข้มแข็งและมีทักษะในการเอาตัวรอด พวกเขาจึงรักอิสระ
กล่าวได้ว่าเมื่อพวกเขาอายุ 17-18 ปี พวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
ซึ่งต่างจากเด็กรุ่นหลัง ที่แม้ว่าจะเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ เพราะพวกเขาทำอะไรไม่เป็น พวกเขาทำอาหารไม่ได้ กวาดบ้านหรือทำความสะอาดบ้านไม่เป็น ได้แต่พึ่งพาพ่อแม่ในทุกเรื่อง
บางคนถึงได้บอกว่า เวลาเปลี่ยนเงื่อนไขก็เปลี่ยน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถใช้มาตรฐานในอดีตมาวัดเด็กในปัจจุบันได้
ซึ่งอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
แต่ข้อกำหนดก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ น่ะหรือ?
อาจเข้าใจว่าเป็นช่องว่างระหว่างยุคสมัย แต่แท้จริงแล้วช่องว่างที่แท้จริงคือช่องว่างระหว่างผู้คนต่างหาก
ในหอพักหญิง
เจียงเสี่ยวชิงกำลังเก็บที่นอนของเธอใส่ถุงผ้า
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 นักเรียนมัธยมปลายที่เรียนโรงเรียนประจำไม่ได้มีเตียงเดี่ยวให้นอน ปกติพวกเธอจะนอนกับเพื่อนเมทเตียงละ 2 คน และต้องเตรียมเครื่องนอนมาเอง
เมื่อเธอเก็บที่นอนเสร็จ ก็นอนหงายหลังลงไปราวกับไม่อยากจากไปไหน จากนั้นก็ลากถุงผ้าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า หนังสือและของใช้ต่าง ๆ ออกไปพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ถุงผ้าใบใหญ่นั้นหนักมาก !
มันหนักจนเธอยกขึ้นไม่ไหว ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงลากมันไปกับพื้น แล้วค่อย ๆ เดินไปช้า
สถานการณ์ของเด็กสาวคนอื่นก็คล้ายกับเธอ
เจียงเสี่ยวชิงเดินออกจากประตูหอพักหญิงไป แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่เดินออกมาพร้อมกับเธอก็ตกตะลึงเช่นกัน
เพราะมีรถจี๊ปเทียนจิง 212 คันใหม่เอี่ยมมาจอดอยู่ที่หน้าประตูหอพักหญิง ข้าง ๆ รถจี๊ปมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“นั่นใครน่ะ?”
“ว้าว เขาเท่มากเลย ! ”
“ทำไมเขาถึงมาจอดที่หน้าประตูหอพักหญิงของเราล่ะ ? เขามารอรับใครอยู่ ! ”
“……”
แม้ว่าจะเป็นยุคอนุรักษ์นิยม แต่นักเรียนมัธยมปลายก็ค่อนข้างจะเปิดกว้างในเรื่องพวกนี้ เพราะพวกเธอเป็นวัยที่เริ่มมีความรักแล้ว หลังจากลากกระเป๋าหนัก ๆ ออกมาจากหอพัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็ได้เห็นผู้ชายที่หล่อเหลาแถมยังดูร่ำรวย ตอนนี้พวกเธอจึงรู้สึกราวกับได้เห็นพระถังซัมจั๋งขี่ม้าขาวอย่างไรอย่างนั้น
“พี่รอง ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ ? ”
เจียงเสี่ยวชิงกลับมามีสติอีกครั้ง และถามออกมาด้วยท่าทีไม่อยากเชื่อ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “พี่มารับเธอกลับบ้าน ! ”
เขามารับเจียงเสี่ยวชิง !
เพื่อนร่วมห้องของเธอหลายคนต่างก็หันมามองด้วยความอิจฉา
ฉันก็มีพี่ชายเหมือนกัน แต่ไม่มีใครมารับฉันเลย
แต่ถึงแม้ว่าเขาอยากมา แต่เขาก็ไม่มีรถ และเขาก็หล่อไม่เท่าพี่ชายของเจียงเสี่ยวชิงด้วย
เจียงเสี่ยวชิงสติหลุดอีกครั้ง
คำว่า ‘มารับเธอกลับบ้าน’ มันฟังดูอบอุ่นมาก !
มันทำให้นึกถึงตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เมื่อเธอถูกรังแกหรือถูกทำโทษ พี่รองของเธอสามารถเข้ามาปกป้องเธอได้ทันเวลาเสมอ
ทว่าตั้งแต่ที่พี่รองเริ่มติดการพนัน พี่รองก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ในช่วงเวลานั้น เธอผิดหวังในตัวพี่รองของเธอมาก
ในขณะเดียวกัน เธอก็เศร้ามากเช่นกัน
ครั้งสุดท้ายที่เธอไปพบพี่สะใภ้ที่ร้านอร่อยสามมื้อ เธอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวพี่รอง และการกระทำของเขาตอนนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเธอได้รับการดูแลจากพี่ชายคนนี้อีกครั้ง
“ขอบคุณนะพี่รอง ! ”
เจียงเสี่ยวชิงพูดอย่างมีความสุข
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ขอบคุณทำไม ฉันเป็นพี่ชายของเธอนะ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็เดินไปข้างหน้า ถอดกระเป๋าเป้สะพายที่อยู่บนหลังของเจียงเสี่ยวชิงออก แล้วหยิบถุงใบใหญ่ออกมาจากมือของเธอ
เจียงเสี่ยวไป๋ยกถุงที่หนักอึ้งในมือของเจียงเสี่ยวชิงอย่างง่ายดาย แล้วนำไปใส่ไว้ในท้ายรถจี๊ป
“แต่พี่ต้องขออภัยด้วย เพื่อนของเธอมีเยอะเกิน รถของพี่นั่งได้แค่ไม่กี่คน ! ”
หลังจากเก็บของไปใส่ท้ายรถแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ขอโทษเจียงเสี่ยวชิงแล้วพูดว่า “ไปบอกลาเพื่อน ๆ สิ เดี๋ยวเราจะได้กลับบ้านกัน”
เพื่อนร่วมห้องของเจียงเสี่ยวชิงได้ยินคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋อย่างชัดเจน
“พี่ชายเสี่ยวชิง ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกค่ะ”
“พี่ พาเสี่ยวชิงกลับบ้านดี ๆ นะคะ”
เจียงเสี่ยวชิงชำเลืองมองเพื่อนร่วมห้องด้วยความเขินอายและพูดว่า “ฉันจะกลับบ้านก่อน รู้ผลสอบแล้วอย่าลืมเขียนจดหมายมาบอกฉันด้วยนะ ! ”
เพื่อนร่วมห้องหลายคนยิ้มและกล่าวลากันและกัน
เจียงเสี่ยวไป๋เปิดประตูรถให้เจียงเสี่ยวชิง เมื่อเธอเข้าไปนั่งแล้ว เขาก็ปิดประตูรถให้
จากนั้น รถจี๊ปก็ขับออกไปอย่างช้า ๆ ภายใต้สายตาอิจฉาของเพื่อนร่วมห้องเจียงเสี่ยวชิง
“พี่ชายของเสี่ยวชิงดูเป็นสุภาพบุรุษมาก ! ”
”เขาใจดีกับเสี่ยวชิงมาก ! ”
“เขาทั้งหล่อ ทั้งรวยและปฏิบัติต่อเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี อิจฉาเสี่ยวชิงจังที่มีพี่ชายแบบนี้ ! ”
“โอ้ย ฉันอยากมีพี่ชายแบบนี้กับเขาบ้าง ! ”
“……”
นี่เป็นครั้งแรกของเจียงเสี่ยวชิงที่ได้นั่งรถจี๊ป ซึ่งสะดวกสบายมากกว่ารถบัสรับส่งที่เธอเคยนั่งมาก่อน
ประเด็นก็คือ เธอไม่ต้องแบกสัมภาระอันหนักอึ้งนี้ไปที่สถานี และต้องไปนั่งแออัดอยู่ในรถเบียดเสียดกับคนอื่นจนกว่าจะถึงบ้านอีก
เพราะถุงผ้าใบใหญ่มันหนักมาก กว่าเธอจะย้ายจากหอพักลงมาที่ประตูหอก็ยังต้องใช้เวลานาน
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข
โชคดีที่พี่รองของเธอมารับเธอพอดี ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอจะสามารถเอาของพวกนี้กลับไปถึงบ้านได้หรือเปล่า
“พี่รอง ทำไมพี่ถึงมารับฉันได้ ? ”
รถจี๊ปขับผ่านโรงเรียนออกไป เจียงเสี่ยวชิงมองผ่านกระจกหน้าต่างก็เห็นนักเรียนหลายคนกำลังยกสัมภาระของตัวเองเดินไปรอรถ ไม่มีใครมารับพวกเขาเลย มีเพียงเธอเท่านั้นที่พี่รองมารับถึงที่ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ฉันมาที่นี่เพื่อรับนักศึกษามหาวิทยาลัยคนเดียวของตระกูลเรา ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หันหน้ามาพูดด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวชิงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยินแบบนี้ เด็กสาวเม้มริมฝีปากของเธอแล้วพูดว่า “ฉันเพิ่งสอบเสร็จวันนี้ ผลสอบยังไม่ออกเลย ยังไม่รู้ว่าจะสอบผ่านไหม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวอย่างหนักแน่น “เธอจะต้องสอบผ่านแน่นอน อีกไม่นานก็จะได้ไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติเจียงเฉิงแล้ว”
เจียงเสี่ยวชิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และมองดูพี่รองของเธอด้วยสีหน้าตกตะลึง
พี่รองเจ๋งมาก รู้แม้กระทั่งว่าเธออยากเรียนมหาวิทยาลัยไหน !
เธอจึงโพล่งมันออกมา “พี่รอง พี่รู้ได้อย่างไรว่าฉันอยากเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจียงเฉิง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงพูดเหมือนเดิม “ก็เพราะฉันเป็นพี่ชายของเธอยังไงล่ะ ! ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ชี้ไปที่ถุงผ้าที่เบาะหลังของรถ แล้วพูดว่า “ขอแสดงความยินดีที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ตัวเองใฝ่ฝัน นั่นเป็นของขวัญจากฉันที่ตั้งใจจะให้เธอ เปิดดูสิว่าชอบไหม ? ”
เจียงเสี่ยวชิงสับสนกับคำพูดพี่ชายตัวเอง ทั้งที่ตอนนี้ผลสอบยังไม่ออก แต่ทำไมพี่รองของเธอถึงได้เตรียมของขวัญไว้แล้ว
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าสอบไม่ผ่านขึ้นมา ผลมันจะเป็นอย่างไร
แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าพี่รองให้ของขวัญอะไรกับเธอ
ปากการุ่นปาร์กเกอร์ที่พี่รองให้ครั้งล่าสุดไม่เพียงแต่เพื่อนร่วมชั้นที่อิจฉาเท่านั้น แม้แต่ครูหลายคนก็ยังอิจฉาด้วย
แม้แต่เสื้อผ้าและกระโปรงเหล่านั้นก็ยังผ้าดีและสวยที่สุดเท่าที่เธอเคยใส่มาแล้ว
และยังมีสมุดบันทึกความทรงจำเล่มใหญ่ที่เพื่อนร่วมชั้นหลายคนเขียนข้อความลงไปในนั้นว่า “เสี่ยวชิง สมุดเฟรนด์ชิพของเธอสวยมาก ! ”
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เจียงเสี่ยวชิงก็อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับและเอื้อมมือไปหยิบถุงนั้นมา
ซึ่งมันหนักเล็กน้อย !
มันจะเป็นอะไรนะ ?