ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 207 :ยิ่งห้ามยิ่งอยากพูด
ตอนที่ 207 :ยิ่งห้ามยิ่งอยากพูด
โรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองชิงโจว !
เมื่อเฉินหยวนเฉาได้ยินชื่อ ใบหน้าของเขาก็แข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ไม่นานเขาก็โพล่งออกมาว่า “ฉันก็มีชื่อในใจนะ ฉันอยากจะเรียกมันว่าโรงงานเต้าหู้แห้งไป๋หยาง”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกขบขันพี่เขยของเขา ผู้ชายคนนี้ในหัวของเขาคงมีแต่เต้าหู้แห้ง
เหมือนกับว่าคน ๆ หนึ่งมีสิ่งที่หลงใหล หากว่าได้โอกาสแก้ไข เขาก็อยากเสนอชื่อนี้ออกมา
เขายิ้มแล้วพูดว่า “พี่เขย โรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลือของเราจะมีผลิตภัณฑ์มากมายในอนาคตและแต่ละผลิตภัณฑ์สามารถเปิดตัวเป็นแบรนด์แยกกันได้ แต่หากพี่ต้องการเอาคำว่าเต้าหู้แห้งมาเป็นชื่อของโรงงาน แล้วผลิตภัณฑ์ตัวอื่นล่ะ”
เฉินหยวนเฉาดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น และรีบพูดว่า “แต่ฉันชอบมัน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองเขาและได้แต่พูดไม่ออก ซึ่งเขาก็รู้สึกขบขันกับท่าทีดื้อรั้นแบบนี้
เขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าเมื่อโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองนี้ลงตัวแล้ว และเห็นว่ายอดขายของผลิตภัณฑ์อื่นเป็นหลักร้อยหลักพันหรือแม้แต่หลักหมื่นเท่าของเต้าหู้แห้ง ในตอนนั้นเขาจะยังพูดถึงเต้าหูแห้งของเขาอยู่อีกไหม ?
“พี่เขย เราไปที่คุยกันห้องทำงานของผมกันเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋เรียกเฉินหยวนเฉาไปที่สำนักงานของเขาที่อยู่ในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสข้าง ๆ โดยตั้งใจจะบอกเฉินหยวนเฉาว่าเขาต้องทำอะไรบ้างอย่างละเอียด
เฉินหยวนเฉาเรียนจบมัธยมต้นและได้รับราชการเป็นทหาร ดังนั้นเขาจึงมีรากฐานทางวัฒนธรรมที่แน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบหนังสือวางแผนออกมาและอธิบายรายละเอียดจากแง่มุมต่าง ๆ เช่น ตำแหน่งองค์กร โครงสร้างผลิตภัณฑ์ ตำแหน่งแบรนด์ โครงสร้างองค์กร ไลน์การผลิต และอุปกรณ์ต่าง ๆ
แม้ว่าเฉินหยวนเฉาจะสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงตั้งใจฟังและถามทุกครั้งที่เขาไม่เข้าใจจริง ๆ
พวกเขาสองคนคุยกันตลอดช่วงบ่าย
เจียงเสี่ยวไป๋มอบแผนดังกล่าวให้เฉินหยวนเฉาแล้วพูดว่า “พี่ก็รู้หนังสือเหมือนกัน ดังนั้นหากยังไม่เข้าใจอะไร ก็ลองศึกษาดูนะ”
“เยี่ยมเลย ในที่สุดฉันก็พอจะรู้บ้างว่าต้องทำอะไรก่อน” เฉินหยวนเฉารับแผนงานมาและพูดอย่างตื่นเต้น
เจียงเสี่ยวไป๋โยนกุญแจห้องทำงานให้เฉินหยวนเชาแล้วพูดว่า “หลังจากเดินชมสถานที่ก่อสร้างทุกวัน มีเวลาพี่ก็มาอ่านแผนงานนี้ ไม่เข้าใจก็จดไว้แล้วมาถามผม”
เฉินหยวนเฉาพยักหน้าตอบรับ
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอีกครั้งว่า “และถ้าเกิดว่าพี่เข้าใจแผนและเข้าใจว่าต้องทำอะไรแล้ว ก็มาบอกผม ผมจะพาพี่ไปหาเลขาติง เขาจะช่วยติดต่อกับบริษัทผลิตอุปกรณ์ในโรงงานให้กับเรา แต่หลังจากนั้นพี่จะต้องติดต่อเขาเองในอนาคต”
ตอนนั้นเองที่เฉินหยวนเฉาได้รู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ได้วางแผนและลงมือทำเรื่องต่าง ๆ ไปล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือดำเนินการต่อจากเจียงเสี่ยวไป๋เท่านั้น
ขณะที่รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวน้องชายของภรรยาคนนี้ เขาก็มีแรงจูงใจในการลงมือทำมากยิ่งขึ้น
เขาไม่สามารถปล่อยให้เจียงเสี่ยวไป๋ผิดหวังได้ !
เฉินหยวนเฉาตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ
“ไม่ต้องกังวล ฉันจะพยายามทำความเข้าใจทุกอย่างโดยเร็วที่สุด”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและกล่าวว่า “พี่อย่านำแผนงานออกจากสำนักงานเด็ดขาดนะครับ เนื้อหาภายในจะต้องถูกเก็บเป็นความลับ ห้ามให้รั่วไหลเป็นอันขาด”
เฉินหยวนเฉาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พยักหน้า “ฉันเคยเป็นทหาร รักษาความลับได้ดีอยู่แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาให้เฉินหยวนเฉาอ่านรายระเอียดของแผนการต่อไป ส่วนเขาขับรถกลับไปที่ร้าน ก่อนจะพาหลินเจียหยิน เจียงเสี่ยวชิง และเจียงชานขึ้นรถกลับบ้าน
เจียงเสี่ยวชิงรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้นั่งรถส่วนตัวกลับบ้านเป็นครั้งแรก
เธอและเจียงชานนั่งอยู่เบาะหลัง โดยเปิดเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทเสียบสายหูฟังข้างหนึ่งอยู่ที่หูของเธอ อีกข้างเสียบที่หูของเจียงชาน ซึ่งพวกเขากำลังฟังเพลงหัวใจดันทุรังของเฉินไป๋เฉียง นักร้องชาวฮ่องกงอยู่
“ความโศกเศร้าไม่อาจหายไป ความหดหู่ยังคงมีอยู่”
“ทำไมใจฉันถึงว่างเปล่า”
“รอยยิ้มหายไป ทุกอย่างหายไป”
“ความเกลียดชังและความโศกเศร้ามีอยู่เต็มเปี่ยม ไม่อาจกำจัดมันไปได้…”
ทำนองที่นุ่มนวลและไพเราะควบคู่ไปกับเนื้อเพลงที่โศกเศร้า ประกอบกับเสียงที่ไพเราะอย่างหาที่เปรียบมิได้ของเฉินไป่เฉียง เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้รวมกันจึงได้กลายเป็นบทเพลงที่สมบูรณ์แบบ
การร้องเพลงดำเนินต่อไป และความรู้สึกอันลึกซึ้งในเพลงให้ความรู้สึกเหมือนกับฝนที่ตกปรอย ๆ บนสนามหญ้า เหมือนแหนที่ลอยไปกับคลื่นน้ำสีฟ้า ซึ่งตีความโศกเศร้าได้อย่างสมบูรณ์แบบของความรักอันลึกซึ้งและจริงใจ
เจียงเสี่ยวชิงรู้สึกดื่มด่ำไปกับเพลง
แต่เจียงซานไม่รู้สึกอะไรเลย ดวงตาเล็ก ๆ ของเธอก็เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมเธอถึงพูดประโยคนั้นบ่อย ๆ ”
“หัวใจของฉันไม่มีวันตาย”
“จงเข้าใจว่าเมื่อความรักสูญสิ้นไป ทุกสิ่งก็จบลง”
“ทำไมฉันถึงต้องดันทุรังชอบเธอ ? ”
“……”
ความหดหู่และอารมณ์อันขมขื่นที่มีอยู่ในบทเพลงท่อนนี้ขุดความทรงจำของผู้คนจนอาจจะร้องไห้ได้เมื่อได้ฟังมัน
เจียงเสี่ยวชิงเป็นวัยรุ่ยเต็มตัวแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเอาอารมณ์ของตัวเองเข้าไปแทนในเพลงดังกล่าว
ในขณะนี้ จู่ ๆ เธอก็เห็นว่าเจียงชานมองเธอ เธอจึงเข้าใจวัตถุประสงค์ของเจ้าตัวน้อยและถามเธอไปว่า “ชานชาน เป็นยังไงบ้าง ? หนูคิดว่ามันฟังแล้วเศร้าไหม ? ”
แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าเจียงชานกลับส่ายหัวไปมา “ไม่เห็นเพราะเลยค่ะ”
ไม่มีการเสแสร้งเลย ทั้งยังเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาอีกด้วย
เหตุผลที่เธอฟังก็เพื่อความสนุกสนานและความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
ฮะ ?
เจียงเสี่ยวชิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เพราะคำตอบที่เธอได้รับไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ เธอจึงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ฟังดูดี ๆ สิชานชาน หนูไม่คิดว่ามันเพราะและลึกซึ้งหรือ ? ”
เจียงซานกล่าวว่า “แล้วจะให้หนูบอกยังไงล่ะคะ หนูไม่เข้าใจสักคำ ! ”
เพลงนี้ร้องเป็นภาษากวางตุ้ง ไม่ต้องพูดถึงว่าเจียงชานตัวน้อยจะเข้าใจเลย เพราะแม้แต่เจียงเสี่ยวชิงก็ไม่เข้าใจบางคำเหมือนกัน เธอแค่มีอารมณ์อินตามเนื้อเพลงเท่านั้น
เทปคาสเซ็ทในยุคนี้มักจะมาพร้อมกับกระดาษชื่อเพลง โดยเนื้อเพลงของแต่ละเพลงจะเขียนด้วยตัวอักษรขนาดเล็กมาก
เจียงเสี่ยวชิงกล่าวว่า “ฟังทำนองสิ ทำนองไพเราะนะ ! ”
เจียงชานเอียงศีรษะด้วยใบหน้ามึนงง และถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจว่า “ป่าป๊า ทำนองเพลงคืออะไร ? ”
เจียงเสี่ยวชิงพูดไม่ออก และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเธอแบ่งเพลงให้ฟังผิดคนเข้าแล้ว
หลานสาวของเธออายุเพียง 5 ขวบ เธอจะเข้าใจทำนองเพลงได้อย่างไร
หากว่าเธอให้พี่รองฟัง พี่รองคงเข้าใจอย่างแน่นอน
เจียงเสี่ยวชิงพูดตรง ๆ กับเจียงเสี่ยวไป๋โดยไม่สนใจที่จะอธิบายให้เจ้าตัวเล็กฟัง “พี่รอง พี่ว่าเพลงหัวใจดันทุรังไพเราะไหม ? ”
เพลงหัวใจดันทุรังเป็นเพลงคลาสสิกของฮ่องกงและเป็นหนึ่งในเพลงยอดนิยมใน KTV
เจียงเสี่ยวไป๋รู้เรื่องนี้ดี
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เพลงนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้ชายที่กำลังอกหัก เนื้อเพลงอ่อนโยนและเศร้า ทำนองก็ไพเราะและไพเราะเมื่อรวมกับน้ำเสียงที่นุ่มนวลของเฉินไป่เฉียง มันทำให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามได้”
“ใช่ ใช่ ฉันฟังแล้วรู้สึกคล้อยตาม ! ”
เจียงเสี่ยวชิงพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว รู้สึกว่าเธอได้เจอคนที่รู้สึกเหมือนเธอแล้ว
เมื่อหลินเจียอินได้ยินการสนทนาระหว่างสองพี่น้อง เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และพูดด้วยความโกรธ “เสี่ยวชิงยังเด็กอยู่ ทำไมคุณถึงให้เธอฟังเพลงอกหักแบบนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึง เสี่ยวชิงอายุ 18 ปีแล้ว เธอไม่ใช่เด็กแล้วนะ ?
ไม่ใช่ว่าตอนที่เราตกหลุมรักกันสมัยเรียนก็อายุเท่านี้หรือ !
นี่คุณกำลังจะบอกว่าคุณทำได้ แต่คนอื่นทำไม่ได้งั้นหรือ
เขามีประสบการณ์ของรุ่นหลัง จึงรู้ว่าคนหนุ่มสาวหลายคนในรุ่นหลังมีแฟนตั้งแต่อายุยังน้อย และบางคู่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น จากความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาจำได้อย่างคลุมเครือว่าเจียงเสี่ยวชิงอกหักครั้งแรกตอนอายุประมาณ 19-20 ปี
แต่เขาจำไม่ได้ว่าเมื่อใดหรือเพราะเหตุใด
เจียงเสี่ยวชิงกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จึงถึงเวลาที่จะสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับความรักให้กับเธอ
ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “เสี่ยวชิง ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วมีคนมาจีบหรือเธอไปชอบเขาก่อน อย่าเพิ่งคบใครง่าย ๆ แต่ลองทำความรู้จักกับเขาดูก่อน”
เมื่อเจียงเสี่ยวชิงได้ยินคำนี้ ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ
พี่รองคิดอะไรถึงพูดเรื่องแบบนี้ !
มันทำให้เธออับอายมาก !
หลินเจียอินเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เธอเกือบจะเอื้อมมือไปหยิกเจียงเสี่ยวไป๋แล้วบอกว่า: ยิ่งฉันไม่อยากให้คุณพูดเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งกระตือรือร้นที่จะพูดมากเท่านั้น !