ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 209 :มีคนสร้างปัญหา
ตอนที่ 209 :มีคนสร้างปัญหา
ลูกสาวอย่างเธอไม่ได้กลับมาเป็นเวลานาน นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงเสี่ยวชิงกลับบ้านมากินอาหารเย็นหลังจากย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ หวังซิ่วจวี๋จึงทำอาหารเพิ่มอีกสองสามจานเป็นกรณีพิเศษ
เจียงไห่หยาง หวังซิ่วจวี๋ เจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอิน เจียงเสี่ยวเฟิง เจียงเสี่ยวชิง เจียงเสี่ยวเหลย เจียงเสี่ยวหยู เจียงชาน และเจียงถิง รวมทั้งหมด 10 คนนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ทำให้อาหารมื้อนี้มีชีวิตชีวามาก
“ถ้ามีพี่ใหญ่และพี่สะใภ้สามอยู่ด้วย ครอบครัวของเราก็จะสมบูรณ์แล้ว”
ระหว่างกินอาหารเย็น เจียงเสี่ยวหยูก็ได้กล่าวขึ้นมา
หวังซิ่วจวี๋พยักหน้าและพูดว่า “อีกไม่กี่วันปิงปิงก็จะปิดเทอมแล้ว ให้เจ้ารองพาเสี่ยวเยว่และครอบครัวของเขามาเล่นสิ”
จากนั้น เธอก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “ถึงตอนนั้น แกก็ให้เจาตี้หยุดงานสักสองวันก็ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ารับ “ครับ ! ”
นับตั้งแต่เขาเกิดใหม่ ทุกคนในครอบครัวได้พบกัน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นมาก แต่อย่างที่เจียงเสี่ยวหยูพูด ตอนนี้ยังไม่ถือว่าได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
เพราะครั้งล่าสุดที่เจอกัน ก็ขาดเจียงเสี่ยวชิงไป
คราวนี้ เจียงเสี่ยวชิงกลับมาแล้ว แต่พี่สาวคนโตของเขากลับไม่อยู่
เจียงเสี่ยวไป๋ยังหวังว่าสักวันหนึ่ง ทั้งครอบครัวจะได้มารวมตัวกันอีกครั้งอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวชิงก็ไปดูโทรทัศน์อย่างมีความสุข ส่วนเจียงเสี่ยวเหลยก็ถูกเจียงเสี่ยวไป๋คุมให้อ่านหนังสือ เพราะการสอบกำลังจะมาถึง
จากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็พาเจียงชานและเจียงถิงมาที่ห้องหนังสือ
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เด็กน้อยทั้งสองก็ค่อย ๆ ปรับปรุงนิสัยและไม่รังเกียจที่จะไปห้องอ่านหนังสือเหมือนตอนแรก
ว่ากันว่าการทำอะไรสักอย่างเป็นเวลาเจ็ดวันจะเป็นการสร้างนิสัย
หรืออยากให้ชัวร์ต้อง 21 วัน
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าข้อมูลไหนถูกต้อง หรือทั้งสองข้อมูลอาจไม่น่าเชื่อถือเหมือนกันก็ได้ แต่เขารู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาก็ต้องอดทน
มีสุภาษิตที่ว่ากันว่า ความพากเพียรมิใช่ชัยชนะ แต่ความเพียรพยายามต่างหากที่จะไปให้ถึงชัยชนะ
เนื่องจากเจียงชานและเจียงถิงเพิ่งจะเริ่มเรียนอักษร ดังนั้นเขาจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาวิธีการสอนที่น่าสนใจมาสอนพวกเธอ โดยหวังว่าพวกเธอจะไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง
ในใจของเขา ความพากเพียรอาจเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของมนุษย์บางคน
คุณสมบัตินี้สำคัญกว่าการเรียนรู้การประดิษฐ์ตัวอักษรเสียอีก
ดังนั้น เขาจึงไม่เพียงแต่สอนการประดิษฐ์ตัวอักษรให้กับเด็กน้อยทั้งสองคนเท่านั้น แต่ยังปลูกฝังความอุตสาหะให้กับพวกเธออีกด้วย
ปรมาจารย์ที่ประสบความสำเร็จเคยกล่าวไว้ว่า โลกเต็มไปด้วยคนยากจนที่มีความสามารถ เหตุผลพื้นฐานที่สุดคือ พวกเขาขาดความเพียรพยายาม จึงไม่สามารถยืนหยัดในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
เพราะไม่อีกกี่วันข้างหน้า เจียงเสี่ยวไป๋จะงานยุ่งมาก
ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสถานที่ก่อสร้างที่โรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลือง เพราะเขาเชื่อในความสามารถของจวงปี้เฉิง แต่การสั่งซื้ออุปกรณ์นั้นน่าเป็นห่วงกว่า
เจียงเสี่ยวไป๋ได้พาเฉินหยวนเฉามาติดต่อติงจวิ้นเจี๋ยและให้พวกเขาร่วมกันทำงานมาแล้วสองสามวัน แต่พวกเขาก็ยังทำงานไม่เสร็จ
เหตุผลหลักก็คือข้อมูลไม่มีการอัพเดต หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋แจ้งรายการอุปกรณ์ที่ต้องการแล้ว ติงจวิ้นเจี๋ยก็ต้องติดต่อบริษัทผลิตอุปกรณ์แล้วส่งข้อมูลไปทางแฟกซ์
งานผลิตและแปรรูปถั่วเหลือง ผลิตเฟสแรกมี 5 ผลิตภัณฑ์ด้วยกัน ได้แก่ นมถั่วเหลือง ฟองเต้าหู้ เต้าหู้แห้ง ล่าเถียว และเต้าหู้ยี้ ที่เฉินหยวนเฉาไม่อาจลืมได้
ไลน์การผลิตทั้งห้าต้องใช้อุปกรณ์จำนวนมาก รวมถึงเครื่องบดละเอียด เครื่องแยกกากแบบต่อเนื่องและเครื่องเหวี่ยงสะบัดแยกน้ำ ส่วนประกอบหลัก ๆ ของเครื่องบดละเอียดจะต้องมีตัวโม่หิน โม่เหล็ก และล้อลับ นอกจากนี้ยังต้องมีถังควบคุมน้ำร้อนและน้ำเย็น ปั๊มสุขาภิบาล (หรือเรียกอีกชื่อว่า ปั๊มที่มีความสะอาดสูง) เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อแนวตั้งและแนวนอน เครื่องทำเส้นบะหมี่มัลติฟังก์ชั่น เครื่องผสมเส้นบะหมี่ สายพานลำเลียง เครื่องตัด เครื่องผสม เครื่องซีลและอีกมากมาย……
ต้องใช้อุปกรณ์เครื่องจักรหลายประเภท ใช้ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และจำเป็นต้องติดต่อกับโรงงานทำอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อขอข้อมูลอุปกรณ์และกำหนดรุ่นของอุปกรณ์
ติงจวิ้นเจี๋ยไม่เข้าใจเรื่องทางเทคนิคสักเท่าไหร่ เขาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการประสานงานเท่านั้น เฉินหยวนเฉาเองก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้มากนัก อุปกรณ์ที่เจียงเสี่ยวไป๋บอกมานั้นเป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัยกว่าที่มีในปัจจุบันมาก แต่อุปกรณ์หลายอย่างในตอนนี้ไม่ได้ก้าวหน้ามาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากในการสื่อสารกับโรงงานทำอุปกรณ์
ทว่าในเวลานี้เอง ได้มีคนมาสร้างปัญหาให้กับโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกแล้ว
หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากเมิ่งเสี่ยวเป่ยแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็รีบไปที่โรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกทันที
ผู้คนหลายสิบคนกำลังล้อมประตูโรงงานและตะโกนเสียงดัง และมีบางคนถึงกับผลักประตู
“เราต้องได้ทำงาน ! ”
“ฉันเป็นพนักงานประจำของโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกมาเป็นเวลานาน แต่ทำไมถึงไม่ให้ฉันทำงาน ? ”
“ทำไมถึงต้องหยุดจ้างพวกเราด้วย ? ”
“เปิดประตู ! เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ! ”
“เรียกหวังชิ่งซีออกมา เขาเป็นผู้จัดการโรงงาน ทำไมเขาถึงไม่จ้างพวกเราต่อ ? ”
“ใช่ เรียกหวังชิ่งซี เราต้องการคำอธิบาย”
“……”
ที่ประตูเหล็กหน้าโรงงาน เมิ่งเสี่ยวเป่ย โหยวโหย่วหยู หลินเฟิง ต่งเจี้ยนชาง หลิวหยางเหอและหลี่ต้าอู๋ เหล่าผู้บริหารระดับสูงของโรงงานต่างอยู่ที่นี่ด้วย
ทว่าหวังชิ่งซีไม่ได้อยู่ที่นี่
นับตั้งแต่ที่เขาได้เป็นรองผู้จัดการฝ่ายเทคนิค เขาก็ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจในทุกเรื่องของโรงงานอีกต่อไป เพราะเขาต้องมุ่งเน้นไปที่การวิจัยฟิล์มพลาสติกเพียงอย่างเดียว
ในระหว่างนี้ เขาได้ทุ่มเทเวลาไปกับการปรับปรุงไลน์การผลิตต่าง ๆ อีกด้วย
เดิมไลน์ผลิตทั้งสี่แห่งผลิตแต่ฟิล์มโพลีเอทิลีน แต่ในตอนนี้ ไลน์ผลิตที่หนึ่งและไลน์ผลิตที่สองผลิตฟิล์มโพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ ไลน์ผลิตที่สามและไลน์ผลิตที่สี่ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่ ๆ เช่น เครื่องทำถุงพลาสติก เครื่องพิมพ์และเครื่องซีล ทั้งสองไลน์ผลิตนี้ที่หนึ่งทำหน้าที่ผลิตถุงบรรจุภัณฑ์อาหาร ส่วนอีกแห่งทำหน้าที่ผลิตถุงพลาสติกสะดวกซื้อทั่วไป
แค่การปรับปรุงไลน์ผลิต แก้ไขจุดบกพร่องของอุปกรณ์ การทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ หลายสิ่งหลายอย่างทำให้หวังชิ่งซียุ่งมาก จนเขาไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น
เมิ่งเสี่ยวเป่ยตะโกนใส่ฝูงชนที่อยู่นอกประตู “หากพวกคุณมีความต้องการอะไร ก็เข้ามาคุยกับโรงงานดี ๆ แต่การมายืนประท้วงแบบนี้ถือเป็นการก่อความวุ่นวาย ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อการทำงานของพนักงานในโรงงาน”
คนที่มาประท้วงที่หน้าประตูด้านนอก ได้แก่ หยางซ่างจง หยางชื่อหู่ เถียนเจียลี่ เฉาเจิ้งฉงและอดีตคนงานในโรงงานคนอื่น ๆ คนเหล่านี้ถูกเลิกจ้างเพราะไม่ผ่านการประเมินของโรงงาน ในขณะที่บางคนไม่เข้าร่วมการประเมินมาตั้งแต่ต้น
แน่นอนว่ายังมีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยอีกมากมาย
หยางซ่างจงกล่าวว่า “เมิ่งเสี่ยวเป่ย เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะมาจัดการอะไรได้ เรียกหวังชิ่งซีให้ออกมา เขาเป็นผู้จัดการโรงงานของเรา”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยกล่าวว่า “โรงงานฟิล์มพลาสติกได้เซ็นสัญญาใหม่แล้ว ตอนนี้หวังชิ่งซีไม่ได้เป็นผู้จัดการโรงงานอีกต่อไป เพราะฉันเข้ามารับผิดชอบหน้าที่นั้นแทนเขาแล้ว”
หยางซ่างจงได้ยินแบบนั้นก็พูดเยาะเย้ยออกมาว่า “เราเป็นลูกจ้างประจำของรัฐวิสาหกิจ ฉันรู้จักหวังชิ่งซี ผู้จัดการโรงงานดี จะมาเลิกจ้างเราแบบนี้ไม่ได้ ไม่ว่าสัญญาใหม่จะเป็นอย่างไรก็ตาม”
ทันทีที่เขาพูดจบ หลายคนที่มาประท้วงก็เห็นด้วยทันที
“ใช่ พวกเราทุกคนเป็นพนักงานประจำแล้ว”
“ไม่ว่าผู้รับเหมาจะเป็นใคร เราต้องการคุยกับหวังชิ่งซีเท่านั้น”
“ถ้าคิดจะไล่พวกเราออกไป จำไว้ซะ ไม่มีทาง ! ”
“เปิดประตูเร็วเข้า ฉันจะต้องไปทำงาน ! ”
“ถ้าไม่เปิดประตู เราจะพังมันเดี๋ยวนี้ ! ”
“……”
ใบหน้าของเมิ่งเสี่ยวเป่ยดูเคร่งขรึมมาก เธอจ้องมองที่หยางซ่างจงและมองออกว่าเขาคือผู้ที่นำคนมาประท้วงในครั้งนี้
“หยางซ่างจง คุณก็เป็นพนักงานในโรงงานเช่นกัน การสร้างปัญหาแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร ? ” เมิ่งเสี่ยวเป่ยถามออกมา
หยางซ่างจงจึงพูดว่า “อย่าพูดไร้สาระน่า ในเมื่อโรงงานไม่ปฏิบัติต่อฉันในฐานะลูกจ้าง ทำไมฉันต้องสนใจโรงงานด้วย ! ”
เขาจึงตัดสินใจว่าเขาจะก่อปัญหา
การรักษาเสถียรภาพเป็นนโยบายหลักของโรงงานมาโดยตลอด ณ เวลานี้ ยิ่งปัญหาใหญ่ขึ้น ก็จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น บางทีเขาอาจจะมีโอกาสได้กลับมาทำงานที่โรงงานในฐานะหัวหน้าทีมย่อยอีกครั้ง
“ปี๊ม ! ปี๊มม ! ”
ในขณะนั้น ก็มีเสียงแตรรถดังขึ้น จนทำให้ผู้คนที่ประท้วงอยู่หน้าประตูตกใจ พวกเขาหันขวับกลับไปมอง ก่อนจะเห็นรถจี๊ปกำลังขับเข้ามาอย่างช้า ๆ
เมื่อหยางซ่างจงเห็นรถจี๊ปคันนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นรถของเจียงเสี่ยวไป๋