ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 212 :มู่ฟางหยวนขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 212 :มู่ฟางหยวนขอความช่วยเหลือ
เถียนเจียลี่เดินจากไปด้วยความสิ้นหวัง ส่วนคนที่เหลือก็หันไปมองโหยวโหย่วหยูด้วยความประหลาดใจ
วันนี้พวกคุณอมดินปืนกันหรือยังไง ?
ถึงโหดเหี้ยมกับทุกคนแบบนี้ !
ใบหน้าของหยางซ่างจงดูน่าเกลียดเล็กน้อย ในช่วงเวลาสั้น ๆ คนสองคนจากที่เคยอยู่ฝั่งเขาก็ได้ยอมจำนนจากไปเสียแล้ว ทำให้การต่อต้านของเขาเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
โหยวโหย่วหยูยิ้มออกมา “รองผู้จัดการเมิ่ง เชิญดำเนินการต่อได้เลยครับ”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยเหลือบมองโหยวโหย่วหยูด้วยท่าทีขอบคุณ เพราะเธอไม่อยากปวดหัวที่ต้องมารับมือกับคนแบบเถียนเจียลี่อีกด้วย
หลังจากปรับอารมณ์แล้ว เมิ่งเสี่ยวเป่ยก็ยังคงจัดการกับคนอื่นต่อไป
ด้วยการที่เห็นเฉาเจิ้งฉงและเถียนเจียลี่ถูกกำราบ คนข้างหลังที่ไม่ค่อยมีความกล้าสักเท่าไหร่ก็ได้ยอมทำตามข้อตกลงอย่างง่ายดาย ไม่มีใครกล้าที่จะต่อต้านอีก
หลังจากพูดคุยกันประมาณสองชั่วโมง คนส่วนใหญ่ก็ยอมแต่โดยดี และบอกว่าพวกเขาจะหยุดสร้างปัญหา
มีเพียงหยางซ่างจง หยางชื่อหู่ และอันเจียโย่วเท่านั้นที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
หยางชื่อหู่นั้นตัดสินใจคล้อยตามหยางซ่างจงทุกอย่าง ในขณะที่อันเจียโย่วก็ยืนกรานไม่ยอมเช่นกัน เพราะเขาได้เงินแบบนี้มาหลายปีแล้ว หากถูกตัดไปก็เท่ากับไม่มีรายได้อะไร
ตอนนี้ญาติ ๆ และเพื่อน ๆ ที่พวกเขาพามาก็อยู่ข้างนอกกันหมด พวกเขาจึงเหลือกันแค่สามคน และไม่สามารถสร้างแรงกดดันให้กับโรงงานได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าเริ่มไม่ได้ผล หยางซ่างจงจึงพูดออกมาด้วยท่าทีรุนแรงว่า “มันยังไม่จบหรอกนะ ! ”
พูดจบเขาก็กำลังจะพาหยางชื่อหู่ออกไป
เมิ่งเสี่ยวเป่ยได้ยินแบบนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดว่า “หยางซ่างจง ฉันขอแนะนำให้คุณทำตามเงื่อนไขของเราเถอะ ! ”
หยางซ่างจงผงะไปเล็กน้อย และพูดออกมาว่า “คุณไม่จำเป็นต้องมากังวลเรื่องของฉัน”
พูดจบ เขาก็เดินออกไป
เมิ่งเสี่ยวเป่ยมองดูแผ่นหลังของเขา เธอขมวดคิ้วแล้วเดินไปหาเจียงเสี่ยวไป๋ ก่อนจะพูดว่า “ผู้ช่วยเจียง ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว คุณอยากไปทานอาหารที่โรงอาหารด้วยกันกับเราไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ เพราะเขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการที่โรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลือง แม้ว่าปัญหาของที่นี่จะยังไม่เรียบร้อยดี แต่ก็ถือว่าแก้ไขไปได้เยอะแล้ว เขาไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อ
ใบหน้าของเมิ่งเสี่ยวเป่ยดูรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอพูดออกมาว่า “คนงานก่อปัญหา แต่ฉันกลับจัดการมันได้ไม่ดี”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ เขามีท่าทีที่ไม่ใส่ใจ
พนักงานของรัฐวิสาหกิจคุ้นเคยกับการกินอาหารหม้อใหญ่ หลายคนปรับตัวไม่ทันกับการปฏิรูปอย่างกระทันหันแบบนี้ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ เขาจึงไม่ได้ตำหนิเมิ่งเสี่ยวเป่ย
เมื่อเทียบกับคนรุ่นหลังที่มีการปรับโครงสร้างของรัฐวิสาหกิจ การจลาจลของคนงานในวันนี้ถือว่าเล็กน้อยมาก
และเมื่อพิจารณาการแก้ปัญหาของเมิ่งเสี่ยวเป่ยและโหยวโหย่วหยูแล้ว ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรที่ใหญ่โต
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเตือนออกมาว่า “สิ่งสำคัญที่สุดในการจัดการกับเรื่องแบบนี้คือต้องหาตัวคนบงการให้ได้”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยพยักหน้าและกล่าวว่า “มู่ฟางหยวนต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอนค่ะ เขาไม่ได้ออกหน้าด้วยตัวเอง แต่คงขอให้หยางซ่างจงออกมาเป็นไม้กันหมาให้”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ในเมื่อคุณมองออกแล้ว งั้นคุณก็สามารถลงมือก่อนได้เลย”
“ได้ค่ะ ! ” เมิ่งเสี่ยวเป่ยรับคำอย่างหนักแน่น
หลังจากพูดจบ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ออกจากห้องประชุมและตรงไปที่ทำการรองนายกเทศมนตรีทันที
ส่วนหยางซ่างจงและหยางชื่อหู่ที่ออกจากโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก ก็ได้ตรงไปพบกับมู่ฟางหยวนอย่างที่คิดไว้
“เรื่องไปถึงไหนแล้ว ? ”
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองมาถึง มู่ฟางหยวนก็แทบรอไม่ไหวที่จะถามขึ้นมา
หยางซ่างจงถอนหายใจ “หัวหน้ามู่ วิธีนี้ไม่ได้ผล ! ”
มู่ฟางหยวนหรี่ตาคู่เรียวของเขาลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “แล้วเกิดอะไรขึ้น ? ”
หยางซ่างจงเล่าเรื่องทั้งหมดทันที เมื่อเล่าจบ มู่ฟางหยวนก็ได้แต่ขมวดคิ้วเอามือไพล่ไว้ที่ด้านหลัง แล้วเดินไปมาในห้องนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นเขาไม่พูด หยางซ่างจงและหยางชื่อหู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
บรรยากาศภายในห้องดูน่าอึดอัดเล็กน้อย
“แชค ! ”
หยางซ่างจงหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน ก่อนจะจุดมันแล้วสูบเข้าไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และหายใจเอาควันออกมาเต็มปากแล้วถึงได้มีท่าทีหดหู่น้อยลง
“หัวหน้ามู่ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี ? ”
มู่ฟางหยวนเดินไปที่โต๊ะเพื่อหยิบบุหรี่ออกมา หลังจากจุดแล้ว เขาก็เหลือบมองหยางซ่างจงแล้วพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย ฉันมีวิธีจัดการกับมันอยู่”
แม้ว่าหยางซ่างจงจะถูกสั่งให้ไปจัดการกับเมิ่งเสี่ยวเป่ย แต่คนโง่เขลาอย่างเขาจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจัดการกับเจียงเสี่ยวไป๋เลย
มู่ฟางหยวนวางแผนเรื่องนี้ไว้แล้ว ซึ่งเขาจะทำเอง
สำหรับแผนการนั้น เขาได้คิดไว้คร่าว ๆ แล้ว แต่เขาไม่มีทางบอกหยางซ่างจงและคนอื่นอย่างแน่นอน
เขามองไปที่คนไร้ความสามารถสองคนนี้ จากนั้นมู่ฟางหยวนก็หยิบบุหรี่มู่ตานและเหล้าเหมาไถสองขวดออกมา แล้วเดินออกไป
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็มาถึงบ้านพักของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ
หญิงวัยกลางคนเปิดประตูให้เขาและพูดด้วยความประหลาดใจ “ฟางหยวน ทำไมวันนี้ถึงมาที่นี่ ? ไม่ได้ไปทำงานหรือ ? ”
มู่ฟางหยวนยื่นบุหรี่และเหมาไถที่เขานำมาให้หญิงวัยกลางคน แล้วถอนหายใจออกมา “พี่รอง ผมไม่ได้ไปทำงานหรอก ผมก็เลยจะมาดื่มเหล้ากับพี่เขย”
มู่ฟางซุยซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนผงะเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกอยู่ในภาวะถดถอย เธอจึงกล่าวว่า “โรงงานของแกกำลังจะปิดตัวลงงั้นหรือ งั้นระว่างที่ดื่มก็บอกเจี้ยนเฉิง ขอให้เขาช่วยย้ายแกไปช่วยงานที่หน่วยอื่นก่อนในระหว่างนี้”
มู่ฟางหยวนนั่งลงบนโซฟาแล้วพูดว่า “โรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกยังไม่ได้ปิดตัวลง เพราะตอนนี้ได้ต่อสัญญาใหม่ จึงมีการปฏิรูปโรงงานครั้งใหญ่ ผมเลยถูกถอดออกจากตำแหน่ง”
มู่ฟางซุยได้ยินก็โกรธ จึงพูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “แกเป็นถึงหัวหน้าไลน์ผลิต แต่คนที่เข้ามาทำสัญญาใหม่กับโรงงานทำให้แกต้องได้ออกจากตำแหน่งเลยหรือ ? ”
มู่ฟางหยวนได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกอย่างละเอียด ตั้งแต่การคัดเลือกเพื่อชิงตำแหน่ง แต่เขากลับพูดเข้าข้างตัวเองว่าเขาไม่ได้ผิดอะไร แต่ที่ต้องเสียตำแหน่งไปเพราะเจียงเสี่ยวไป๋จงใจไม่เลือกเขาแต่แรกและช่วยเมิ่งเสี่ยวเป่ยให้ได้ตำแหน่งใหญ่ไป
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ มู่ฟางซุยก็พูดด้วยความโกรธว่า “ช่างมันเถอะ รอพี่เขยของแกกลับมา ฉันจะบอกให้เขาแก้แค้นแทนแกเอง”
“ขอบคุณมากครับพี่รอง ! ” มู่ฟางหยวนกล่าว
เขามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากชางเจี้ยนเฉิง พี่เขยของเขา
ชางเจี้ยนเฉิงเป็นหัวหน้าสำนักงานการไฟฟ้าของเมืองจิงโจว ในยุคของการขาดแคลนพลังงานเช่นนี้ ทุกหน่วยงานต่างก็ไม่กล้ามีปัญหากับสำนักงานการไฟฟ้า ไม่อย่างนั้นเกิดคนเขาไม่พอใจจนตัดไฟที่บ้านคุณขึ้นมาล่ะ ?
ในฐานะผู้บริหารระดับกลางของโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก มู่ฟางหยวนรู้ว่าโรงงานฟิล์มพลาสติกยังคงค้างชำระค่าไฟมากกว่า 20,000 หยวน เนื่องจากปัญหาทางการเงิน
พอถึงหกโมงเย็น ชางเจี้ยนเฉิงก็เลิกงานและกลับมาที่บ้าน
เมื่อเห็นมู่ฟางหยวน ชางเจี้ยนเฉิงก็ยิ้มแล้วทักทายว่า “หัวหน้าไลน์ผลิต วันนี้นายว่างหรือ ? ถึงมาหาฉันได้”
“พี่เขย อย่าหัวเราะเยาะผมนะ” มู่ฟางหยวนพูดอย่างอนาถด้วยใบหน้าขมขื่น
ชางเจี้ยนเฉิงประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็พอตระหนักได้ว่าการแสดงออกของมู่ฟางหยวนนั้นดูผิดปกติไป
เพราะปกติชายคนนี้จะเป็นคนที่ค่อยข้างร่าเริงและหยิ่งยโส แต่วันนี้เขาดูหดหู่และกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด
“ลมอะไรหอบนายมาล่ะ ? ” ชางเจี้ยนเฉิงถามด้วยความสับสน “เกิดอะไรขึ้น ? ”
ก่อนที่มู่ฟางหยวนจะเปิดปากพูดออกไป มู่ฟางซุยก็ได้กล่าวว่า “น้องชายของฉันกำลังถูกรังแก คุณต้องช่วยเขาจัดการเรื่องนี้”
ขณะที่พูด เธอก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้ยินมาให้ฟัง พร้อมรายละเอียดเพิ่มเติม
ตามที่เธอพูด ไม่ใช่แค่มู่ฟางหยวนถูกไล่ออกจากตำแหน่งหัวหน้าไลน์ผลิตเท่านั้น แต่เขายังไม่มีสิทธิ์เข้าไปทำงานที่โรงงานด้วยซ้ำ
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ชางเจี้ยนเฉิงก็ขมวดคิ้วและถามมู่ฟางหยวนไปว่า “จริงหรือ ? ”
มู่ฟางหยวนพยักหน้า เขาดูเศร้าโศกเล็กน้อย
ชางเจี้ยนเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันได้ยินเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในโรงงานของนายที่ว่ามีคนมาต่อสัญญา ตอนแรกฉันคิดว่านายอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งซะอีก แต่คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแบบนี้”
มู่ฟางหยวนกล่าวว่า “พี่เขย พี่ต้องช่วยผมนะ”
ชางเจี้ยนเฉิงนั่งลงบนโซฟา มองดูมู่ฟางหยวนแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “แล้วนายต้องการให้ฉันช่วยอย่างไร ? ”