ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 213 :มีบางคนที่คุณไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 213 :มีบางคนที่คุณไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
ตอนที่ 213 :มีบางคนที่คุณไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
มู่ฟางหยวนกล่าวทันทีว่า “พี่เขย โรงงานของเรายังค้างชำระค่าไฟฟ้ามากกว่า 20,000 หยวนไม่ใช่หรือ ? พี่สั่งตัดไฟในโรงงานเลย”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็มองออกไปด้วยความคาดหวัง
เขาเชื่อว่าตราบใดที่ไฟฟ้าดับทั้งโรงงาน เมิ่งเสี่ยวเป่ยจะต้องไปที่สำนักงานการไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีไฟฟ้าใช้ และโรงงานจะไม่สามารถดำเนินการผลิตได้
เมื่อเมิ่งเสี่ยวเป่ยได้พบกับพี่เขยของเขา พี่เขยก็จะถือโอกาสนี้เจรจาเรียกร้องความยุติธรรมให้เขา และหลังจากนั้นเรื่องนี้อาจจะคลี่คลายลงไปได้
ชางเจี้ยนเฉิงเหลือบมองมู่ฟางหยวน แล้วพูดอย่างใจเย็น “ค่าไฟฟ้าที่โรงงานของนายเคยค้างชำระไว้ ตอนนี้ได้มีการชำระครบหมดแล้ว ! ”
ฮะ ?
มู่ฟางหยวนตกตะลึง และถามออกมาด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อว่า “พี่เขย พี่พูดจริงหรือ ? ”
เงินตั้ง 20,000 หยวนที่โรงงานฟิล์มพลาสติกเป็นหนี้ก่อนทำสัญญากับเจียงเสี่ยวไป๋ เขาไม่เชื่อว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะยินดีจ่ายหนี้นั้นให้ทันทีที่เซ็นสัญญารับช่วงต่อโรงงาน
ชางเจี้ยนเฉิงกล่าวว่า “เอาล่ะ นายคิดว่าฉันจะโกหกงั้นหรือ ? ”
มู่ฟางหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง แบบนี้แผนการของเขาก็ล้มเหลวแล้วสินะ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็กัดฟันและพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมไปว่า “พี่เขย แม้ว่าโรงงานจะจ่ายค่าไฟฟ้าแล้ว แต่พี่ก็ยังมีอำนาจในการสั่งจ่ายไฟใช่ไหม”
ชางเจี้ยนเฉิงพูดด้วยความโกรธ “ฉันเป็นใคร ถึงได้มีสิทธิ์มาสั่งให้หยุดจ่ายไฟให้คนอื่นโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้”
มู่ฟางหยวนกล่าวว่า “พี่ก็ให้เหตุผลไปว่า…..กำลังปรับปรุงสายไฟ ! ”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาเองก็รู้สึกว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่สามารถคิดเรื่องที่ฉลาดเช่นนี้ออกมาได้ในเวลาอันสั้น จึงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ใช่ ถ้าเราให้เหตุผลว่ากำลังปรับปรุงสายไฟ คงไม่มีใครมาตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะพี่เขยของผมเป็นคนสั่งการ ! ”
ชางเจี้ยนเฉิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “เกรงว่าจะไม่ได้ ! ”
มู่ฟางหยวนตกตะลึง พี่เขยกำลังปฏิเสธคำขอของเขาอยู่ใช่ไหม
พี่เขยของเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่ได้บอกว่าเขาตอบรับคำร้องขอเสมอ แต่เขาแทบจะไม่เคยปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือโดยตรงเลย
เขายังไม่ยอมแพ้และพูดว่า “พี่เขย ทำไมถึงช่วยผมไม่ได้ล่ะ ? ”
ชางเจี้ยนเฉิงเหลือบมองน้องเขยของเขาแล้วพูดว่า “ฉันรู้จักเจียงเสี่ยวไป๋ที่เซ็นสัญญากับโรงงานของนาย นายไม่ควรไปยุ่งกับผู้ชายคนนี้ ! ”
มู่ฟางหยวนไม่คาดคิดว่าพี่เขยของเขาจะรู้จักเจียงเสี่ยวไป๋ อีกทั้งยังบอกไม่ให้เขายุ่งกับเจียงเสี่ยวไป๋ด้วย
เขาไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ !
ไม่มีทาง !
“พี่เขย เจียงเสี่ยวไป๋เป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ? เขาเกาะภรรยาที่ร่ำรวยของเขากิน ไม่ต่างจากแมงดาตัวหนึ่ง”
ชางเจี้ยนเฉิงส่ายหัวแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “แกจะไปรู้ดีอะไร ! ”
“แกคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นเพียงพ่อค้าธรรมดางั้นหรือ ? เขาเป็นถึงเจ้าของธุรกิจร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงและร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเหอที่มีแฟรนไชส์ขยายไปทั่ว”
“เขาไม่เพียงแต่ทำสัญญากับโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติกที่แกทำงานอยู่เท่านั้น แต่ยังเปิดโรงงานเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันชิงเจียง และโรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองชิงโจวอีกด้วย”
มู่ฟางหยวนได้ยินแบบนั้นก็ตกตะลึงทันที
ถ้าพี่เขยไม่บอกเขา เขาก็คงไม่รู้จริง ๆ ว่าเจียงเสี่ยวไป๋มีโรงงานมากมายขนาดนี้
ชางเจี้ยนเฉิงกล่าวต่ออีกว่า “แกรู้ไหม ตอนที่โรงงานทั้งสองได้มาติดต่อกับสำนักงานการไฟฟ้า พวกเขามาพร้อมกับรองนายกเทศมนตรีจางและติงจวิ้นเจี๋ย ? ”
“ไม่ต้องพูดถึงฉัน แม้แต่ผู้อำนวยการเหลยของเราก็ยังสุภาพกับเจียงเสี่ยวไป๋”
มู่ฟางหยวนแสดงสีหน้าขมขื่นออกมา พี่เขยของเขาเป็นเพียงหัวหน้าสำนักงานการไฟฟ้า แต่ผู้อำนวยการเหลยที่เป็นหัวหน้าระดับสูงยังสุภาพต่อเจียงเสี่ยวไป๋ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดไฟโรงงานผลิตฟิล์มพลาสติก
แต่อย่างไรก็ตาม มันยังไม่จบ
ชางเจี้ยนเฉิงยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ผู้อำนวยการหวังเต๋อคุนจากสำนักส่งเสริมอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการเฉียนฟางอี้จากสำนักงานคลัง หัวหน้าโจวเต๋อฟู่จากกลุ่มผู้บริโภค รองผู้อำนวยการเหรินชางเซี่ยจากสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ผู้อำนวยการจูกั๋วฟู่จากธนาคารการเกษตรแห่งประเทศจีน ประธานฟู่เต๋อเจิ้งจากสำนักพิมพ์ชิงโจว และแม้แต่รองนายกเทศมนตรีจางต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งนั้น”
หลังจากพูดจบ เขาก็เหลือบมองมู่ฟางหยวนแล้วถามว่า “แบบนี้นายยังอยากยุ่งกับเขาอีกหรือ ? ”
มู่ฟางหยวนตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ เขาไม่เคยคาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะมีอำนาจและมีเครือข่ายที่กว้างขวางเช่นนี้
เขาคิดว่าศัตรูของเขาเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีอำนาจใหญ่โตแบบนี้
แบบนี้เขาจะสู้ได้อย่างไร ?
คงต้องยอมรับชะตากรรม !
คนบางคนแตะต้องไม่ได้ด้วยซ้ำ !
มู่ฟางหยวนไม่ได้คิดที่จะมากินข้าวที่บ้านพี่เขยของเขา ดังนั้นเขาจึงออกไปทันทีด้วยความสิ้นหวังหลังจากพูดจบ
เขาต้องการไปอยู่คนเดียวเงียบ ๆ !
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าชางเจี้ยนเฉิงช่วยเขาขจัดปัญหาด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ก็แปลกเล็กน้อยที่เขาไม่เห็นมู่ฟางหยวนเคลื่อนไหวมาสองสามวันแล้ว
จนกระทั่งเมิ่งเสี่ยวเป่ยรายงานกับเขาว่ามู่ฟางหยวนได้ลาออกไป เขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าทำไมมู่ฟางหยวนจึงเต็มใจที่จะลาออก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเจียงเสี่ยวอวี่ก็กำลังอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน และเจียงเสี่ยวเหลยก็สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายชั้นนำของเมืองชิงโจวได้สำเร็จ
“งั้นผมก็เรียนขับรถได้แล้วสิ ! ”
เจียงเสี่ยวเหลยตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋กลับบ้านมาทุกเย็น เขาก็สอนเจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวชิงขับรถ
เพราะเขาต้องทำตามสิ่งที่เขารับปากกับเจียงเสี่ยวเหลยไว้
แต่ทว่าเจียงเสี่ยวชิงก็อายุ 18 ปีแล้ว เนื่องจากเขาสอนเจียงเสี่ยวเหลยขับรถอยู่ เขาจึงคิดว่าจะสอนทั้งสองไปพร้อม ๆ กัน เมื่อพวกเขาฝึกเสร็จแล้วก็จะได้สอบใบขับขี่พร้อมกันได้
ส่วนผลสอบของเจียงเสี่ยวชิงก็ออกมาแล้ว เช่นเดียวกับชาติก่อน เธอได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจียงเฉิงจริง ๆ
“พี่รอง พี่นี่เดาแม่นมาก ! ”
เมื่อเห็นผลประกาศที่ถูกส่งมา เจียงเสี่ยวชิงก็ตื่นเต้นและพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและกล่าวแสดงความยินดีกับน้องสาวของเขา
เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ต่างมีความสุขมาก ในที่สุดคนของตระกูลเจียงก็จะมีคนที่เรียนระดับปริญญาตรี และยังเป็นนักศึกษาคนแรกในเจียงวาน ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นหน้าเป็นตาให้กับผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่อย่างพวกเขามาก
เจียงไห่หยางเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างลับ ๆ และถอนหายใจออกมา
ในเวลานั้น เขายังมีความหวังกับลูกชายคนโตของเขาด้วย แต่น่าเสียดายที่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ไปเรียนในวิทยาลัยครูธรรมดา ๆ เท่านั้น
คงจะดีไม่น้อยถ้าในตอนนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยด้วย
เจียงเสี่ยวชิงเป็นลูกสาว ซึ่งเธอจะแต่งงานกับใครสักคนในอนาคตก็ต้องเลือกให้ดี
เจียงไห่หยางมองไปที่เจียงเสี่ยวเหลย ทั้งเจียงเสี่ยวไป๋ลูกชายคนโตของเขาและเจียงเสี่ยวเฟิงลูกชายคนที่สองต่างก็ไม่มีใครสอบเข้ามหาวิทยาลัยผ่าน ดังนั้นเขาจึงตั้งความหวังไว้ที่ลูกชายคนเล็กของเขาเท่านั้น
แม้ว่าในอดีต เขาจะไม่มีความหวังกับเจียงเสี่ยวเหลยเลยก็ตาม
แต่คราวนี้เจียงเสี่ยวเหลยสามารถสอบเข้าเรียนมัธยมปลายชั้นนำได้แล้ว เขาจึงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“เสี่ยวเหลย พี่สี่ของแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว หลังจากนี้ก็ตั้งใจเรียน เพื่อที่จะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในอนาคต”
จู่ ๆ เจียงเสี่ยวเหลยก็มีใบหน้าขมขื่น พี่สี่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา
ที่เขาตั้งใจสอบจนเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมได้ ก็เพื่ออยากจะเรียนขับรถ
และตอนนี้เขาก็กำลังเรียนขับรถอยู่ ซึ่งไม่อยากสนใจเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยอะไรทั้งนั้น
ความคิดของเขาคือเรียนมัธยมปลายจนจบ จากนั้นก็จะเริ่มสร้างธุรกิจเหมือนกับพี่รองของเขา
“ผมรู้ ! ”
เจียงเซียวเหลยไม่กล้าพูดขัดใจเจียงไห่หยาง เขาก้มหน้าลงและรับปากไปอย่างส่ง ๆ แต่ก็แอบมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ พลางคิดในใจว่าพี่รองก็ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย ดังนั้นคนอย่างเขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียน
เพราะพี่รองคือแบบอย่างของเขา
เขาอยากเป็นเจ้านายตัวเองเหมือนพี่รอง
เจียงไห่หยางไม่สนใจเจียงเสี่ยวเหลยอีกต่อไป และหันมาพูดคุยกับหวังซิ่วจวี๋ต่อ
“ในที่สุดลูกสี่ของเราก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ถึงเวลาที่เราต้องฉลองกันสักหน่อยแล้วใช่ไหม ? ”
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “คราวก่อน ตอนที่ย้ายมาที่นี่ ฉันก็ไม่ได้จัดงานรวมเหล้าเลย ครั้งนี้ฉันจะพลาดได้ยังไง”
เจียงไห่หยางพยักหน้า ลูกสาวคนที่สี่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ถือเป็นเกียรติสำหรับครอบครัวของพวกเขา ฉะนั้นเรื่องที่น่ายินดีแบบนี้ต้องมีการแจ้งให้ญาติ เพื่อน และเพื่อนบ้านทุกคนได้รับรู้
เขายิ้มออกมา และหันไปหาเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “เจ้ารอง แกมีความคิดเห็นอย่างไร ? ”
ท้ายที่สุดนี่คือบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ ดังนั้นครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋จึงเป็นเจ้าของบ้านหลักในตอนนี้ แม้ว่าเจียงไห่หยางจะเป็นพ่อของเขา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเขาต้องถามความคิดเห็นของเจียงเสี่ยวไป๋ก่อน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องของเสี่ยวชิง ผมให้เป็นสิทธิ์ของพ่อกับแม่เลยครับ”
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วย เจียงไห่หยางก็ยิ้มออกมา และโบกมือ “นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ! ”
เขากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
เขาทั้งมีความสุขและมั่นใจ
แน่นอนว่าการฉลองจะต้องใช้เงินใช่ไหม ?
ไม่เพียงเจียงเสี่ยวไป๋จะมีเงินอยู่ในมือเท่านั้น แต่เขาเองก็ยังมีเงินอยู่ในมือหลายพันหยวน
ซึ่งได้มาจากการเหลาไม้ไผ่และการจับกุ้งขายนั่นเอง
ในชนบทจะมีกำหนดวันเฉลิมฉลอง อันดับแรกจะต้องกำหนดวันที่เฉลิมฉลอง พวกเขาจึงต้องเลือกฤกษ์วันที่ดี จากนั้นก็จะส่งจดหมายถึงญาติและเพื่อนฝูงต่อไป
สิ่งที่เรียกว่าการเชิญ ก็เหมือนกับการส่งคำเชิญในรุ่นหลัง
เพียงแต่ว่าจดหมายนั้นเป็นคำพูด ไม่มีกระดาษคำเชิญ
โดยทั่วไปเจ้าของไม่จำเป็นต้องไปส่งจดหมายเป็นการส่วนตัว แต่มักจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านให้ช่วยไปเชิญญาติและเพื่อนฝูงมาให้
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว หากว่าเป็นรุ่นหลัง แค่โทรหรือส่งข้อความไปก็สามารถสื่อสารกันได้แล้ว แต่ยุคสมัยนี้ จำเป็นจะต้องจ้างคนมาวิ่งเต้นให้
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงการสื่อสารต่าง ๆ ในยุคหลังที่เขาเคยเจอมา
เจียงไห่หยางเตรียมของฝากและออกไปหาหยวนชุนเฟิงอย่างมีความสุข เพื่อจะขอให้เขาดูฤกษ์งามยามดีให้