ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 23 เมีย, ผมให้
ตอนที่ 23 เมีย, ผมให้
“เมียจ๋า อ่ะนี่”
หลินเจียอินได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าจะให้บางอย่าง ตอนแรก เธอนึกว่าเขาซื้อของมาให้เธอ เธอจึงถามไปว่า: “อะไรหรือ ? ”
จากนั้นเธอก็มองไปในมือของเจียงเสี่ยวไป๋
ผลปรากฏว่าเธอเห็นเพียงเงินแค่ 1 เหมา……เท่านั้น
“คุณ……คุณใช้เงิน 50 หยวนจนเหลือแค่ 1 เหมาเนี่ยนะ ? ”
หลินเจียอินเบิกตากว้าง รู้สึกเสียดายเงินมาก
ดูจากของที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อกลับมาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เงินไม่ถึง 50 หยวนด้วยซ้ำไป
“หรือว่าเขาไปเล่นไพ่อีกแล้ว แล้วเสียไพ่จนเงินหมดตัว ? ”
หลินเจียอินเกิดความกังวลขึ้นในใจ สีหน้าของเธอพลันเย็นชาขึ้น
เวลาเจียงเสี่ยวไป๋ซื้อของ เขาจะคิดเพียงว่าสิ่งนี้จำเป็น สิ่งนั้นจำเป็น เขาถึงได้ซื้อ เขาไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย
จนกระทั่งเขาจ่ายเงินไปเกือบหมด ณ วินาทีนี้เขาถึงก็รู้ว่าตัวเองเหลือเงินอยู่เพียง 1 เหมาเท่านั้น
เขาจึงรู้สึกผิดเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าหลินเจียอินมีสีหน้าเย็นชา
เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบอธิบายให้เธอฟัง “พรุ่งนี้ผมจะเริ่มเปิดร้านแล้ว ผมเลยซื้อของใช้จำเป็นแล้วฝากไว้ที่ร้านของหวังผิง ถึงได้หมดเงินไปเยอะแบบนั้น”
“อ้อ”
หลินเจียอินโล่งอก เธอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เหลือเงินแค่ 1 เหมาจะเอามาให้ฉันทำไม ทำไมไม่เก็บไว้เอง”
“ไม่ได้ เหลือ 1 เหมาก็ต้องคืน”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวอย่างชอบธรรมและนำเงิน 1 เหมาใส่มือของหลินเจียอิน
หลินเจียอินรับเงินมา ในใจก็คิด
อืม ขอเพียงแค่ในมือของเจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีเงิน เขาก็จะไม่ไปเล่นการพนันแล้ว
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
หลังจากดีใจแล้ว เธอจึงถามว่า “คุณคิดจะขายอะไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ “ผมให้หวังผิงทำเพิงหน้าร้านของเขาให้ผม ผมตั้งใจว่าจะทำผัดมันฝรั่งขาย”
“ผัดมันฝรั่ง ? ”
หลินเจียอินตกตะลึง ตอนแรกเขานึกว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะมีแผนธุรกิจดี ๆ แต่ที่ไหนได้เขากลับจะขายผัดมันฝรั่ง มันฝรั่งมันฝรั่งเป็นอาหารหลักในชนบท แม้แต่คนเมืองก็ยังกินข้าวหรือแป้งข้าวเจ้าผสมมันฝรั่ง พวกเขากินจนเบื่อแล้ว ใครจะยังซื้อผัดมันฝรั่งกินอยู่อีก ?
ถึงแม้หลินเจียอินจะไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน แต่เธอก็คิดว่าธุรกิจนี้ไปไม่รอดเช่นเดียวกัน
“ใช่ ผมจะทำผัดมันฝรั่งนี่แหละ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยืนยันเสียงเดิม
“ไม่อย่างนั้นคุณทำไร่ทำนากับฉันอยู่ที่บ้านดีไหม”
หลินเจียอินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่ได้ตอบปฏิเสธโดยตรง แต่เธอเลือกที่จะแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยต่อธุรกิจนี้อย่างอ้อมค้อม
“ฮ่าฮ่า”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “เมียจ๋า คุณน่ารักเหลือเกิน คุณกลัวว่าผมจะขายผัดมันฝรั่งเจ๊งใช่ไหม คุณพูดมาตามตรงก็ได้ ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมเลยนี่ ? ”
“ฉันคุยเรื่องจริงจังกับคุณอยู่นะ คุณอย่าเอาแต่เล่นสิ”
อ้าปากก็เรียกเมียจ๋า หลินเจียอินยอมเจียงเสี่ยวไป๋แล้วจริง ๆ เธอจึงรีบพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“ไม่ต้องกังวลนะเมีย ธุรกิจของผมต้องไปรอดแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่กล้าเย้าแหย่หลินเจียอินแล้ว เขาจึงพูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“งั้นแล้วแต่คุณละกัน”
ลูกโตจนจะ 5 ขวบอยู่แล้ว หลินเจียอินจะไม่รู้จักนิสัยของเจียงเสี่ยวไป๋ได้อย่างไร เขาจะทำในสิ่งที่เขาตั้งใจไว้อย่างแน่นอน และเขาจะไม่หันหลังกลับถ้าเขาไม่ล้มเหลวอย่างถึงที่สุด
หลินเจียอินคร้านจะคุยกับเขาแล้ว
“งั้นผมจะถือว่าเมียตกลงแล้วกันนะ ขอเงินให้ผมอีก 10 หยวนสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดขึ้นทันควัน
“ยังจะเอาเงินอีกหรือ ? ”
ตอนเช้าเงินที่ขอไป 50 หยวนยังเหลือมาแค่ 1 เหมา นี่เพิ่งจะเที่ยงวันก็มาขอเพิ่มอีกแล้ว หลินเจียอินกังวลเหลือเกินว่าเงิน 100 กว่าหยวนที่เธอซ่อนไว้จะเหลือสักกี่หยวนเชียว ?
“ผมซื้อของอย่างอื่นเตรียมไว้หมดแล้ว เหลือแค่มันฝรั่งอย่างเดียว เลยต้องซื้อมัน” เจียงเสี่ยวไป๋อธิบาย
ทำผัดมันฝรั่งแต่ไม่มีมันฝรั่งไม่ได้
หลินเจียอินจนปัญญา จึงต้องเอาเงินให้เจียงเสี่ยวไป๋อีก 10 หยวน
อืม นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
เงิน 10 หยวนนี้ถือว่าเป็นค่าเสียรู้แล้วกัน
รอให้เขาขายผัดมันฝรั่งไม่ได้ ก็ให้เขาอยู่บ้านทำนากับฉัน
หลินเจียอินตัดสินใจเงียบ ๆ
“เมียจ๋า ผมจะไปดูที่บ้านพ่อก่อนแล้วกัน ถ้าพวกเขามีจะได้ซื้อจากพวกเขาเลย”
หลังจากพูดกับหลินเจียอินจบแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงเดินไปบ้านของเจียงไห่หยาง
เมื่อมาถึงบ้านพ่อ เจียงไห่หยาง หวังซิ่วจวี๋ เจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้ รวมถึงเจียงถิงกำลังกินอาหารกลางวันอยู่
ในชามของทุกคนต่างก็มีซาลาเปาไส้หมูอยู่คนละลูก
ซาลาเปาที่เจียงเสี่ยวไป๋เอามาให้ตอนเช้ามีเยอะมาก ดังนั้นทุกคนจึงเหลือกินในตอนกลางวันอีกคนละหนึ่งลูก
“แกอยากซื้อมันฝรั่งหัวเล็กงั้นหรือ ? ”
ได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋อธิบาย เจียงไห่หยางก็ทำสีหน้าสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
เจียงไห่หยางจึงพูดว่า “ที่บ้านยังมีอยู่ ถ้าแกอยากได้ก็เอาใส่ถุงไปเลย”
เมื่อวานเอาเนื้อมาให้ ตอนเช้าเอาซาลาเปามาให้อีก
ตอนนี้เจียงเสี่ยวไป๋อยากได้มันฝรั่ง เจียงไห่หยางจึงไม่คิดเอาเงินลูกชาย
“ไม่ได้นะพ่อ พ่อขายยังไงก็คิดราคาผมมาได้เลย ผมจะซื้อเอาไปขาย” เจียงเสี่ยวไป๋บอก
เจียงไห่หยางพูดว่า “มันฝรั่งหัวใหญ่ราคาแค่ชั่งละ 8 หลีเท่านั้น (1 หลี = 1 เจี่ยว) ไม่มีใครอยากซื้อมันฝรั่งหัวเล็กหรอก”
เจียงไห่หยางพูดเรื่องจริง ในชนบทมักจะต้มมันฝรั่งหัวเล็กให้หมูกิน ขนาดคนยังไม่อยากกินเลย
“ตกลง งั้นคิดราคาตามมันฝรั่งหัวใหญ่แล้วกัน ที่บ้านมีเท่าไรผมเอาหมดเลย” เจียงเสี่ยวไป๋พูด
เจียงไห่หยางไม่คิดเงิน สุดท้ายเขาทนลูกตื๊อไม่ไหว พวกเขาจึงตกลงราคากันได้ที่ชั่งละ 5 หลี ที่บ้านของเขามีมันฝรั่งหัวเล็ก 340 ชั่ง ซึ่งขายให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งหมด
ราคารวมทั้งหมดแค่ 1.7 หยวนเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นธนบัตร 10 หยวนให้
เจียงไห่หยางจึงให้หวังซิ่วจวี๋ทอนเงินลูกชาย
หวังซิ่วจวี๋ถือธนาบัตรไปก็พูดอย่างไม่พอใจไปว่า “มันฝรั่งหัวเล็กไม่ได้มีราคาเสียหน่อย คนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จะมาคิดงงคิดเงินอะไรกัน ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดอยู่ด้านข้างว่า “เขาอยากจ่ายก็ให้เขาจ่ายไป ดีกว่าให้เขาเอาเงินไปเล่นไพ่นะ”
หวังซิ่วจวี๋ได้ยินแบบนี้ก็คิดว่ามีเหตุผล
ดังนั้นเธอจึงรีบทอนเงินอย่างรวดเร็ว
มันฝรั่ง 340 ชั่งใส่กระสอบได้เต็ม 4 กระสอบพอดี เจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงช่วยยกมาไว้ที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋นำเงินอีก 8.3 หยวนที่เหลือมาคืนหลินเจียอิน
“คุณจะไปขายของไม่ใช่หรือ จะไม่พกเงินติดตัวหน่อยหรือไง”
หลินเจียอินกลับคิดอย่างมีเหตุมีผล เธอจึงไม่ได้รับเงินไว้
“ไม่ได้ ผมบอกแล้วว่าจะเอาเงินทั้งหมดให้เมียยังไงล่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างแน่วแน่
“งั้นก็ได้”
หลินเจียอินถึงได้รับเงินไปด้วยสีหน้าอมยิ้ม
อืม อย่างน้อยก็ลดการขาดทุนไปได้ 8.3 หยวน
ตอนนี้ได้มันฝรั่งหัวเล็กแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงสบายใจ ตอนนี้บ้านอื่นเขากินข้าวเที่ยงกันแล้ว แต่บ้านของเขายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย เขาจึงรีบเข้าครัวไปทำอาหาร
มื้อกลางวันทำอาหารกินอย่างง่าย ๆ เขาไปตัดกะหล่ำจากในสวนมาผัดใส่หมู แล้วทำเมนูหมูเส้นผัดพริกหยวก ลูกสาวของเขาชอบกินซุปกระดูกใส่แตงมาก ฉะนั้นจะขาดเมนูนี้ไปไม่ได้
เขาใช้หม้อทั้งสองใบ หม้อหนึ่งทำซุปกระดูก อีกหม้อไว้หุงข้าวผัดอาหาร ฉะนั้นเขาจึงสามารถจัดการเวลาได้อย่างรวดเร็ว
เมื่ออาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ หนูน้อยดีใจมาก
“ว้าว ได้กินข้าวสวย ซุปกระดูกและเนื้อทุกวันเลย”
หลินเจียอินดีใจไม่ออกจริง ๆ เจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนกินล้างกินผลาญ กินสิ้นเปลืองมาก หากยังกินแบบนี้ต่อไปคงไม่มีกินในมื้ออื่นแล้ว
“ต่อไปให้ฉันทำอาหารเถอะ”
หลินเจียอินคิดแล้วจึงพูดว่า
“ไม่ หนูอยากให้ป่าป๊าทำให้กิน”
“อาหารที่ป่าป๊าทำอร่อยมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร เจียงชานก็เป็นฝ่ายช่วยแย้งให้แล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋จะมองความคิดของเมียรักไม่ออกได้อย่างไร ?
เธอกำลังบอกว่ามาตรฐานอาหารของเขาสูงไป และเธอกำลังกลัวว่าในอนาคตจะไม่เหลืออะไรให้กินแล้ว
แต่เมียก็คิดมากไปจริง ๆ ผมเตรียมจะทำการค้าขายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?
อีกอย่างเขาได้กลับมาเกิดใหม่ก็เพื่อทำให้เมียและลูกสาวได้กินดีอยู่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ ?
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะฮ่าฮ่า เขายื่นมือไปจิ้มหน้าผากของเจียงชาน “อืม ในบ้านนี้ลูกใหญ่สุด พ่อฟังลูก ต่อไปพ่อจะเป็นคนทำอาหารเอง”
“ได้ค่ะ ต่อไปนี้หนูจะกินอาหารที่ป่าป๊าทำทุกวันเลย”
หนูน้อยปรบมือตะโกนด้วยความตื่นเต้น
หลินเจียอินจนปัญญาจะรับมือกับสองพ่อลูก เธอได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างโมโห สุดท้ายเธอก็กินอย่างอิ่มหนำโดยไม่รู้ตัว
ต้องโทษเจียงเสี่ยวไป๋คนเดียว เขาทำอาหารอร่อยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ?
หลังจากครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกกินเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋รีบแย่งล้างชามล้างหม้อ หลังจากเก็บกวาดในครัวแล้ว เขาก็ไปหาครกหินและสากมาจากในครัว จากนั้นก็แบ่งเครื่องเทศที่ซื้อมาทั้งหมดออกมาชนิดละส่วน แล้วนำมาโขลกให้ละเอียด
หลินเจียอินไม่รู้จักเครื่องเทศเหล่านี้ เธอแค่รู้สึกว่ามันมีกลิ่นแปลก ๆ เลยอดไม่ได้ที่จะถามเขา “คุณเอาของพวกนี้มาทำอะไร ? ”