ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 25 :ปล่อยไก่ตั้งแต่เปิดร้านวันแรก
ตอนที่ 25 :ปล่อยไก่ตั้งแต่เปิดร้านวันแรก
เช้าวันต่อมา
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้เนื้อที่เหลือจากเมื่อวานมาทำผัดหมูเส้นใส่พริกหยวก จากนั้นทำบะหมี่ให้เมียและลูก ทั้งยังเพิ่มไข่ลวกให้คนละฟอง
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว เขาไปถอนต้นหอมในสวนผักมาหนึ่งกำมือ จากนั้นไปที่สวนไผ่เพื่อถอนผักชีอีกเป็นจำนวนมาก เอาเครื่องปรุงที่ทำเมื่อคืนนี้และมัดกระสอบใส่มันเทศเล็กๆ สองกระสอบไว้กับเบาะหลังของรถจักรยาน
“เมียจ๋า ผมจะเข้าเมืองแล้ว วันนี้เปิดร้านวันแรก ต้องไปเร็วหน่อย”
เจียงเสี่ยวไป๋บอกเมียแล้วก็เข็นรถจักรยานเตรียมออกเดินทาง
“อืม อย่าปั่นจักรยานเร็วนักล่ะ”
หลินเจียอินไม่คิดว่าธุรกิจขายผัดมันฝรั่งของเจียงเสี่ยวไป๋จะไปได้ดี แต่เธอไม่ได้พูดอะไร นอกจากกำชับเขาเพียงเท่านี้
เฮอะ ๆ นี่เมียกำลังเป็นห่วงเราอยู่ใช่ไหม ถึงได้ให้เราปั่นจักรยานช้า ๆ หน่อย
แม้จะเป็นแค่คำพูดสั้น ๆ แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับรู้สึกดีใจมาก
“ป่าป๊าสู้ ๆ นะคะ ! ”
เจียงชานได้ยินมาว่าป่าป๊าของเธอจะเข้าเมืองไปเปิดร้านหาเงิน หนูน้อยจึงให้กำลังใจเขาอย่างน่ารัก
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก สมแล้ว ที่เขาว่ากันว่าลูกสาวคือปุยนุ่นติดตัว
“ขอบคุณนะเจ้าหญิงน้อยของพ่อ เป็นเด็กดีอยู่บ้านนะ ตอนเย็นพ่อจะกลับมาทำของอร่อยให้กิน”
หลังจากบอกกล่าวเมียและลูกสาวแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงปั่นจักรยานเข้าเมืองด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
หวังผิงและเมียของเขาต่างก็ไม่ได้มองธุรกิจขายผัดมันฝรั่งของเขาในแง่ดี ฉะนั้นเขาต้องทำให้มันเป็นที่นิยม ทำให้ทั้งสองมองเขาใหม่อีกครั้ง
ด้วยวิสัยทัศน์ของคนรุ่นอนาคต ประสบการณ์ในการทำธุรกิจตลอดหลายสิบปี และฝีมือที่เทียบได้กับปรมาจารย์ด้านการทำอาหาร เขาไม่เชื่อว่าผัดมันฝรั่งของเขาจะขายไม่ดี
เมื่อมาถึงร้านน้ำชา และเห็นผ้าใบกันสาดที่หวังผิงทำให้ เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกพอใจมาก
ตอนนี้เขาจินตนาการถึงภาพที่ผัดมันฝรั่งของเขาขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแล้ว
“มาเช้าเหมือนกันนี่”
หวังผิงเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋มาแล้ว จึงเข้ามาทักทายและช่วยยกกระสอบลงจากท้ายรถจักรยาน เขายกไปไว้ในห้องเก็บของหนึ่งกระสอบ อีกหนึ่งกระสอบเอาไว้ด้านนอก เจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าจะใช้หลังจากนี้
หวังผิงยังช่วยเขายกเตาถ่าน กระทะ กะละมังพลาสติกใบใหญ่ หม้อเคลือบใบเล็ก น้ำมันพืช และอื่น ๆ ด้วย
หลังจากจัดเรียงของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋เทมันฝรั่งหัวเล็กออกมาก่อน จากนั้นก็เริ่มปอกเปลือกมัน
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ในร้านน้ำชายังไม่มีลูกค้า หวังผิงว่างจึงมาช่วยเขาขูดมันฝรั่ง
ไม่นาน ทั้งสองก็ขูดมันฝรั่งได้กะละมังใหญ่
“เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน”
แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะมั่นใจในธุรกิจของเขา แต่วันนี้เปิดขายเป็นวันแรกและไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าไหร่ เมื่อเห็นว่ามันฝรั่งที่ขูดออกมามีน้ำหนัก 40-50 ชั่งแล้ว เขาจึงตั้งใจว่าจะใช้เท่านี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
“อื้ม มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหม ? ”
หวังผิงถาม
“ไม่ต้องแล้ว นายไปทำงานของนายเถอะ เดี๋ยวฉันไปจุดไฟก่อน”
ร้านน้ำชาของหวังผิงใช้เตาถ่านเช่นเดียวกัน เขาจุดไฟในเตาไว้ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ถ้าเจียงเสี่ยวไป๋ต้องการจุดไฟก็แค่ไปคีบถ่านมาจากในเตาของเขา
เรื่องนี้ใช้เวลาไม่นาน
แต่ต้องรอให้ถ่านที่เจียงเสี่ยวไป๋เพิ่งเติมไปติดไฟเสียก่อน ถึงจะเริ่มทำผัดมันฝรั่งได้
ยังต้องรอเวลาอีกหน่อย
“เวรแล้ว ! ”
ทันใดนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็สบถออกมาด้วยความตกใจ
“นายเป็นอะไรของนาย?”
หวังผิงเกือบสะดุ้งเพราะเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงรีบถามอย่างร้อนใจ
“ฉันมัวคิดแต่จะขายผัดมันฝรั่งให้ดี แต่ลืมซื้อของมาใส่มัน แบบนี้ต่อให้ลูกค้ามาซื้อก็เอามันไปไม่ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน เขาพูดอย่างจนปัญญา
เฮ้อ รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ก็สามารถตัดสินความสำเร็จหรือล้มเหลวได้เหมือนกันนะ
คิดไม่ถึงเลยว่าจะปล่อยไก่ตั้งแต่เปิดร้านวันแรก
“ทำไมสะเพร่าแบบนี้ล่ะ แล้วนายจะทำยังไง ? ”
หวังผิงก็หมดหนทางเช่นกัน ในร้านน้ำชาของเขามีแต่ถ้วยและชามใส่ชา จะให้เขาเอาชามใส่ชามาให้เจียงเสี่ยวไป๋ใส่ผัดมันฝรั่งให้ลูกค้าหรือไง ?
เอาล่ะ ต่อให้เขายอมให้เจียงเสี่ยวไป๋เอาชามดื่มชาใส่ผัดมันฝรั่งให้ลูกค้า แต่ก็กินได้แค่ที่นี่เท่านั้น ทว่าการเปิดแผงขายของเช่นนี้ส่วนใหญ่คือการให้ลูกค้าซื้อกลับไปกินที่บ้าน จะให้ลูกค้าเอาชามใส่ชาของเขากลับไปด้วยหรือไง ?
ผัดมันฝรั่งชามหนึ่งจะขายได้เงินเท่าไหร่กันเชียว ?
ไม่พอค่าชามใส่ชาด้วยซ้ำไป
“อย่ารีบร้อน ! อย่ารีบร้อน ! ฉันขอคิดก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบสงบสติอารมณ์และโน้มน้าวหวังผิง
ในยุคสมัยต่อมา ขนมที่เปิดแผงขายตามท้องถนนจะใช้ชามและตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้ง ในสมัยนั้น ชามและตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งสามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทุกแห่ง ซึ่งสะดวกมาก
และเป็นเพราะว่ามันสะดวกเกินไป เจียงเสี่ยวไป๋จึงติดนิสัย เขาลืมไปแล้วจริง ๆ ว่าเขาเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่ อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นช่วงต้นทศวรรษ1980 ยังไม่มีเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารแบบใช้แล้วทิ้งวางขายในตลาด
เจียงเสี่ยวไป๋รุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงปิดฝาตัวเตาแล้วหันไปพูดกับหวังผิง “ยังไม่ผัดมันฝรั่งแล้วกัน ฉันจะออกไปด้านนอกเสียหน่อย”
หวังผิงพยักหน้า “นายไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูของให้”
“เอ่อ……นายเอาเงินมาให้ฉันยืม 5 หยวนก่อนสิ” เจียงเสี่ยวไป๋พูด
เมื่อตอนออกมาจากบ้าน เขามัวแต่คิดว่าเขาจะมีเงินหลังจากที่ขายผัดมันฝรั่งแล้ว ก่อนออกจากบ้านจึงไม่ได้ขอเงินจากหลินเจียอินติดมือมาด้วย ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาไม่มีเงินแม้แต่หยวนเดียว
ตอนนี้เขาต้องออกไปจัดการธุระ จะไม่มีเงินไม่ได้ ฉะนั้นเขาจึงต้องยืมเงินหวังผิงก่อน
“ได้”
หวังผิงไม่ได้พูดอะไรมาก ในฐานะญาติพี่น้อง เขาจะไม่ช่วยเหลืออีกฝ่ายในช่วงเวลาสำคัญได้อย่างไร
เจียงเสี่ยวไป๋ได้เงิน 5 หยวนไปแล้วก็ปั่นจักรยานออกไป
นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ตอนนี้ไม่มีเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารแบบใช้แล้วทิ้ง งั้นก็ทำมันออกมาเองเสียเลย มันไม่ต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูงอะไรเสียหน่อย โรงงานกระดาษและโรงพิมพ์ก็ทำได้
ที่ตอนนี้ยังไม่มีใครทำ เพราะยังไม่มีใครคิดออกต่างหาก
“โรงพิมพ์ราคาถูก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดเรื่องนี้แล้วจึงตัดสินใจปั่นจักรยานไปที่โรงพิมพ์
ในเมืองชิงโจวมีโรงพิมพ์อยู่สองแห่ง โรงพิมพ์แห่งหนึ่งคือโรงพิมพ์เมืองชิงโจว และอีกแห่งเป็นสำนักพิมพ์ภายใต้สังกัดของสำนักข่าวรายวันชิงโจว
ชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโรงพิมพ์มากนัก แต่เขาก็รู้จักที่ตั้งของโรงพิมพ์ทั้งสองแห่งนี้ดี
โรงพิมพ์ชิงโจวอยู่ห่างออกไปทางตอนใต้ของเมือง ส่วนสำนักพิมพ์ของสำนักข่าวรายวันชิงโจวตั้งอยู่บนถนนชิงโจว ซึ่งอยู่ใกล้ที่นี่มาก
ประมาณ 5 นาทีต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋ก็มาถึงหน้าประตูสำนักพิมพ์ชิงโจว
หลังจากจอดรถจักรยานแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในสำนักพิมพ์ทันที แต่เขาเดินเข้าไปยังถนนซินเจี้ยนที่อยู่ด้านข้างสำนักพิมพ์
แม้จะบอกว่าถนนซินเจี้ยนเป็นถนน แต่อันที่จริงมันคือตรอกเล็ก ๆ ต่างหาก
แต่อย่าประเมินตรอกนี้ต่ำไปเชียว เพราะในช่วงต้นทศวรรษ 1980 มีพ่อค้าหาบเร่รายเล็กจำนวนมากในตรอกนี้ทำเงินได้มากมายจากการลอบขายสินค้าตามความต้องการทุกประเภท ต่อมา คนเหล่านี้บางคนได้กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่
ชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ยังเคยทำการค้าในถนนซินเจี้ยนอยู่บ่อย ๆ เขาคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างมาก
เขาเดินตรงไปเป็นระยะทางกว่า 200 เมตรถึงได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านส่วนตัวหลังหนึ่งที่เพิ่งถูกรีโนเวทไปได้ไม่นาน
“ปัง ปัง ปัง ! ”
หลังจากเคาะประตูสักพัก เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดังมาจากข้างใน “ใครน่ะ ? ”
“ใช่ฮั๋วจื่อหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถาม
แอ๊ด !
ประตูถูกแง้มเปิดเพียงครึ่งเดียว มีเด็กหนุ่มผมยาวหน้าตาหล่อเหลามองออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นว่าไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงถามอย่างระวังตัว “มาหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่า ? ”
“บุหรี่ มีไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถามตรง ๆ
“ไม่มี ! ”
หลิวเฉียงฮั๋วรีบส่ายหน้าโดยไม่คิด
ในยุคนี้ไม่สามารถแอบขายบุหรี่เองได้ หากถูกจับได้จะต้องติดคุก
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ค่อนข้างระวังตัวดีเลยทีเดียว
เขาไม่มีทางเลือก นอกจากพูดว่า “วางใจได้ หานายเจอแบบนี้ไม่ใช่สายสืบแน่นอน พี่ฮ่าวแนะนำมาน่ะ”
พี่ฮ่าวที่พูดถึงนี้มีชื่อว่าจางจื่อฮ่าว เป็นพ่อค้าที่ลักลอบขายสินค้าในตรอกนี้เช่นกัน
เพียงแต่จางจื่อฮ่าวไม่ได้ลักลอบขายบุหรี่ ทว่าเขาขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกตรวจตราอย่างเข้มงวดมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นวิทยุ เป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงมากในถนนซินเจี้ยน
ชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋เคยไปมาหาสู่กับจางจื่อฮ่าว เขารู้ว่ามีคนแบบนี้ และเมื่อเห็นว่าหลิวเฉียงฮั๋วมีท่าทีระแวดระวัง เขาจึงอ้างชื่อจางจื่อฮ่าวมาเป็นธงบังหน้า
“ที่แท้ก็เป็นคนที่พี่ฮ่าวแนะนำมานี่เอง ทำไมไม่พูดแต่แรกล่ะ”
หลิวเฉียงฮั๋วรีบเปลี่ยนเป็นหน้ายิ้มทันที เขาเปิดประตูให้เจียงเสี่ยวไป๋เข้ามา พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม