ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 266 :ทำไมวันนี้หัวหน้าเจียงดูโมโหนักล่ะ
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 266 :ทำไมวันนี้หัวหน้าเจียงดูโมโหนักล่ะ
ตอนที่ 266 :ทำไมวันนี้หัวหน้าเจียงดูโมโหนักล่ะ
เมื่อเข้าเมืองมาแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ไปส่งหลินเจียอินและเจียงชานที่ห้องทำงานในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสก่อน
เจียงถิงอยู่ที่นี่เช่นกัน
หลังจากไปส่งทั้งสามคนเรียบร้อยแล้ว เขาได้พาเจียงเสี่ยวชิง เจียงเสี่ยวหยู และเจียงเสี่ยวเหลยไปที่ร้านโยวผิ่น
เจียงเสี่ยวเฟิงพาหลี่เจียและคนอื่นมารออยู่ที่หน้าร้านตั้งนานแล้ว
วันนี้มีคนค่อนข้างเยอะ เนื่องจากครั้งนี้พวกเขาจะแจกใบปลิวเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงให้หวังผิงรับสมัครพนักงานพาร์ทไทม์มา 15 คนโดยเฉพาะ
“เสี่ยวเฟิง วันนี้ฉันให้นายหยุดงาน 1 วัน นายพาถิงถิงไปเที่ยวเล่นในเมืองเถอะ”
เจียงเสี่ยวเฟิงชะงักไปเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวตอนเช้าผมจะไปแจกใบปลิวก่อน แล้วค่อยพาลูกไปเที่ยวเล่นตอนเย็นก็ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ชี้ไปยังพนักงานกว่า 20 คนตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “มีคนช่วยแจกใบปลิวเยอะขนาดนี้ ขาดนายไปสักคนไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างฉันก็ให้น้องตี้หยุดงานเช่นเดียวกัน”
เมื่อเห็นว่าพี่ชายของเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจียงเสี่ยวเฟิงจึงทำได้เพียงแค่ตอบรับ
“ขอบคุณนะพี่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมืออย่างไม่ยี่หระ
คนที่ต้องพูดขอบคุณคือเขาต่างหาก
หากไม่ใช่เพราะเขาส่งเจียงเสี่ยวเฟิงไปที่เจี้ยนหยาง เจียงเสี่ยวเฟิงก็คงไม่ต้องแยกจากครอบครัว
ได้กลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ ไม่มีใครเข้าใจถึงความสำคัญของการอยู่กับครอบครัวได้ดีไปกว่าเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว
มองตามแผ่นหลังของเจียงเสี่ยวเฟิงไป ในใจของเจียงเสี่ยวไป๋เกิดความคิดหนึ่งแล้ว
ตอนนี้ ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงได้ฝึกฝนเชฟไว้มากมายแล้ว เขาสามารถส่งหลัวเจาตี้ไปประจำอยู่ที่เจี้ยนหยาง เพื่อให้สองสามีภรรยาได้ทำงานร่วมกันและดูแลซึ่งกันและกัน
ส่วนเจียงถิง หากพวกเขาอยากพาเธอไปอยู่ที่เจี้ยนหยางด้วยย่อมได้ หรือหากอยากให้อยู่ที่บ้านเกิด พ่อกับแม่ของเขาจะต้องดูแลเธออย่างดีแน่นอน
จนกระทั่งแผ่นหลังของเจียงเสี่ยวเฟิงหายไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ถึงได้ตื่นจากภวังค์
เมื่อมองไปที่พนักงานประจำและพาร์ทไทม์ทั้ง 24 คนที่อยู่ข้างหน้าเขา เจียงเสี่ยวไป๋ก็บอกพวกเขาถึงข้อกำหนดในการแจกใบปลิว จากนั้นจึงประกาศว่าเจียงเสี่ยวชิงจะรับผิดชอบดูแลงานแจกใบปลิวนี้
เพื่อการแจกใบปลิวในครั้งนี้ เจียงเสี่ยวชิงได้เตรียมตัวมาอย่างดีเช่นกัน
เธอได้วางแผนภายใต้การแนะนำของพี่ชายของเธอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
เธอแบ่งพื้นที่ในเมืองออกเป็น 5 เขต พนักงานประจำและพนักงานพาร์ทไทม์ทั้ง 24 คนแบ่งออกเป็น 8 ทีม ทีมละ 3 คน ในบรรดาทีมทั้งหมด ทีมที่ 1 ถึงทีมที่ 5 รับผิดชอบพื้นที่ทีมละเขต เพื่อใช้มาตรการแจกใบปลิวแบบ ‘กวาดถนน’
สิ่งที่เรียกว่า ‘กวาดถนน’ หมายถึงการแจกใบปลิวให้กับบ้านทุกหลังริมถนน ไม่ว่าจะเป็นตัวอาคารหรือบ้านคนอยู่อาศัยก็ตาม
หากมีคนอยู่บ้านก็มอบให้กับมือ
ถ้าไม่มีใครอยู่บ้าน แค่เสียบมันเข้าไปในรอยแยกของประตูหรือเสียบไว้บนที่จับประตู
ในห้าพื้นที่นั้น มีการแจกใบปลิวไปบนถนนแต่ละสาย ไม่เว้นแม้แต่ตรอกซอกซอยเล็ก ๆ
ส่วนอีก 3 ทีมที่เหลือ เจียงเสี่ยวชิงให้พวกเขาไปแจกในบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่น
ตัวอย่างเช่น ตามโรงเรียนมัธยม โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า สถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นต้น เมื่อใดก็ตามที่มีคนผ่านไปมา ให้แจกใบปลิวให้พวกเขาทันที
โดยกำหนดไว้ว่างานวันนี้จะเสร็จก็ต่อเมื่อทุกคนจะแจกใบปลิวครบคนละ 3,000 ใบ
ค่าจ้างแจกใบปลิววันละ 2 หยวน นอกจากนี้ยังมีเงินค่าคอมมิชชั่นพิเศษสำหรับจำนวนลูกค้าที่สามารถดึงมาที่ร้านได้อีกด้วย
ต้องรู้ว่าตอนนี้พนักงานรัฐวิสาหกิจทั่วไปได้เงินเดือนแค่เดือนละ 20 หยวนเท่านั้น คิดแล้วมีรายได้ตกวันละไม่ถึง 1 หยวน
เรื่องดี ๆ แบบนี้ พนักงานพาร์ทไทม์ที่ได้รับคัดเลือกมาย่อมเต็มใจทำงานอย่างเต็มที่
ไม่เหมือนยุคสมัยต่อมาที่มีการใช้ใบปลิวอย่างแพร่หลาย บรรดาคนที่ถูกจ้างไปแจกใบปลิวมักหัวใสรวบรวมใบปลิวไปชั่งกิโลขายที่ร้านรับซื้อขยะ
ชาติที่แล้วเจียงเสี่ยวไป๋เคยให้คนไปแจกใบปลิวมาก่อน เขาจึงรู้กลเม็ดพวกนี้เป็นอย่างดี และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกันขึ้น เขาจึงกำชับเจียงเสี่ยวชิงเป็นพิเศษว่าให้เธอไปสุ่มตรวจสอบหลังจากที่พวกเขาแจกใบปลิวกันแล้ว
นี่เป็นวิธีการของเขาในการปลูกฝังความสามารถด้านการจัดการ ความเป็นผู้นำ และการดำเนินการของเจียงเสี่ยวชิง
การอบรมและการปลูกฝังใครสักคนไม่สามารถใช้เพียงแค่ลมปากได้
แต่มันคือการฝึกผ่านการลงมือทำจริง
กระทั่งเจียงเสี่ยวชิงแจกจ่ายงานเรียบร้อยแล้ว เซี่ยงเฉียนจิ้นก็ได้นำใบปลิวมาส่งให้ 100,000 ใบ
แต่วันนี้เขามีคนติดตามมาด้วย 1 คน นั่นก็คือเย่กวงโต้ว
“สวัสดีครับหัวหน้าเจียง ! ”
เย่กวงโต้วเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ จึงรีบกล่าวทักทายอย่างเคารพ
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่ให้เซี่ยงเฉียนจิ้นก่อน แล้วถึงได้หันไปถามเย่กวงโต้ว: “ทำไมนายถึงมากับเขาด้วยล่ะ ? ”
เย่กวงโต้วกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันแจกใบปลิวไม่ใช่หรือครับ ? ผมอยากมาดูประสิทธิภาพของใบปลิว”
เจียงเสี่ยวไป๋แซวเขา “สนใจเรื่องการทำโฆษณาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ ? ”
เย่กวงโต้วหัวเราะอย่างเก้อเขิน “ทำอะไรย่อมต้องรักสิ่งนั้น ในเมื่อผมเลือกแล้ว ผมก็ต้องตั้งใจทำให้ดี”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะอย่างอ่อนโยน “งั้นนายก็พยายามเข้านะ ! ”
เย่กวงโต้วเห็นแบบนั้นก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “หัวหน้าเจียง งั้นวันนี้ผมไม่ขออยู่ที่ออฟฟิศ แต่ขอตามไปแจกใบปลิวด้วยได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า แล้วหันไปเรียกเจียงเสี่ยวชิง “นี่คือเย่กวงโต้วจากแผนกโฆษณาของสำนักข่าวรายวันชิงโจว เดี๋ยวช่วยแจกงานให้เขาด้วย”
“อื้ม ! ”
เจียงเสี่ยวชิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม แล้วหันไปพูดกับเย่กวงโต้วอย่างเป็นกันเองว่า “ฉันชื่อเจียงเสี่ยวชิง ยินดีต้อนรับ เอ่อ……นักข่าวเย่เข้าสู่ทีมแจกใบปลิวของพวกเรา ! ”
เดิมทีเธอตั้งใจจะเรียกเขาว่า ‘คุณ’ แต่มาคิดดูแล้วมันดูทางการเกินไป เมื่อคิดได้ว่าเขาเป็นคนของสำนักข่าว ฉะนั้นเรียกเขาว่านักข่าวคงไม่ผิด เธอจึงเปลี่ยนคำเรียกเขา
ทันทีที่เย่กวงโตวเห็นเจียงเสี่ยวชิง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที ยิ่งเมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงของเธอที่ใสและไพเราะราวกับนกขมิ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหมกมุ่นอยู่กับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
โชคชะตาช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์
หากในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบจริง ๆ เย่กวงโต้วมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเขาตกหลุมรักเจียงเสี่ยวชิงตั้งแต่แรกเห็นเข้าแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นสีหน้าแล้วแววตาของเย่กวงโต้ว ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ
ดูน้องสาวของตนเองที่เปรียบเสมือนผักกาดขาวนวล ในขณะที่ลูกน้องที่โดนหลอกให้มาทำงานให้กลับดูเหมือนหมูตัวหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมูตัวนี้ได้กลิ่นหอมอร่อยของผักกาดขาว เลยอยากจะกินใจจะขาด !
ขณะที่เย่กวงโต้วกำลังจะอยากเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเธอ เขาก็กลับมามีสติอีกครั้งและพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “สวัสดีผู้นำ วันนี้ ฉันจะทำตามที่คุณบอก มีอะไรให้ฉันทำก็บอกมาได้เลย”
เขาไม่รู้ว่าจะเรียกเจียงเสี่ยวชิงว่าอย่างไร แต่เนื่องจากหัวหน้าเจียงบอกให้เขาทำตามที่เจียงเสี่ยวชิงแบ่งงาน เขาจึงคิดว่าน่าจะเรียกเธอว่า ‘ผู้นำ’ ได้
เจียงเสี่ยวไป๋ทำสีหน้าปั้นปึ่ง: กับผู้หญิง สามารถเรียกว่าผู้นำแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ที่ไหน ?
เขาพูดอย่างไม่พอใจว่า “เรียกอะไรของนาย ! เธอคือน้องสาวของฉัน”
เย่กวงโต้วไม่รู้เลยว่าน้ำเสียงของเจียงเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขายังคงพูดกับเจียงเสี่ยวชิงอย่างร่าเริงว่า “ที่แท้เธอก็เป็นน้องสาวของหัวหน้าเจียงนี่เอง งั้นฉันเรียกเธอว่าน้องชิงแล้วกัน ! ”
เจียงเสี่ยวชิงหน้าแดง คำว่า ‘น้องชิง’ ดูจะสนิทสนมไปหน่อยนะ
เธอจึงรีบพูดว่า “คุณเรียกฉันว่าเสี่ยวชิงก็พอแล้ว”
“อื้ม เสี่ยวชิง ! ”
จากนั้น เขายังคงพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “เธอเรียกฉันว่ากวงโต้วก็ได้ ! ”
เส้นสีดำลอยวนบนใบหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาโบกมือและพูดตัดรำคาญว่า “ยังคุยกันไม่จบหรือไง รีบไปทำงานได้แล้ว รีบไปขนใบปลิวที่ผู้จัดการเซี่ยงเอามาส่งสิ”
“อ้อ ครับ ! ”
เย่กวงโต้วเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองมัวแต่สนใจคุย ยังไม่ได้ขนใบปลิวลงรถ จึงรีบเดินไปที่รถบรรทุกคันเล็ก
แต่เขาก็ยังคงสงสัยว่า: ทำไมวันนี้หัวหน้าเจียงถึงดูโกรธขนาดนี้ ?
ทางฝั่งของเจียงเสี่ยวชิง เธอรีบเรียกให้หวังเจี้ยน คังเวยและพนักงานชายคนอื่นไปช่วยขน
ในตอนนี้ เซี่ยงเฉียนจิ้นถึงได้พูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “ไหนบอกจะขายเมล็ดแตงโม 5 รส ? ทำไมถึงทำร้านโยวผิ่นล่ะ ? ”
คำถามนี้ เย่กวงโต้วเองก็เคยถามมาแล้วเหมือนกัน
ไม่ใช่แค่เย่กวงโต้วเท่านั้น หลินเจียอิน เฝิงเยี่ยนหง หรือแม้แต่เจียงเสี่ยวเฟิงต่างก็เคยถามเช่นนี้เหมือนกัน เจียงเสี่ยวไป๋จึงต้องอธิบายอีกรอบ
หลังจากฟังแล้ว เซี่ยงเฉียนจิ้นก็ส่ายหัวพลางพูดว่า “ไม่รู้จริง ๆ ว่าในหัวของคุณใส่อะไรเอาไว้ ? ทำไมถึงได้มีความคิดมากมายขนาดนี้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ในฐานะคนที่ได้กลับมาเกิดใหม่ โลกยุคหลังมีโมเดลธุรกิจแบบคลาสสิกมากมายให้ศึกษา เพียงเลือกโมเดลใดโมเดลหนึ่งมา คุณก็สามารถสร้างอุตสาหกรรมได้
เขาไม่กังวลว่าจะไม่มีอะไรทำ แต่เขากังวลว่าลูกน้องของเขาจะไม่มีความสามารถมากกว่า
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันนั้น ใบปลิวทั้งหนึ่งแสนแผ่นก็ได้ถูกขนไปวางไว้ในร้าน จากนั้นเซี่ยงเฉียนจิ้นถึงได้ขอตัวลา
เจียงเสี่ยวไป๋กำชับเจียงเสี่ยวชิงแล้วขับรถกลับ
ในเมื่อเขามอบหมายหน้าที่แจกใบปลิวให้อยู่ในความดูแลของเจียงเสี่ยวชิงแล้ว เขาจึงปล่อยให้เธอจัดการเอง