ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 301 :ลูกสาวก็ฟ้องเป็นเหมือนกัน
ตอนที่ 301 :ลูกสาวก็ฟ้องเป็นเหมือนกัน
เจียงถิงส่ายหัวเล็ก ๆ ของเธอราวกับกลอง “ไม่ค่ะ หนูอยากไปหาพ่อกับแม่”
หลินเจียอินยิ้มและส่ายหัว เด็กก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะใกล้ชิดกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นมากแค่ไหน แต่หากมีพ่อกับแม่อยู่ ก็ไม่มีใครสำคัญสำหรับพวกเขาอีกแล้ว
เธอพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ถ้าอย่างนั้นเราไปส่งถิงถิงหาพ่อกับแม่ก่อนแล้วกัน ! ”
“คุณว่ายังไง ผมก็ว่าอย่างนั้น ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ คำพูดของเขาช่างหวานราวกับน้ำผึ้ง
หลินเจียอินแอบบ่นในใจว่า: คำพูดของเขาฟังดูดี แต่เมื่อต้องตัดสินใจจริง ๆ เขากลับให้ฉันตัดสินใจเองตลอด !
นิคมอุตสาหกรรมเจี้ยนหยางตั้งอยู่ในเขตชานเมืองทางตะวันออก ในยุคนี้ไม่มีถนนวงแหวนรอบเมือง เจียงเสี่ยวไป๋เข้ามาในเมืองจากทางใต้แล้วใช้เส้นทางไปทางทิศตะวันออก ไม่นาน เขาก็มาถึงที่ราบโล่งผืนใหญ่
แม้ว่านิคมอุตสาหกรรมจะได้รับการวางแผนและถูกจัดสรรมาแล้ว แต่ในเวลานี้มีเพียงโรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอเท่านั้นที่ตั้งอยู่ที่นี่ ตอนนี้ที่ดินผืนใหญ่ยังคงเต็มไปด้วยพืชผลของเกษตรกร รอให้การเก็บเกี่ยวในปีนี้เสร็จสิ้นแล้ว พื้นที่นี้จะไม่อนุญาตให้มีการหว่านเมล็ดพันธุ์อีก
รถจี๊ปค่อย ๆ ขับไปตามถนนลูกรัง และไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงทางเข้าโรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอ
หลังจากดำเนินการก่อสร้างมาได้ 20 วัน ตอนนี้ได้มีการสร้างรั้วรอบที่ดินของโรงงาน และมีการติดตั้งประตูรั้วใหญ่แล้ว
“พวกคุณมาหาใครครับ ? ”
ยามเฝ้าประตูไม่รู้จักเจียงเสี่ยวไป๋ เขาเดินช้า ๆ มาจากป้อมยามแล้วถามขึ้น
“ผมมาหาผู้จัดการเจียง เขาเป็นน้องชายของผม ! ”
ทันทีที่ยามได้ยิน เขาก็กระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ที่แท้ก็ประธานเจียงนี่เอง ! ผมจะเปิดประตูให้คุณเดี๋ยวนี้เลยครับ”
จากนั้น เขาก็รีบวิ่งไปเปิดประตู
“ประธานงั้นหรือ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขาไม่คาดคิดว่ายามเฝ้าประตูจะเรียกเขาแบบนี้
หลังจากขับรถเข้าไปในประตูแล้ว ยามก็รีบโทรหาเจียงเสี่ยวเฟิงทันที
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ลงจากรถและมองไปรอบ ๆ เขาก็เห็นว่ามีอาคารโรงงานหลายแห่งถูกสร้างขึ้น รวมถึงหอพักและโรงอาหารสำหรับพนักงาน
แม้ว่าจะเป็นอาคารเรียบง่ายชั้นเดียว แต่การก่อสร้างก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน เจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้ก็ออกมาพร้อมกัน
“พ่อ แม่ ! ”
เจียงถิงรีบวิ่งเข้าไปและโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของหลัวเจาตี้
หลัวเจาตี้กอดลูกสาวของเธอไว้แน่นด้วยความดีใจ และหอมแก้มเธอด้วยความรัก
เจียงเสี่ยวเฟิงเหลือบมองลูกสาวของเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“พี่ ทำไมพี่ถึงพาถิงถิงมาที่นี่ด้วยหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ฉันมาทำธุระเจี้ยนหยาง เลยพาเธอมาด้วย ครอบครัวนายจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไง”
เจียงเสี่ยวเฟิงรู้สึกขอบคุณเขา แล้วถามอย่างเก้อเขินว่า “แล้วพี่จะอยู่นานแค่ไหน ? ”
เดิมทีเจียงเสี่ยวไป๋วางแผนที่จะรับรถและกลับในช่วงบ่าย แต่หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็เปลี่ยนใจ “ค้างหนึ่งคืน แล้วพวกฉันจะออกเดินทางพรุ่งนี้”
เจียงเสี่ยวเฟิงดีใจมากและอุทานว่า “เยี่ยมมาก ! ผมได้ใช้เวลากับลูกสาวตั้งหนึ่งคืน”
เมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวเฟิงมีความสุขเพียงใด เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง
เจียงเสี่ยวเฟิงไม่เพียงแต่ต้องการใช้เวลากับลูกสาวของเขาเท่านั้น แต่หลินเจียอินก็ต้องการอยู่กับพ่อแม่ของเธอเช่นกัน
ในขณะนี้ จวงปี้เฉิงก็เดินเข้ามา
“เถ้าแก่เจียง ทำไมคุณถึงมาที่นี่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่ให้เขาแล้วพูดว่า “มารับรถจากฝั่งนี้เลยแวะมา ช่วงนี้คุณทำงานหนักหน่อยนะ”
“ไม่มีปัญหาเลย ! ”
จวงปี้เฉิงตอบอย่างสุภาพแล้วหยิบบุหรี่มาทัดไว้หลังหู จากนั้นเขาก็รายงานความคืบหน้าของการก่อสร้างโรงงานเมล็ดแตงโมให้เจียงเสี่ยวไป๋ทราบ
โครงการนี้ไม่ใหญ่นัก ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นตามแบบแปลนที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่ได้พูดอะไรมาก
หลังจากที่จวงปี้เฉิงเดินออกไป เจียงเสี่ยวไป๋จึงถามเจียงเสี่ยวเฟิงว่ามีเมล็ดแตงโม 5 รสอยู่ในสต็อกเท่าไร เมื่อรู้ว่ามีอยู่ในสต็อกมากกว่าสองหมื่นชั่ง เขาจึงบอกว่าตอนบ่ายจะให้รถบรรทุก 3 คันเข้ามารับของ
ถึงอย่างไรรถบรรทุกทั้ง 5 คันนี้ก็ต้องขับกลับไปที่ชิงโจวอยู่แล้ว ดังนั้นก็ให้นำเมล็ดแตงโม 5 รสกลับไปด้วย
ช่วยประหยัดค่าขนส่งได้สองรอบ
เมื่อเจียงเสี่ยวเฟิงรู้ว่าพี่ชายของเขาซื้อรถบรรทุกขนาดใหญ่ 5 คัน เขาจึงขอพี่ชายว่า “พี่ พี่ช่วยทิ้งรถบรรทุกคันหนึ่งเอาไว้ที่นี่ได้ไหม เมล็ดแตงโมใกล้เก็บเกี่ยวเร็ว ๆ นี้แล้ว หากไม่มีรถบรรทุกคงจะไม่สะดวกในการขนส่ง”
หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตอบว่า “เอาล่ะ ฉันจะทิ้งรถไว้คันหนึ่ง แต่ในพื้นที่เจี้ยนหยาง นายใช้รถบรรทุกคันเล็กจะดีกว่า ฉันจะส่งรถบรรทุกคันเล็กสองคันมาให้นายโดยเร็วที่สุด เพื่อเปลี่ยนกับรถบรรทุกคันใหญ่ไป”
เจียงเสี่ยวเฟิงเห็นด้วยทันที
หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาหลินเจียอินและเจียงชานจากไป
หลังจากเข้าไปในเมืองอีกครั้ง พวกเขาก็มุ่งตรงไปที่ถนนกู่หยา เพื่อไปบ้านพ่อแม่ของหลินเจียอินก่อน
หลิวอี้ถิงรู้ว่าครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋กำลังจะมา ดังนั้นวันนี้เธอจึงไม่ไปทำงานและรอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่บ้าน
“ชานชาน หนูคิดถึงยายไหม ? ”
เมื่อเห็นหลานสาวของเธอ หลิวอี้ถิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
“หนูคิดถึงคุณยายมาก ๆ เลยค่ะ ! ”
เด็กน้อยตอบด้วยเสียงหวานและอ่อนโยน พร้อมกับหอมแก้มของหลิวอี้ถิง
สิ่งนี้ทำให้หลิวอี้ถิงมีความสุขอย่างมาก
“คุณยายคะ หม่าม๊าไม่รักหนูแล้ว ! ”
ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากร่างเล็กหอมแก้มยายของตัวเองเสร็จแล้ว เธอก็เริ่มฟ้องทันที
หลิวอี้ถิงชะงักไปชั่วขณะ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กน้อยถึงพูดแบบนั้น จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หม่าม๊าของชานชานไม่กล้าหรอก ! เพราะยายจะช่วยชานชานเอง ยายรักชานชานมากที่สุด ! ”
เด็กน้อยพยักหน้าซ้ำ ๆ แล้วพูดอย่างเสน่หาว่า “คุณยายรักชานชานที่สุด ตั้งแต่หม่าม๊าตั้งท้องน้องชายของหนู หม่าม๊าก็ไม่อยากเลี้ยงหนูแล้ว หม่าม๊าจะส่งหนูเข้าโรงเรียนอนุบาล คุณยายคะ หนูอยากโตอีกสักหน่อยค่อยเข้าโรงเรียน”
อ่า ?
คำพูดของเด็กน้อยทำให้หลิวอี้ถิงตกตะลึง
ลูกสาวของเธอกำลังตั้งท้องลูกคนที่สอง ทำไมเธอไม่รู้เรื่องนี้
หลิวอี้ถิงไม่มีเวลาคุยเรื่องโรงเรียนกับเด็กน้อย เธอรีบหันไปมองหลินเจียอิน
หลินเจียอินเพิ่งกลับมาถึงบ้านและยังไม่มีโอกาสคุยกับแม่ของเธอเลย ไม่คาดคิดว่าลูกสาวของเธอจะเปิดเผยเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอแล้ว ทำให้เธออยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจไม่น้อย
“แม่ อย่าไปฟังที่ชานชานพูด ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากดูแลเธอ แค่เธออายุห้าขวบแล้ว และควรจะไปโรงเรียนได้แล้ว”
“เราพักเรื่องโรงเรียนไว้ก่อนเถอะ ลูกท้องจริง ๆ หรือ ? ท้องได้กี่เดือนแล้ว ? ” หลิวอี้ถิงถามด้วยความเป็นห่วง
“ท้องมาเกือบสองเดือนแล้วค่ะ หนูเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ เลยยังไม่มีโอกาสบอกแม่เลย” หลินเจียอินอธิบาย
หลิวอี้ถิงมองด้วยสายตาเคร่งขรึม “เด็กคนนี้ ทำไมไม่บอกเรื่องสำคัญให้เร็วกว่านี้เล่า ? ”
หลินเจียอินรู้สึกเขินอายและไม่กล้าตอบ
จากนั้น เธอก็หันไปมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างคาดโทษ ราวกับโทษเขาที่ตามใจลูกสาวเกินไป ตอนนี้ลูกรู้จักฟ้องคนอื่นแล้ว !
เจียงเสี่ยวไป๋คิดในใจว่า: มันเกี่ยวอะไรกับผม ? ลูกสาวของเราฟ้องเก่งเหมือนคุณต่างหากล่ะ !
หลังจากสบตากันอย่างเงียบ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดกับหลิวอี้ถิงว่า “แม่ครับ ผมจะไปหาพ่อเพื่อจัดการเรื่องบางอย่างก่อน เดี๋ยวผมกลับมานะครับ”
หลิวอี้ถิงเข้าใจว่าเจียงเสี่ยวไป๋มีงานสำคัญที่ต้องทำ ดังนั้นเธอจึงตอบว่า “ตามสบาย แต่กลับมาเร็ว ๆ นะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “ผมจะรีบกลับมาครับ รอผมกลับมาทำอาหารนะครับ”
หลิวอี้ถิงยิ้มและพูดว่า “กลับมาไม่ต้องทำอาหารหรอก แม่เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว กลับมาถึงก็พร้อมกินได้เลย”
ความรู้สึกอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจของเจียงเสี่ยวไป๋ แม่ยายของเขาใจดีกับเขาจริง ๆ
แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาและหลินเจียอินอยู่ที่ชิงโจวเป็นหลัก ไม่ค่อยได้มาเยี่ยมพ่อตาแม่ยายที่เจี้ยนหยาง เขารู้สึกว่าเขาควรแสดงความกตัญญูต่อพ่อตาแม่ยายบ้าง จึงพูดว่า “แม่ เดี๋ยวขากลับผมจะซื้อปลากลับมาด้วย เดี๋ยวผมจะทำหัวปลาหม้อไฟให้กิน ! ”
หัวปลาหม้อไฟ ?
มันคืออะไร ?
หลิวอี้ถิงไม่เพียงแต่ยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจ แต่หลินเจียอินก็ตกตะลึงเช่นกัน เธอไม่เคยลิ้มรสหัวปลาหม้อไฟฝีมือของเจียงเสี่ยวไป๋มาก่อน และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นด้วยความตื่นเต้น
“เยี่ยมเลย ! ป่าป๊ากำลังจะทำเมนูใหม่ ! ”
เจียงชานปรบมือ จากนั้นเธอก็พูดอ้อนหลิวอี้ถิงว่า “คุณยายคะ ป่าป๊าทำหัวปลาหม้อไฟให้คุณยายและคุณตากินเท่านั้น ไม่ให้หม่าม๊ากิน เพราะหม่าม๊าใจร้ายจะส่งหนูไปโรงเรียน”
หลินเจียอินรู้สึกโมโหเข้าแล้วจริง ๆ ลูกคนนี้กำลังพูดจาไร้สาระอะไร
อย่างไรก็ตาม หลิวอี้ถิงไม่ได้สนใจอะไรมาก เธอแค่หัวเราะแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ยายจะไม่ให้หม่าม๊าหนูกินหรอก ยายและชานชานจะกินด้วยกันสองคนดีไหมจ๊ะ”
“คุณยายดีที่สุดเลย ! ”
เด็กน้อยซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของหลิวอี้ถิงอย่างมีความสุข ราวกับว่าเธอได้พบที่หลบภัยแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ดูสองยายหลานที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เขาก็หัวเราะ แล้วไปขึ้นรถขับมุ่งหน้าไปยังที่ว่าการอำเภอ