ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 305 :โครงการใหม่ฟังดูดีมาก!
ตอนที่ 305 :โครงการใหม่ฟังดูดีมาก!
ในช่วงบ่าย ครอบครัวของหลินเจียเหวยมาถึงก่อน
“คุณย่า ! ”
“คุณย่า ! ”
หลังจากที่หลินจื้อเสียนและหลินจื้อหลินเดินเข้ามา พวกเขาก็ทักทายทุกคนอย่างสุภาพ หลินเจียเหวยและหานหยุนอิงก็ทักทายหลิวอี้ถิงเช่นกัน หลินเจียเหวยชี้ไปที่ห้องครัวแล้วพูดว่า “น้องเขยทำอาหารอีกแล้วหรือครับ ? ”
หลิวอี้ถิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ดูเสี่ยวไป๋สิ เขามาเยี่ยมแม่แล้วยังรู้จักเป็นห่วงแม่ ไม่อยากให้แม่เหนื่อย แถมยังยืนกรานไม่ให้แม่ทำอาหารเองด้วย แต่ทุกครั้งที่แกมา แกก็แค่นั่งกินข้าว เช็ดปาก แล้วก็ออกไป”
หลินเจียเหวยหัวเราะเบา ๆ “นั่นเป็นเพราะมีหยุนอิงคอยช่วยแม่อยู่ไม่ใช่หรือ ลูกชายอย่างผมเลยไม่ต้องทำอะไร เป็นยังไงล่ะ ผมเลือกลูกสะใภ้ให้แม่ดีมากเลยใช่ไหม ! ”
หลิวอี้ถิงสะบัดหน้าหนีลูกชาย “แกช่างกล้าพูด”
หลินเจียเหวยยิ้มและเดินไปที่โซฟาพร้อมกับลูกทั้งสองคนของเขา
“สวัสดีค่ะคุณลุง ! ”
“สวัสดีค่ะคุณป้า ! ”
เจียงชานทักทายอย่างสุภาพ จากนั้นเธอก็ทักทายหลินจื้อเสียนและหลินจื้อหลินอย่างสดใส “สวัสดีค่ะพี่ชาย พี่สาว ! ”
เด็กทั้งสามเล่นด้วยกันอย่างรวดเร็ว
หานหยุนอิงจะไปช่วยในครัว แต่หลินเจียเหวยพูดว่า “ห้องครัวค่อนข้างเล็ก อีกอย่างสองคนนั้นเขาอยู่ในครัวแล้ว ลูกไม่ต้องไปหรอก”
หานหยุนอิงคิดแล้วก็จริงอย่างที่แม่สามีว่า เธอจึงพยักหน้ารับ
หลังจากนั้นไม่นาน หลินต้าเหว่ยก็กลับมาเช่นกัน
หลินเจียเหวยที่กำลังเอนตัวลงบนโซฟาอย่างเกียจคร้านรีบนั่งตัวตรงแล้วทักทายเขา “พ่อ”
หลินต้าเหว่ยเพียงพยักหน้าและเข้าไปกอดเจียงชาน
“คุณตา ! ”
“ฮึ่บ ! ”
หลินต้าเหว่ยอุ้มเธอขึ้น แล้วถามว่า “ชานชาน หนูคิดถึงคุณตาไหม ? ”
“คิดถึงค่ะ ! ”
เด็กน้อยตอบเสียงหวาน ทำให้หลินต้าเหว่ยยิ้มกว้างด้วยความอิ่มเอมใจ
หลินจื้อหลินมองด้วยความอิจฉา และรู้สึกว่าปู่ของเขาลำเอียง
ในเวลานี้ หลินเจียอินได้วางอาหารส่วนใหญ่ไว้บนโต๊ะแล้ว สุดท้ายเป็นเจียงเสี่ยวไป๋ที่ยกหม้อไฟออกมาจากห้องครัวและเรียกทุกคนกินข้าว “กินข้าวกันเถอะครับ ! ”
กลิ่นหอมเย้ายวนลอยมาในอากาศ ทุกคนต่างลุกขึ้นมารวมตัวกันที่โต๊ะอาหารอย่างกระตือรือร้น
ในหม้อไฟ น้ำซุปสีแดงสดกำลังเดือด มองดูแล้วคล้ายกับปากปลากำลังพ่นน้ำออกมา เป็นภาพที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อรวมกับกลิ่นหอมเข้มข้นของเครื่องเทศที่ชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงาน ทุกคนก็อดน้ำลายไหลไม่ได้
“พ่อคะ นี่คือเมนูอะไร น่ากินจังเลย ? ”
หลินจื้อหลินจ้องไปที่หม้อไฟแล้วถามหลินเจียเหวย
หลินเจียเหวยไม่รู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ทำเมนูอะไร เขาจึงพูดว่า “อาหารจานนี้เป็นฝีมือคุณอาของลูก พ่อไม่รู้ชื่อเมนู”
เจียงชานรีบแย่งพูดขึ้นมาทันที “หนูรู้ มันคือหัวปลาหม้อไฟแน่นอน ! ”
หลินจื้อหลินพูดอย่างอิจฉา “น้องชานชานช่างรอบรู้จริง ๆ ”
เจียงชานยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ป่าป๊าบอกหนูก่อนหน้านี้ ซึ่งหนูก็ยังไม่เคยกินเหมือนกัน”
หลังจากพูดคุยกันอย่างมีความสุขไปสักพัก ทุกคนก็นั่งลง เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียเหวยก็ร่วมดื่มกับหลินต้าเหว่ย
ขณะที่หลินเจียเหวยกำลังรินเหล้า หลินต้าเหว่ยแทบรอไม่ไหวที่จะพูดว่า “นี่คือหัวปลาหม้อไฟอะไรนั่นใช่ไหม พ่อขอลองหน่อย”
ขณะที่เขาพูด เขาก็คีบปากปลาจากหม้อไฟใส่ลงในชาม แล้วกินอย่างรวดเร็ว
หลายคนไม่ชอบกินหัวปลา เพราะหัวปลามีเนื้อน้อยและมีกระดูกมากกว่า แต่คนที่รู้วิธีกินปลาจริง ๆ จะรู้ว่าหัวปลาคือสุดยอดความอร่อยของปลา และเนื้อบริเวณปากปลาเป็นส่วนที่นุ่มและรสชาติดีที่สุดของหัวปลาแล้ว
หลังจากกินเข้าไปแล้ว หลินต้าเหว่ยก็รับรู้ได้ถึงรสสัมผัสเนื้อปากปลาที่สดใหม่ นุ่มชุ่มฉ่ำและอร่อย จนเขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมว่า “มันอร่อยมาก ! ”
เมื่อเห็นว่าคุณปู่เริ่มกินแล้ว หลินจื้อหลินก็ตะโกนออกมาว่า “หนูก็อยากกินปากปลาเหมือนกัน ! ”
หลินเจียอินคีบปากปลาให้เธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้จ้ะ ปากปลาชิ้นนี้ให้หลินหลินนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณอา ! ”
หลินจื้อหลินเอ่ยขอบคุณแล้วรีบตักปากปลาเข้าไปในปาก แต่ทันทีที่เธอกัดเข้าไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นแล้วทำหน้าหยี “ร้อนและเผ็ดมาก ! ”
หานหยุนอิงเห็นแบบนั้นจึงตำหนิลูกสาว “ใครบอกให้ลูกกินเร็วขนาดนี้ ไม่มีใครแย่งลูกกินหรอก”
แต่หลินต้าเหว่ยกลับพูดว่า “หลินหลิน ค่อย ๆ กิน ความเผ็ดช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารนะ ! ”
“ค่ะ ! ”
หลินจื้อหลินพยักหน้ารับและเริ่มกินอีกครั้ง
คนอื่น ๆ ก็คีบปากปลามากินอย่างเอร็ดอร่อยและพากันชมว่า ‘อร่อย’ ไม่ขาดปาก
หลังจากที่หลินเจียเหวยกินหัวปลาหม้อไฟเสร็จแล้ว เขาก็หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “น้องเขย ฉันอาจไม่ยอมนายในเรื่องอื่น แต่เรื่องทำอาหารคงต้องซูฮกนายเข้าแล้ว มา ฉันจะดื่มให้หนึ่งแก้ว”
“พี่ใหญ่เป็นพี่ ผมต่างหากที่ต้องดื่มให้พี่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยกแก้วขึ้นชน ก่อนจะดื่มหมดแก้ว
หลังจากดื่มเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “พี่ ผมอยากถามพี่เกี่ยวกับสถานการณ์ที่โรงเบียร์หน่อยได้ไหม”
หลินเจียเหวยพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “อยากรู้อะไรก็ถามได้เลย”
“เฮ้ ๆ เดี๋ยวก่อน รอก่อน ! ” หลินต้าเหว่ยได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็รีบขัดจังหวะทันที และพูดว่า “เรื่องโรงเบียร์ไว้คุยกันทีหลัง เสี่ยวไป๋ บอกพ่อเกี่ยวกับโครงการใหม่ก่อนเถอะ”
ตลอดทั้งบ่าย เขาเอาแต่คิดถึงสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดเกี่ยวกับโครงการใหม่มาโดยตลอด ดังนั้นเขาจะต้องคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่องตอนมื้อเย็น
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และต้องพักเรื่องโรงเบียร์ไว้ชั่วคราว เขาพูดว่า “พ่อครับ เจี้ยนหยางเป็นแหล่งปลูกกีวี่และลูกพีชสีเหลือง ผมอยากจะตั้งโรงงานผลิตอาหารกระป๋องในเจี้ยนหยาง”
ตั้งแต่ปลายปี 1980 ถึงปี 1990 เนื่องจากปัญหาในการเก็บรักษาและการขนส่งผลไม้ ทำให้อาหารกระป๋องกลายเป็นกระแสนิยมขึ้นมา
นอกจากนี้ อาหารกระป๋องนั้นง่ายมาก ทั้งยังมีผลไม้หลายชนิดที่สามารถบรรจุกระป๋องได้ สิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือลูกพีช ลูกแพร์ และกีวี่
แม้ว่าจนกระทั่งศตวรรษที่ 21 อาหารกระป๋องจะไม่ได้รับความนิยมขนาดนั้นอีกแล้ว
แต่ระหว่างนั้นยังมีช่วงการพัฒนาอีกสิบหรือยี่สิบปี และเจียงเสี่ยวไป๋ยังคงต้องการใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้
ดวงตาของหลินต้าเหว่ยเป็นประกาย โครงการนี้เหมือนกับเมล็ดแตงโมที่สามารถช่วยให้เกษตรกรร่ำรวยได้ หากพวกเขาก่อตั้งโรงงานผลิตอาหารกระป๋อง เกษตรกรก็สามารถปลูกไม้ผลในปริมาณมากได้เช่นกัน
“ลูกทำอาหารกระป๋องเป็นด้วยหรือ ? ”
หลินต้าเหว่ยถามด้วยความตื่นเต้น
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม หากเขาอยากเริ่มต้นทำธุรกิจในช่วงทศวรรษ 1980 การทำอาหารกระป๋องจะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด
“พ่อครับ ในหน้าผลไม้ โรงงานผลิตอาหารกระป๋องจะสามารถผลิตผลไม้กระป๋องได้ และในช่วงเวลาอื่นยังสามารถผลิตอาหารกระป๋องจากวัตถุดิบจำพวกเนื้อสัตว์ได้ด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋ชี้ไปที่หม้อไฟและพูดต่อว่า “วันนี้ผมซื้อปลามาหลายสิบตัว แต่ในมื้อเย็นเราใช้แค่หัวปลาเท่านั้น ส่วนตัวปลาที่เหลือผมได้หมักไว้แล้ว เดี๋ยวผมจะทำให้มันเป็นนักเก็ตปลารสเผ็ดในกระป๋อง ให้พ่อไว้แกล้มเหล้า”
หลินต้าเหว่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข ลูกเขยคนนี้ก็ไม่เลว เขายังเตรียมของว่างไว้ให้เขากินแกล้มเหล้าอีกด้วย
หลังจากชนแก้วกับเจียงเสี่ยวไป๋และดื่มแล้ว เขาก็ถามว่า “แล้วเนื้ออะไรบ้างที่สามารถนำมาทำอาหารกระป๋องได้ ? ”
“ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเนื้อปลา เนื้อวัว และเนื้อไก่ครับ” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ
หลินต้าเหว่ยพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า โรงงานผลิตอาหารกระป๋องถือเป็นโครงการที่ดีจริง ๆ มันไม่เพียงแต่ส่งเสริมการปลูกไม้ผลของเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ปศุสัตว์ และการประมงอีกด้วย
ทันใดนั้น พ่อตาและลูกเขยก็เริ่มพูดคุยกันถึงขั้นตอนการก่อตั้งโรงงานผลิตอาหารกระป๋อง โดยปล่อยให้หลินเจียเหวยนั่งฟังตาปริบ ๆ อยู่ด้านข้าง
หลินเจียเหวยรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้ง จึงคีบปากปลาให้หานหยุนอิงอย่างไม่เต็มใจ และพูดว่า “หยุนอิง คุณกินปากปลาเยอะ ๆ หน่อยนะ เราปล่อยให้พวกเขาคุยกันไปเถอะ”
หานหยุนอิงหัวเราะเบา ๆ และรู้ว่าสามีของเธอกำลังน้อยใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจียงชานก็เหลือบมองที่เจียงเสี่ยวไป๋ จากนั้นก็มองไปที่หลินเจียเหวย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “คุณลุง หนูคิดว่าคุณลุงน่าจะได้เป็นผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารกระป๋องที่ป่าป๊ากำลังจะสร้าง ! ”
หลินเจียเหวยหัวเราะและถามว่า “ชานชาน ทำไมหนูถึงบอกว่าลุงจะได้เป็นผู้จัดการโรงงานล่ะ ? ”
เจียงชานทำหน้าครุ่นคิด แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ดูสิคะ ลุงเขยของหนูเป็นผู้จัดการโรงงานไปแล้ว อาเสี่ยวเฟิงของหนูก็เป็นผู้จัดการโรงงาน ในบรรดาครอบครัวของหนู มีแค่พวกอาเสี่ยวชิง อาเสี่ยวเหลย อาเสี่ยวหยูที่ยังเรียนหนังสืออยู่เท่านั้นที่ไม่ได้เป็นผู้จัดการโรงงาน เหลือก็แต่ลุงใหญ่คนเดียวที่ยังไม่ได้เป็นผู้จัดการโรงงาน ! ”
ประโยคนี้ของหนูน้อยทำให้หลินเจียเหวยถึงกับไปไม่เป็น ในขณะที่คนอื่นก็พากันหัวเราะออกมา