ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 306 :เซอร์ไพรส์จากพ่อตา
ทุกคนมีความสุขกับมื้ออาหาร
หลังมื้อเย็น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ลุกขึ้นจะเก็บจานและอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่หลินต้าเหว่ยหยุดเขาไว้และพูดว่า “ไม่ต้องเก็บจานไปล้างเองหรอก ไปเดินเล่นข้างนอกกับพ่อหน่อย”
“ครับพ่อ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋จำต้องวางงานนี้ แล้วเดินตามพ่อตาของเขาออกไปข้างนอก
หลินเจียเหวยเช็ดปากและเตรียมที่จะตามไปด้วย
แต่หลินต้าเหว่ยโบกมือไล่เขาและพูดว่า “ฉันอยากคุยกับเสี่ยวไป๋ แกไปล้างจานเลย อย่าทำตัวเหมือนคุณชายทุกครั้ง แสดงความกตัญญูต่อแม่แกบ้าง”
หลินจียเหวยบ่นว่า “แค่ไม่อยากให้ผมตามไปก็บอกตามตรง ทำไมต้องใช้ผมไปล้างจานด้วย ! ”
แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็ยังเก็บจานไปล้างอย่างเชื่อฟัง
หลิวอี้ถิงเห็นท่าทางงุ่มง่ามของเขาจึงพูดว่า “ช่างเถอะ แกไปนั่งดีกว่า แม่จัดการเอง”
หลินเจียเหวยยิ้มและวางจานที่เขาหยิบขึ้นมา เขาพูดอย่างดีใจว่า “แม่ดีกับผมเสมอ ไม่เหมือนพ่อ ปฏิบัติต่อลูกเขยดีกว่าลูกตัวเองอีก”
หลิวอี้ถิงปั้นหน้ายักษ์ใส่เขา “ฉันก็ลำเอียงเหมือนกัน เพราะเสี่ยวไป๋เขารู้เรื่องรู้ราวมากกว่าแก”
หลินเจียเหวยหน้าเหวอไปเล็กน้อย “ได้ ๆ พ่อกับแม่ต่างก็ลำเอียงทั้งคู่ ผมดีใจมากที่ไม่มีใครสนใจ”
พูดจบ เขาก็นั่งลงบนโซฟาและเตรียมเล่นกับเด็กน้อยทั้งสาม แต่ใครจะไปคิดว่าหลินจื้อเสียนจะพูดว่า “น้องชานชาน พี่จะพาพวกเธอไปเล่นในสนามเด็กเล่น”
“ค่ะ ! ”
เจียงชานพยักหน้าอย่างมีความสุข
เด็กน้อยทั้งสามวิ่งออกไปข้างนอก ทิ้งเขาไว้ตามลำพังในห้องนั่งเล่น
เจียงเสี่ยวไป๋ตามหลินต้าเหว่ยไปที่สนาม และทั้งสองก็จุดบุหรี่และเดินพูดคุยกัน
“พ่อมีอะไรจะพูดกับผมหรือครับ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถาม
หลินต้าเหว่ยยิ้มและพูดว่า “ทำไมลูกถึงถามแบบนั้น ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมเห็นว่าพ่อไม่ให้พี่ใหญ่ตามมา”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “ที่จริงแล้วพ่อมีบางสิ่งที่อยากคุยกับลูก”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยความเคารพ “พ่อพูดมาเถอะครับ”
หลินต้าเหว่ยสูบบุหรี่และพ่นควันออกมาช้า ๆ หลังจากนั้น เขาก็พูดว่า “ตอนนี้ลูกยังขาดแคลนรถบรรทุกใหญ่อีกเป็นจำนวนมากเลยใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าพ่อตาจะถามเรื่องนี้
ตอนนี้เขาได้รับอนุมัติรถบรรทุกขนาดใหญ่เพียง 65 คันเท่านั้น รองนายกเทศมนตรีจางบอกว่ายังไม่สามารถอนุมัติเพิ่มได้ในปีนี้ และด้วยสภาพถนนในปัจจุบัน การจะวิ่งรถไปต่างเมืองหรือต่างมณฑลจะต้องใช้เวลาหลายวัน ถ้าต้องใช้รถบรรทุกคันใหญ่ 65 คันนี้วิ่งจัดซื้อและขนส่งสินค้าไปทั่วประเทศ มันไม่เพียงพออย่างแน่นอน
เขาจึงพยักหน้า
หลินต้าเหว่ยมองเขาอย่างเคร่งขรึม แล้วถามว่า “งั้นสัปดาห์หน้าลูกไปที่เจียงเฉิงกับพ่อเถอะ ! ”
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของเจียงเสี่ยวไป๋ก็หยุดลง เขามองไปที่พ่อตาด้วยความประหลาดใจและดีใจ พลางถามอย่างตื่นเต้นว่า “พ่อครับ พ่อกำลังจะบอกว่า……”
หลินต้าเหว่ยพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ อย่างที่ลูกคิดนั่นแหละ พ่อได้ขอให้คนรู้จักช่วยอนุมัติรถบรรทุกขนาดใหญ่รุ่น 140 อีก 50 คัน”
รถบรรทุกขนาดใหญ่รุ่น 140 อีก 50 คัน !
เซอร์ไพรส์นี้มาอย่างกะทันหันจนเจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกหน้ามืดเวียนหัวเล็กน้อย
แม้แต่รองนายกเทศมนตรีจางยังบอกว่าปีนี้เขาคงไม่สามารถอนุมัติรถบรรทุกขนาดใหญ่เพิ่มให้ได้ แต่ที่น่าประหลาดใจคือ พ่อตาของเขาสามารถหารถบรรทุกให้เขาเพิ่มได้อีก 50 คัน !
“พ่อครับ พ่อหารถได้อย่างไร ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถามอย่างตื่นเต้น
หลินต้าเหว่ยยิ้ม “ตระกูลหลินของเรากว้างขวางมากกว่าที่ลูกเห็น ปกติพ่อจะไม่ใช้ความสัมพันธ์เหล่านี้ แต่คราวนี้พ่ออยาก……ชดเชยให้ ! ”
“หลายปีก่อนทำให้ให้ลูกต้องได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นี่เกินความคาดหมายของเขามาก
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชีวิตชาติก่อน เมื่อเขากลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยและกลับไปหาพ่อตาในเจี้ยนหยาง ในเวลานั้น ครอบครัวของพ่อตาเขาได้ย้ายไปที่เจียงเฉิงแล้ว เหลือเพียงครอบครัวของพี่ชายคนโตหลินเจียเหวยที่ยังคงอยู่ในเจี้ยนหยาง
หลังจากนั้น เขาได้พบกับพ่อตาของเขาในเจียงเฉิง แต่เขาไม่ได้ถามว่าทำไมพวกเขาถึงย้ายไป
ตอนนี้คิดดูแล้ว เหตุผลที่พ่อตาของเขาย้ายไปเจียงเฉิง คงเป็นเพราะตระกูลของพ่อตาอยู่ที่นั่น
และดูเหมือนว่าตระกูลหลินจะมีอิทธิพลอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม รองนายกเทศมนตรีจางใช้เวลาหลายวันในเจียงเฉิง และใช้ความสัมพันธ์ทางการเมืองของเขารวบรวมรถบรรทุกขนาดใหญ่มาได้เพียง 60 คัน
แต่หลินต้าเหว่ยเพียงโทรไปสายเดียวก็ได้รถมา 50 คันแล้ว สิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีอิทธิพลมากพอ
“ขอบคุณครับพ่อ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณอย่างจริงใจ
หลินต้าเหว่ยโบกมือและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ พ่อหวังว่าลูกจะบริหารบริษัทโลจิสติกส์นั้นได้ดี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นการให้คำมั่น
หลังจากนั้น พ่อตาและลูกเขยไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้อีก ทั้งสองเดินย่อยไปด้วยและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย
“เสี่ยวเจียง มาเที่ยวหาพ่อตาอีกแล้วหรือ ! ”
ไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนบ้านชื่อเหล่าเฉินก็กลับมาพร้อมกระบุงใส่ฟักทองบนหลัง และทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่จงฮั๋วให้เขาแล้วถามว่า “ลุงเฉิน ทำไมถึงแบกฟักทองมามากมายขนาดนี้ล่ะครับ ? ”
ลุงเฉินหยิบบุหรี่ขึ้นมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฟักทองที่บ้านเกิดของฉันมีมากเกินไปน่ะ เรากินไม่หมด ก็เลยตั้งใจจะเอากลับบ้านมาทำซุปฟักทอง”
เจียงเสี่ยวไป๋นึกได้ทันทีว่านี่คือฤดูกาลเก็บเกี่ยวฟักทอง เขาจึงถามว่า “ลุงเฉิน ที่บ้านเกิดของลุงมีชาวบ้านหลายครัวเรือนปลูกฟักทองไว้เยอะจนเหลือกิน หรือมีแค่ที่บ้านของลุงคนเดียวล่ะ ? ”
ลุงเฉินตอบว่า “ที่ผ่านมาพอถึงช่วงขาดแคลนธัญพืช ชาวบ้านจะกินฟักทองเป็นอาหารหลัก ทุกครัวเรือนปลูกฟักทองกันเป็นจำนวนมาก”
“ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเริ่มมีพืชพันธุ์เพิ่มมากขึ้น แต่การปลูกฟักทองไม่ได้ใช้พื้นที่มากนัก ดังนั้นทุกครัวเรือนจึงยังคงปลูกไว้ไม่น้อย”
“เฮ้อ เสียเปล่าเลย”
ดวงตาของเจียงเสี่ยวไป๋เป็นประกาย เขาถามต่ออีกว่า “ลุงเฉิน ลุงช่วยบอกชาวบ้านในบ้านเกิดของคุณให้ขายฟักทองที่ไม่ต้องการทั้งหมดให้ผมในวันพรุ่งนี้ได้ไหม”
ลุงเฉินและหลินต้าเหว่ยต่างตกตะลึงทั้งคู่
“เสี่ยวเจียง……อยากซื้อฟักทองหรือ ? ” ลุงเฉินถามอย่างไม่เชื่อ
หลินต้าเหว่ยก็สงสัยเช่นกัน และถามว่า “ทำไมลูกถึงอยากซื้อฟักทองมากมายขนาดนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายว่า “ผมซื้อฟักทอง เพราะต้องการเมล็ดฟักทองครับ”
ทันใดนั้น หลินต้าเหว่ยก็เข้าใจในทันที “งั้นลูกก็ให้ชาวนาคว้านเมล็ดฟักทองออกมาขายให้ลูกโดยตรงเลยก็ได้นี่”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เมล็ดในฟักทองลูกหนึ่งมีไม่มากนัก ถ้าผมซื้อเมล็ดอย่างเดียว ชาวนาก็อาจจะไม่แน่ใจ แต่หลังจากที่ผมซื้อฟักทองแล้ว ถ้าชาวนายินดีช่วยคว้านเอาเมล็ดออกมาให้ ผมก็ยินดียกเนื้อฟักทองให้พวกเขาเอาไปเลี้ยงหมูได้”
ลุงเฉินตื่นเต้นมากที่ได้ยินสิ่งนี้ “ดีเลย ! พรุ่งนี้ลุงจะกลับไปบ้านเกิดแต่เช้าแล้วบอกชาวบ้าน ลุงเชื่อว่าพวกเขายินดีขายให้แน่นอน”
“ครับ ขอบคุณครับลุงเฉิน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดอย่างมีความสุขเช่นกัน
“ไม่ ไม่ ไม่ ลุงต่างหากที่ต้องขอบคุณแทนชาวบ้าน ถ้าเสี่ยวไป๋ไม่รับซื้อฟักทอง พอมันมีเยอะขึ้น ชาวบ้านก็มีแต่จะตัดไปโยนทิ้ง” ลุงเฉินขอบคุณเขาอย่างจริงใจ
หลังจากที่ลุงเฉินเดินผ่านไป หลินต้าเหว่ยก็ถอนหายใจและพูดว่า “เป็นอีกครั้งที่ลูกได้ทำความดีเพื่อเกษตรกร”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างด้วยรอยยิ้มว่า “มันก็แค่ธุรกิจน่ะครับ”
หลินต้าเหว่ยโบกมือแล้วกล่าวว่า “ธุรกิจมีหลายประเภท แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ธุรกิจที่เราอยากเห็นมากที่สุดคือธุรกิจที่สามารถเพิ่มรายได้ของเกษตรกร และเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรส่วนใหญ่”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า หากเป็นไปได้ เขายังหวังด้วยว่าในขณะที่ตัวเขาทำเงินได้ เขาจะช่วยยกระดับชีวิตของคนในชนบทได้ด้วย
จากสิ่งที่เขาทำ เช่น กุ้งเครย์ฟิช โรงงานผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเต้าหู้ โรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอ โรงงานผลิตเครื่องปรุงรส หรือโรงงานอาหารกระป๋องที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ล้วนสามารถช่วยส่งเสริมเกษตรกรและผู้คนในชนบทได้ทั้งสิ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมจำพวกโรงงานฟิล์มพลาสติก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเพื่อธุรกิจล้วน ๆ ไม่สามารถทำในจุดนี้ได้
หลินต้าเหว่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “บ้านเกิดของลุงเฉินอยู่ที่หมู่บ้านหยางซู่ แต่หมู่บ้านอื่นก็อาจมีฟักทองเยอะเหมือนกัน ลูกจะขยายเขตการรับซื้อไปที่หมู่บ้านอื่นด้วยไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจขาย ผมจะรับซื้อจากพวกเขาทั้งหมด”
หลินต้าเหว่ยพยักหน้าอย่างมีความสุขและพูดว่า “เรื่องนี้พ่อพอช่วยได้ ! ”