ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 31 :ทำไมคุณถึงมีเคล็ดลับมากมาย ?
ตอนที่ 31 :ทำไมคุณถึงมีเคล็ดลับมากมาย ?
“อะไรนะ ? ”
“แกบอกว่าอยากให้เราทุกคน มาช่วยแกตัดไม้ไผ่คืนนี้ และเหลาให้ด้วยงั้นหรือ?”
”ให้ไม้ละ 1 เฟินใช่ไหม?”
เมื่อเจียงไห่หยางกลับมาถึงบ้าน แล้วได้ยินสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดขึ้นมา เขาก็ถึงกับผงะไป
ลูกชายไม่เอาการเอางานคนนี้ คิดจะทำอะไรของมันในเวลานี้ ?
เมื่อวานก็ให้เงินเขา 1.7 หยวนเพื่อไปซื้อมันฝรั่งมาให้ตั้งหลายกระสอบ วันนี้ก็ยังมาจะมาวานให้ทุกคนไปช่วยกันตัดไม้ไผ่โดยให้ค่าจ้างอีกต่างหาก
จะเอาไปทำอะไรตั้งมากมายขนาดนั้น ?
เกิดว่าคน ๆ เดียวสามารถขุดรากถอนโคนได้แสนต้นล่ะ ?
แล้วแบบนี้เขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ้าง ?
“แกจะเอาไม้ไผ่ตั้งมากมายขนาดนั้นไปทำอะไร ถ้าขืนแกยังพูดทีเล่นทีจริงไม่ชัดเจนอยู่แบบนี้ เราก็ไม่รับทำ”
หวังซิ่วจวี๋มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ เธอถามออกมาด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องเล่าเรื่องที่เขาไปขายผัดมันฝรั่งในเมืองวันนี้ให้ทุกคนฟัง
ขายผัดมันฝรั่ง 1 วัน ได้เงินมามากกว่า 80 หยวน ?
เมื่อเจียงไห่หยางและคนอื่น ๆ ได้ฟังสิ่งนี้ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแบบนั้นจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ไม้ไผ่พวกนี้ ผมต้องเตรียมไว้เพื่อเอาไปเหลาเป็นไม่จิ้มมันฝรั่งลูกค้าจะได้ชิมได้ง่ายขึ้น”
“ดังนั้น หากว่ายังขายดีแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคตมันก็ต้องทำเยอะมาก ๆ ”
“ผมไม่ใช่แค่อยากจะขอให้ทุกคนช่วยกันเท่านั้น แต่อยากให้ไปหาคนที่ว่างงาน มาช่วยกันตัดไม้แล้วก็เหลา งานจะได้เร็วขึ้น”
“ได้ ในเมื่อแกต้องการให้พวกเราช่วยกันตัดไผ่และเหลาให้ด้วย พวกเราก็เต็มใจช่วยได้”
เจียงไห่หยางพยักหน้า ในเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋จะจ้างพวกเขาให้ทำไม้จิ้ม เพื่อลงทุนในธุรกิจของเขาอย่างจริงจัง หากลูกชายที่ไม่เอาการเอางานจะตั้งใจทำงานทั้งที เขาผู้เป็นพ่อจะปฏิเสธได้อย่างไร “แล้วแกอยากให้ฉันไปจ้างคนมาอีกกี่คน ให้ค่าแรงพวกเขาเท่าไหร่ ฉันจะได้ทำถูก”
”ถ้าเหลาไม้ ผมให้ 10 ไม้ต่อ 1 เฟิน”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดราคาออกมา
“ไม่เป็นไร แกจ้างพวกเราราคาเท่ากับพวกเขาก็ได้ ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น เราเองก็เป็นครอบครัวเดียวกัน หากเราได้ค่าจ้างเยอะกว่า เดี๋ยวคนอื่นจะนินทาเอาได้”
เจียงไห่หยางกล่าว
”มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”
เจียงเสี่ยวไป๋ค้านขึ้นมาทันที “ก็พ่อกับแม่ เป็นพ่อแม่ของผม ยังไงผมก็ต้องจ้างในราคาที่แพงกว่าคนอื่นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ใครจะว่าอะไรได้ ”
”ตามใจแกก็แล้วกัน”
เจียงไห่หยางโบกมือ และได้แต่กลืนคำที่จะเถียงลงไป
นี่เป็นวิธีที่เขาคิดมาดีแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจออกมา
เดิมที ที่เขาทำแบบนี้ ส่วนหนึ่งเพราะเขาต้องการเพิ่มรายได้ให้พ่อกับแม่ แต่พ่อแม่กลับอยากได้เงินน้อยเท่าคนอื่น ๆ เพียงเพราะกลัวชาวบ้านนินทา
เห้อ คิดไปก็เท่านั้น ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ
ไม่นาน เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าทุกคนเข้าใจงานที่เขาอธิบายออกไปหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็พูดว่า “คืนนี้ผมจะทำเกี๊ยว ทุกคนมากินเกี๊ยวที่บ้านผมนะ มาทานอาหารด้วยกัน”
”ไอ้หยา เราจะพลาดได้ยังไง”
พูดจบ เจียงไห่หยางก็โบกไม้โบกมือเรียกเจียงเสี่ยวเฟิงไปที่สวนหลังบ้านเพื่อตัดไม้ไผ่
การตัดไม้ไผ่นั้นไม่ยาก พวกเขาพกแค่เลื่อยมือไปก็พอ
เจียงไห่หยาง, หวังซิ่วจวี๋, เจียงเสี่ยวเฟิง, หลัวเจาตี้ และแม้แต่เจียงเสี่ยวเหลยก็สามารถทำได้สบาย ๆ
“พี่รอง ผมขอเบิกเงินค่าตัดไม้ไผ่ก่อนได้ไหม พอดีว่าผมต้องการเงินด่วน แล้วเดี๋ยวผมจะไปช่วยทุกคนตัด”
เจียงเสี่ยวเหลยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
เดิมที เจียงเสี่ยวไป๋ต้องการจะบอกน้องชายว่าไปตั้งใจอ่านหนังสือก่อนไหม ตัดไม้ไผ่ไม่ใช่หน้าที่ของเด็ก แต่เมื่อคิดถึงชะตากรรมในอนาคตของน้องห้า เขาจึงเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเขาว่า “ฉันจะจ่ายให้นายหนึ่งหยวน ห้ามไปบอกใครละ เพราะฉันจะให้นายคนเดียว”
เหตุผลที่น้องห้า เจียงเสี่ยวเหลย หลงผิดในภายหลัง เป็นเพราะเขานั้นเป็นเด็กห้าว แต่ที่สำคัญที่สุดคือเขาอยากมีอยากได้เหมือนคนอื่น ก็เพราะความยากจน
ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงคิดว่าเขาต้องปลูกฝังจิตสำนึกของเจียงเสี่ยวเหลยในการหาเงินเองเสียแต่ตอนนี้ เพื่อที่เรียนจบมา เขาจะได้สามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง
”จริงหรือ ? ”
ดวงตาของเจียงเสี่ยวเหลยเป็นประกาย เขาถามด้วยความตื่นเต้น
”จริงสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจัง “ถ้าอยากได้เงินเพิ่ม นายต้องมาเหลาไม้ไผ่ด้วย แต่หากเหลาไม่ดี ฉันก็ไม่ให้เงินนายเหมือนกัน ดังนั้นอันแรกที่เหลาต้องเอามาให้ฉันดูก่อนว่าผ่านไหม”
“ต้องตัดท่อนไม้ไผ่ให้ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร และหนา 1.5 มิลลิเมตร และจากนั้นก็ใช้มีด เหลาให้มันกลม และมีผิวเรียบ เอาเสี้ยนหนามออกให้หมด ไม่อย่างนั้นมันจะทิ่มมือลูกค้าเอาได้ และด้านล่างต้องเหลาให้แหลม เพื่อให้ลูกค้าจิ้มมันฝรั่งได้ง่ายขึ้น”
เจียงเสี่ยวเหลยได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “ผมเข้าใจตั้งแต่ครั้งแรกที่พี่พูดแล้วน่า”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ดี อย่างน้อยนายก็ความจำดี ถ้ากับการเรียน นายจำได้ดีแบบนี้ คงจะไม่มีปัญหาในการสอบเข้ามหา’ลัย”
เจียงเสี่ยวเหลยได้แต่หัวเราะเบา ๆ เขาหยิบเคียวแล้ววิ่งไปที่สวนไผ่
เขาขี้เกียจที่จะบอกพี่รองของเขาว่า แท้จริงแล้วเขาไม่อยากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แทนที่จะเอาเงินจำนวนมากเสียไปกับการจ่ายค่าเล่าเรียน สู้เอามากินเที่ยวยังจะดีเสียกว่า
“พี่รอง ฉันขอรับจ้างตัดไม้ไผ่ด้วยคนสิ” ในตอนนั้นเจียงเสี่ยวหยูก็วิ่งเข้ามา
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ต้องมาสนใจเรื่องแบบนี้เลยสาวน้อย เธอมีผลการเรียนดี พี่อยากให้เธอตั้งใจอ่านหนังสือให้มากขึ้น เพื่อที่เธอจะได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ในอนาคต”
“นอกจากนี้ เธอยังเด็ก ไม้ไผ่ทั้งลำนั้นเธอตัดไม่ไหวหรอก และมันก็คมมาก เดี๋ยวมันจะบาดมือเธอเอาได้”
“แต่ฉันก็อยากได้เงินค่าขนมเหมือนกับคนอื่นบ้าง” เจียงเสี่ยวหยูทำหน้ามุ่ย
เวรกรรม……
ตอนนี้เขาไม่มีเงินอยู่ในมือเลย ถ้าเขามี เขาก็คงให้เธอไปแล้ว
“เอาล่ะ งานแบบนี้ไม่เหมาะกับเธอหรอก เอาแบบนี้ก็แล้วกัน อีกสองวันฉันจะหาอย่างอื่นมาให้ทำ ซึ่งจะได้กำไรมากกว่ามานั่งเหลาไม้ไผ่พวกนี้อีก”
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดออกมาทันที
“ก็ได้ค่ะ พี่รอง พี่ต้องรักษาคำพูดนะ ”
“ได้สิ และหากว่าเธอสอบได้ที่หนึ่งในปลายภาคนี้ ฉันจะขอพี่สะใภ้ให้รางวัลเป็นธนบัตร 10 หยวน 10 ใบ เลยเป็นไง”
”จริงหรือพี่รอง ? ”
”อืม จริงสิ”
“ได้ ฉันจะตั้งใจอ่านหนังสือทุกวันเลย”
ผลการเรียนของเจียงเสี่ยวหยูนั้นดีอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเธอมักจะเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของห้องเรียนเสมอ ทันทีที่พี่รองบอกว่าเธอจะได้รางวัลเป็นธนบัตร 10 หยวน 10 ใบ ซึ่งเท่ากับ 100 หยวน หากว่าเธอสอบได้ที่ 1 เธอก็ดูจะตื่นเต้นมาก
รีบวิ่งไปอ่านหนังสือเพื่อเงิน 100 หยวนนี้ทันที
เมื่อคุยกับทุกคนเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปที่สวนผักเพื่อเก็บมะระ และต้นหอมอีก 1 กำมือกลับมาที่บ้าน เขานำหมูมาสับและหมักกับเครื่องปรุงที่มี เพื่อจะนำมาทำเป็นเกี๊ยวสำหรับมื้อค่ำในคืนนี้
และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางลืมผัดมันฝรั่งที่ภรรยาของเขาสั่งให้ทำ
ที่ผ่านมา พ่อกับแม่ของเขาไม่ค่อยได้กินเนื้อสักเท่าไหร่เพราะมันมีราคาที่ค่อนข้างแพง ดังนั้นคืนนี้เขาจึงจะทำอาหารที่มีแต่เนื้อเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็นหมูผัดเปรี้ยวหวานสไตล์กวางตุ้ง จากนั้นก็จะทำหมูตุ๋น ซุปกระดูกหมูใส่มะระ
และเมนูสุดท้ายก็คือ ‘ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น’ ที่มีกลิ่นหอม
ซึ่งเมนูสุดท้ายนี้ก็ซับซ้อนที่สุด แต่เมื่อนึกถึงกลิ่นที่หอมชวนหิวของมัน เจียงเสี่ยวไป๋จึงตัดสินใจที่จะแสดงมือของเขาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง
เขาเอาฟักเขียวมาหั่นเป็นเป็นชิ้น ๆ หมักด้วยเกลือ 20 นาที เทน้ำออก ใส่แป้งข้าวโพด แล้วตอกไข่ลงไป คนด้วยมือ เพื่อให้ไข่และแป้งเคลือบฟักเขียวให้ทั่ว แล้วใส่ลงไปในกระทะที่มีน้ำมัน ทอดไฟอ่อนจนสุกเหลืองทั้งสองด้าน จากนั้นก็ราดซอสสูตรลับเฉพาะและผงยี่หร่าที่บดเอง
ไม่นานเมนู ‘ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น’ ก็พร้อมเสิร์ฟ
ในขณะที่เขากำลังลงมือทำอาหาร หลินเจียอินก็กลับมาถึงบ้านพอดี
เห็นแบบนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ฟักเขียวเอามาทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ ?
หลินเจียอินรู้สึกว่าความรู้ความเข้าใจในการทำอาหารของเธอถูกทำลายลงตรงหน้า
มันคล้ายหมูสามชั้น แต่ไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นยังไง ?
เมื่อเห็นภรรยาสงสัย เจียงเสี่ยวไป๋ก็ป้อนให้เธอได้ลิ้มลอง
ไอ้หยา รสชาติมันดีกว่าที่คิด
“ทำไมคุณถึงรู้เคล็ดลับมากมายขนาดนี้”
คราวที่แล้วเขาใช้ฟักเขียวทำฟักเขียวน้ำแดง และคราวนี้เขาก็ใช้ฟักเขียวมาสไลด์แบบหมูสามชั้นเขามีเคล็ดลับมากมาย จนหลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะถามมันออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เพราะสามีของคุณยังมีดีอีกมากมายที่ไม่ได้บอกใคร”
”พู่ ! ”
หลินเจียอินตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็หน้าแดงก่ำราวกับก้อนเมฆสีแดงบนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก ด้วยความเขินอาย เธอจึงรีบหันหลังกลับและวิ่งออกจากห้องครัวไป
นี่เธอเขินหรือว่าโกรธเขากันแน่
เจียงเสี่ยวไป๋ดูประหลาดใจ เขารู้สึกว่าทัศนคติของภรรยาที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปมาก ความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี
วันพลิกผันคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
คิดได้แบบนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา จึงหันไปปรุงอาหารต่อไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในที่สุดอาหารค่ำแสนอร่อยก็พร้อม
หมูสามชั้นผัดเปรี้ยวหวาน 1 จาน , เนื้อผัดพริกหยวก 1จาน, หมูตุ๋น 1 จาน , ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น 1 ถ้วย , ซุปกระดูกใส่มะระหม้อใหญ่ 1 หม้อ , น้ำมันพริกสูตรพิเศษและเกี๊ยวหม้อใหญ่ไส้แน่น ๆ อีก 1 หม้อ
“เมียจ๋า ไปเรียกพ่อกับแม่ บอกให้พวกเขามากินข้าวเย็นด้วยกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ย้ายโต๊ะกินข้าวออกไปที่ลานข้างนอกบ้าน และนำอาหารทั้งหมดที่ทำไว้ไปวางที่โต๊ะ พลางพูดกับหลินเจียอิน
”ได้”
หลินเจียอินตอบรับและเดินเข้าไปที่บ้านของเจียงไห่หยาง