ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 32 :ถ้าไม่รังเกียจก็กินเถอะ
ตอนที่ 32 :ถ้าไม่รังเกียจก็กินเถอะ
เมื่อครอบครัวของเจียงไห่หนานมาถึงโต๊ะอาหาร ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างเมื่อเห็นบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยของกิน
โอ้ พระเจ้า
มีแต่เมนูเนื้อทั้งนั้นเลยหรือ
อาหารมื้อนี้ใช้เนื้อเยอะกว่าตอนที่พวกเขาฉลองตรุษจีนกันเสียอีก แค่หมูผัดเปรี้ยวหวานสไตล์กวางตุ้งจานใหญ่จานนี้ต้องใช้สามชั้นไปอย่างน้อยสองเส้น เพราะหั่นเป็นชิ้นหนามาก เคลือบน้ำมันเงางาม
นอกจากนี้ยังมี ‘ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น’ ที่เคลือบด้วยซอสข้น ๆ และโรยผงยี่หร่าที่บดเองหอม ๆ
เมื่อมีเนื้อสัตว์และผักมากมายหลากหลายเมนู อาหารมื้อนี้จึงดูน่ากินเป็นพิเศษ
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบ ‘เหล้าข้าวโพด’ ที่เขาซื้อมาก่อนหน้านี้ออกมา ยกรินให้เจียงไห่หนานและเจียงเสี่ยวเฟิงคนละแก้ว เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า จากนั้นคนในครอบครัวก็เริ่มรับประทานอาหารร่วมกันอย่างมีชีวิตชีวา
ทันทีที่พวกเขาคีบอาหารเข้าปาก ก็มีเสียงชื่นชมมากมายดังขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร
“ไอ้หยา นี่คือผัดมันฝรั่งที่แกบอกพวกเราว่าไปขายมาใช่ไหม มันอร่อยจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่มันจะขายดี”
”ไม่ใช่หมูสามชั้น แต่มีอะไรดีกว่าหมูสามชั้น”
”หมูผัดเปรี้ยวหวานชิ้นโต ๆ พอฉันกัดเข้าไปน้ำมันก็พุ่งออกมาเต็มปาก ทั้งนุ่มทั้งกลมกล่อม เจริญอาหารมาก ๆ ”
”เกี๊ยว คีบเกี๊ยวมาให้ฉันที ไส้แน่น ๆ แบบนี้ฉันชอบมาก ๆ ”
“หม่าม๊า หนูยังอยากกินผัดมันฝรั่งอยู่เลย”
“……”
ในระหว่างนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ เจียงไห่หนาน และเจียงเสี่ยวเฟิงก็ได้กิน ๆ ดื่ม ๆ พร้อมทั้งเอาบุหรี่จงฮั๋วที่เหลือครึ่งซองขึ้นมาสูบไปด้วย ทั้งสามพูดคุยกันอย่างสนิทสนม จนความสัมพันธ์ระหว่างสามพ่อลูกกลมเกลียวกันมากขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูได้กินอาหารที่อร่อยแบบนี้ จึงทำให้พวกเขาหยุดกินไม่ได้เลย
แม้แต่เจียงถิงที่พูดก่อนหน้านี้ว่า “ฉันจะไม่ไปกินอะไรที่บ้านของลุงนิสัยไม่ดีอีก” ก็กินจนอิ่มพุงป่อง
เมื่อเห็นทั้งครอบครัวรับประทานอาหารอย่างมีความสุข หลินเจียอินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขไปด้วย ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มเหมือนดอกท้อในสายลมฤดูใบไม้ผลิ
“เจียอิน คุณก็กินให้เยอะ ๆ ”
“อา ลุงเจียงก็อยู่ที่นี่ด้วย”
ในตอนที่ครอบครัวกำลังรับประทานอาหารกันอย่างคึกคัก จางชางหมิงซึ่งอาศัยอยู่ข้างบ้านของเจียงไห่โป ก็เดินเข้ามาที่ลานหน้าบ้าน และกล่าวทักทายทุกคน
ในขณะที่พูด ตาและจมูกของเขาถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมของอาหารบนโต๊ะตัวใหญ่
อาหารเยอะแยะขนาดนี้ฉลองอะไรกัน เนื่องในวันตรุษจีนหรือวันหยุดอย่างนั้นหรือ ?
อาหารมื้อดึกวันนี้ของบ้านเจียงเสี่ยวไป๋นั้นอุดมสมบูรณ์มาก แม้แต่งานเลี้ยงหรืองานแต่งงานที่จัดขึ้นโดยครอบครัวที่มีฐานะ ก็ไม่มีเนื้อสัตว์มากมายขนาดนี้ ?
จางชางหมิงเห็นอาหารบนโต๊ะ ก็ถึงกับกลืนน้ำลาย
”พี่ชางหมิง อยากกินอะไรไหม มานั่งก่อนสิ ถ้าไม่รังเกียจก็มากินด้วยกันก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋นั่งหันหลังให้เขาตลอด ดังนั้นจางชางหมิงจึงไม่เห็นว่าเขาอยู่ด้วย
เมื่อได้ยินเสียง เขาก็หันกลับไปเพื่อดูว่าใครเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นจางชางหมิง เขาจึงลุกขึ้นและทักทายอย่างสุภาพ
ตามชนบทนั้น เวลาที่กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่ เห็นใครเดินผ่านไปมาก็จะเรียกมากินข้าวด้วยกันเป็นธรรมดา
“กินเถอะ กินเถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันกินมาอิ่มแล้ว”
อาหารบนโต๊ะนั้นชวนให้หิวไม่น้อย แต่จางชางหมิงจะเอาความกล้าที่ไหนไปนั่งกินอาหารของคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลได้
“อย่าเกรงใจไปเลย หากว่ากินข้าวมาอิ่มแล้วก็มาชนแก้วกันสักหน่อยก็ยังดี มามา”
เจียงเสี่ยวไป๋ดึงจางชางหมิงให้มานั่งร่วมโต๊ะ มานั่งแทนที่ของเขา ก่อนจะใช้เจียงเสี่ยวเหลยให้ไปเอาเก้าอี้อีกตัวออกมาจากข้างในบ้าน หลินเจียอินที่เห็นแบบนั้นก็ไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบชามและตะเกียบมาเพิ่ม
ส่วนผู้ชายก็ส่งบุหรี่และเทเหล้าให้
“พี่ชางหมิง มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ? ”
หลังจากนั่งลงข้าง ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถามขึ้นมา
”ก่อนหน้านี้ฉันเห็นน้องเจียอินมาที่บ้านของลุงไห่โป และได้ยินมาว่าเธอรับซื้อมันฝรั่งจากไร่ของเขาทั้งหมด ฉันเลยจะมาถามว่ายังรับซื้อมันฝรั่งเพิ่มอีกหรือเปล่า” จางชางหมิงถามด้วยความระมัดระวัง
”ซื้อสิครับ กิโลกรัมละ 5 เฟิน พี่ชางหมิงหากมีอีกก็เอามาขายได้เลยนะ เอามาขายที่เจียอินและรับเงินที่เธอได้เลย”
”ก็ดี แต่ที่ฉันเก็บมายังมีไม่มากเท่าไหร่”
“ครับ พรุ่งนี้ก็เอามาขายได้ มากินข้าวก่อนเถอะ”
หลังจากเจรจากันไม่กี่คำ ข้อตกลงทางธุรกิจก็จบลง และทุกคนก็เริ่มกินและดื่มกันอีกครั้ง
ในตอนแรก จางชางหมิงยังพยายามยับยั้งชั่งใจตัวเองอยู่เล็กน้อยเพราะความเกรงใจ แต่หลังจากที่ดื่มไปแล้วสักพัก เขาก็ค่อย ๆ คีบนู้นเข้าปาก นี่เข้าปาก
ไม่อดใจไม่ไหวจริงๆ เพราะฝีมือทำอาหารของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นอร่อยมาก ราวกับผีจับมือทำ เขาจึงอดใจไม่ไหวที่จะคีบมันขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็กินอาหารจนอิ่ม
จางชางหมิงยังคงเรอออกมาไม่หยุดเมื่อกลับถึงบ้าน และเอาแต่พูดว่านี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกินมา
โดยเฉพาะผัดมันฝรั่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำนั้น มีรสชาติที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
หากลองเปรียบเทียบผัดมันฝรั่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำ กับที่ภรรยาของเขาทำให้ทานเมื่อไม่นานมานี้ ของภรรยานั้นรสชาติเหมือนกับอาหารหมู
ลี่ผิงได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาว่า “ไอ้แก่ บังอาจมากนะที่มาพูดแบบนี้ ดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วทำมาเป็นคุย ฉันดูแลแกมาตั้งหลายสิบปี มีลูกให้แกมาตั้งกี่คนแล้ว กล้าดียังไงมาบอกว่ากับข้าวที่ฉันทำรสชาติเหมือนอาหารหมู”
จางชางหมิงไม่กล้าแม้แต่จะปริปากหลังจากที่ถูกตำหนิออกมา
แต่เขายังคงไม่พอใจอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าผัดมันฝรั่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำนั้นอร่อยกว่าจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านของจางชางหมิง
คืนนี้มีคนมากินข้าวที่บ้านหลายคน เขาจึงทนไม่ได้ที่จะให้ภรรยาเป็นคนเก็บกวาดและล้างจาน เขาจึงรับทำแทนเธอทั้งหมด
หลังจากทำงานเสร็จ เขาก็มาทำซอสลับหม้อใหญ่ และหัวไชเท้าหั่นฝอยดองอีก 1 ไห
กว่าจะทำของพวกนี้เสร็จก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว
จากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปดูพ่อแม่ของเขา ก็เห็นว่าพวกเขากำลังนั่งเหลาไม้ไผ่กันอย่างขะมักเขม้นและก็ทำได้เยอะแล้ว เมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าพวกเขาเหลาไม้ไผ่ได้ไม่เลว ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “หวังว่าคืนนี้จะทำได้เยอะนะครับ พรุ่งนี้ผมต้องการสักห้าถึงหกร้อยไม้ ส่วนพรุ่งนี้ก็ทำต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี”
“ฉันรู้แล้วน่า แกก็รีบกลับไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องเข้าเมืองแต่เช้า”
หวังซิ่วจวี๋ไม่ลืมที่จะกล่าวเตือนลูกชาย
ลูกชายคนนี้ไม่ได้ออกไปเตร็ดเตร่เหมือนแต่ก่อน ดูเป็นการเป็นการขึ้น อีกอย่างผัดมันฝรั่งที่เขาขายก็อร่อย ทำเงินได้ดี เธอที่เป็นแม่ย่อมดีใจ แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ วันนี้เขาเหนื่อยมามากหลังจากที่ต้องเตรียมของต่าง ๆ
หลังจากกลับบ้าน เขาก็ไปอาบน้ำและเข้านอน
ก่อนรุ่งสางในวันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋ตื่นขึ้นแต่เข้า
วันนี้เขาต้องขนมันฝรั่งเข้าเมืองไปเยอะกว่าเดิม ทว่าจักรยานก็สามารถรับน้ำหนักได้จำกัด ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะเดินทางสองครั้ง
ในตัวเมืองอยู่ห่างจากที่นี่ออกไปกว่า 20 ไมล์ และต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับนานกว่าหนึ่งชั่วโมง
ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงแบกกระสอบมัน 2 กระสอบวางไว้บนเบาะจักรยานแล้วขี่เข้าไปในเมืองก่อน หลังจากกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว
“คุณไปในเมืองมาแล้วหรือ”
หลังจากที่หลินเจียอินลุกขึ้น เธอพบว่ามีมันเทศสองถุงที่บ้านหายไป และเห็นเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาด้วยเหงื่อที่ชุ่มตัว เธอจึงถาม
มันฝรั่งสี่กระสอบที่ซื้อจากเจียงไห่หยางมาวันก่อน เมื่อวานนี้เจียงเสี่ยวไป๋ก็ลากเข้าเมืองไป 2 กระสอบแล้ว จึงเหลืออยู่ที่บ้านอีกสองกระสอบ และเมื่อวานหลินเจียอินก็ซื้อจากเจียงไห่โบมาอีก 235 จิน พอเอาใส่กระสอบก็ได้อีก 3 กระสอบ
มันฝรั่ง 5 กระสอบถูกวางซ้อนกันอยู่ในบ้าน จึงสังเกตได้ไม่ยากว่ามันหายไป 2 กระสอบ
“เมื่อวานผมไม่พอขาย ดังนั้นวันนี้ผมต้องเอาไปเยอะกว่าเดิม” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียอินได้ฟังก็ผงะเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้ต่างจากเมื่อก่อนจริง ๆ เขาดูมีความมั่นใจในตัวเอง และสิ่งที่หายากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาทำงานหนัก ทำตัวดีกับเธอและชานชาน
ผู้ชายแบบนี้คือผู้ชายที่เธอต้องการมาตลอด
”เอาไปน้อยก็ขายได้เงินไม่มาก แต่มันก็ลำบากมากที่คุณต้องเข้าเมืองถึงสองครั้ง”
เมื่อหลินเจียอินพูดจบ เธอก็นำอ่างน้ำมาให้เจียงเสี่ยวไป๋ล้างหน้าล้างตา
”มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น”
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบอ่างล้างหน้าที่หลินเจียอินนำมาให้อย่างมีความสุข
ฮ่าฮ่า… ภรรยาของเขาบอกว่าเขาทำงานหนักและยังหาน้ำมาให้เขาล้างหน้าด้วย
เธอกำลังเป็นห่วงเขาอยู่ใช่ไหม
ในตอนนี้เขารู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาไม่น้อย และรู้สึกว่าไม่ว่าจะหนักหรือเหนื่อยแค่ไหน แต่มันก็คุ้มค่า