ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 341 :หลินต้ากั๋วกำลังมา
ตอนที่ 341 :หลินต้ากั๋วกำลังมา
การทำขนมเปี๊ยะฟักทองไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋สอนพวกเขาไปสองสามครั้ง เจียงเสี่ยวเฟิงก็เริ่มทำได้
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เราทำสองรสชาติ คือรสเค็มและรสหวาน เราจะทำอย่างละครึ่งก่อน จากนั้นจึงปรับสัดส่วนตามผลตอบรับของตลาด”
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “พี่ตัดสินใจได้เลยว่าจะทำเท่าไหร่ ผมมีหน้าที่แค่ทำเท่านั้น แต่ผมก็จะทำให้เต็มที่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ “หลังจากนี้นายก็ไปสอนคนงานต่อ ถ้าฉันทำบรรจุภัณฑ์เสร็จแล้ว นายก็เริ่มการผลิตได้ทันที”
“แต่เพราะความประมาทเลินเล่อของฉันเองแหละ ที่ลืมซื้อเครื่องบรรจุภัณฑ์สุญญากาศมา เดี๋ยวฉันจะรีบไปจัดการให้โดยเร็วที่สุด”
เจียงเสี่ยวเฟิงยิ้มและพูดว่า “พี่ ผมคิดว่าพี่เป็นคนที่รอบคอบมาตลอดเลย แต่ไม่คิดว่าพี่จะลืมแบบนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ฉันไม่ใช่พระเจ้า เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะลืมบางอย่างไปบ้าง เพราะฉันเองก็ต้องคิดหลายเรื่อง”
หลังจากหยุดพูดสักพัก เขาก็กล่าวว่า “อย่ากลัวการทำพลาด แต่ให้กลัวทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ลูกศิษย์คนโปรดของขงจื๊อชื่อเอี้ยนฮุย ขงจื๊อบอกว่าแค่เขาไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมซ้ำสองก็ถือเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก”
เจียงเสี่ยวเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “พี่ ผมเองก็จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สองในอนาคต ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันสักพัก ก่อนที่ทั้งสองจะขับรถออกจากโรงงานเมล็ดแตงโม ซึ่งจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือบ้านพ่อตาของเจียงเสี่ยวไป๋
คนหนึ่งกำลังจะกลับบ้าน ส่วนอีกคนกำลังไปรับลูกสาว
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋มาถึง หลินต้าเหว่ยก็กลับมาแล้ว หลังจากที่เจียงเสี่ยวเฟิงพาเจียงถิงกลับไป หลินต้าเหว่ยก็ถามเรื่องที่โรงงานว่า “หลี่ซิงฮวาบอกว่าลูกไปจ่ายค่าเครื่องจักรแล้วใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและอธิบายเหตุผล
หลินต้าเหว่ยเหลือบมองลูกเขยด้วยสายตาชื่นชม และพูดว่า “ลูกเป็นคนที่รอบคอบในเรื่องพวกนี้มากกว่าพ่อเสียอีก แบบนี้ก็ดี พ่อจะได้แนะนำลูกให้รู้จักกับพี่รองได้อย่างภูมิใจตอนเขามาถึง”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและไม่สนใจมากเกินไป เขาพูดว่า “พ่อ ไม่จำเป็น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่ควรเป็นเถอะครับ ! ”
เมื่อได้ยินเหตุผลของลูกเขย หลินต้าเหว่ยก็พอใจมากขึ้น เขาพูดอย่างมีความสุข “ลมที่ดีจะพาเราขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ด้วยความแข็งแกร่งของมันเอง บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องใช้ความสัมพันธ์หรือทรัพยากรอะไรทั้งนั้น”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า แน่นอนว่าเขาเข้าใจประโยคนี้ดี
อย่างไรก็ตาม เขายังรู้ด้วยว่าถ้าเขาไม่มีพละกำลังมากพอ แล้วฝืนเดินเข้าไปในลมพายุนั้น แม้ว่าเขาจะเข้าไปได้ แต่ลมนั้นก็จะหมุนวนเขาอยู่ตรงนั้นจนได้รับบาดเจ็บ
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีธุรกิจมากมาย แต่ทั้งหมดเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
เมื่อวิเคราะห์ดี ๆ แล้ว ความแข็งแกร่งของเขายังไม่เพียงพอ
นี่ไม่ใช่การดูหมิ่นตนเอง แต่เป็นการตระหนักรู้ในตนเองเพื่อไม่ให้ประมาทเลินเล่อเกินไป
บทสนทนาของพ่อตาและลูกเขยทำให้หลิวอี้ถิงและหลินเจียอินตกใจ สองแม่ลูกมองหน้ากันด้วยสายตาสับสน
“ต้าเหว่ย คุณบอกว่าพี่รองของคุณ… กำลังมางั้นหรือ ? ”
“พ่อ ลุงรองจะมาที่เจี้ยนหยางงั้นหรือ ? ”
สองแม่ลูกถามออกมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
หลินต้าเหว่ยเหลือบมองทั้งสองคน ก่อนจะพยักหน้า แล้วพูดว่า “วันนี้เขาโทรมาหาฉัน บอกว่าเขาจะมาที่นี่ในวันมะรืนนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ยังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนั้นถังเสี่ยวโจวขอให้เขานำข่าวนี้มาบอกแก่พ่อตาของเขาเท่านั้น นอกจากนี้เขายังขอตัวพ่อตาไปคุยกันเป็นการส่วนตัวข้างนอกเพื่อไม่ให้ใครรู้ แต่ใครจะไปคิดว่าพ่อตาของเขาจะบอกเรื่องนี้กับแม่ยายและหลินเจียอินหน้าตาเฉยแบบนี้
ถ้ารู้อย่างนี้ วันนั้นเขาคงไม่เรียกพ่อตาออกไปยืนตากแดดเพื่อคุยกันข้างนอกหรอก !
แต่เมื่อคิดเรื่องนี้ดี ๆ แล้ว หลินต้ากั๋วบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมญาติ ซึ่งหลิวอี้ถิงและหลินเจียอินต่างก็เป็นญาติของเขา สุดท้ายพวกเขาก็จะได้พบกันอยู่ดี
มันสมเหตุสมผลแล้วที่พ่อตาจะเอาเรื่องนี้มาบอกแม่ยายและหลินเจียอิน
หลังจากที่หลิวอี้ถิงรู้สึกตื่นเต้นได้พักหนึ่ง เธอก็พูดกับหลินต้าเหว่ยว่า “อย่างนี้ถ้าพี่รองกลับมาเจี้ยนหยาง เขาจะกลับมาที่บ้านไหม”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “ครั้งนี้เขามาแบบไม่เป็นทางการ เขาจะต้องมาที่บ้านอยู่แล้ว”
จู่ ๆ หลิวอี้ถิงก็เริ่มกังวลและพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และเตรียมของมาทำอาหารต้อนรับ”
หลินต้าเหว่ยพยักหน้าและบอกเธอว่าอย่ากดดันตัวเองเกินไป
แต่หลิวอี้ถิงจะไม่กดดันได้อย่างไร ?
เพราะเธอรู้ตัวตนของหลินต้ากั๋วดี และนี่ยังเป็นการกลับบ้านครั้งแรกในรอบหลายปีของเขา
หลินเจียอินแสดงท่าทางคิดถึงและบ่นออกมาว่า “ตอนที่หนูไปเจียงเฉิง ตอนนั้นหนูก็เจอลุงรองครั้งหนึ่ง ตอนที่เรียนอยู่มัธยมต้น ซึ่งมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ! ”
หลินต้าเหว่ยแอบคร่ำครวญในใจว่า เวลาทำให้คนเราแก่ขึ้นจริง ๆ ตอนนี้พี่รองของเขาคงจะอายุหกสิบกว่าแล้ว เพราะขนาดตัวเขาเองก็อายุเกือบหกสิบแล้วเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวก็คุยกันถึงการต้อนรับหลินต้ากั๋ว เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดขัดจังหวะพวกเขา แต่หันไปพูดคุยกับเจียงชานที่อยู่ด้านข้างแทน
ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ก็มักจะมีการแบ่งชั้นกัน
จู่ ๆ ในตอนนั้น หลินต้าเหว่ยก็กล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เมื่อลุงรองของอินอินมา ลูกก็โชว์ฝีมือทำอาหารเลยนะ ! ”
“อ่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“อ่าเอ่ออะไรกัน ? ” หลินต้าเหว่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เป็นโอกาสดีที่ลูกจะได้แสดงฝีมือการทำอาหาร”
เมื่อเห็นสามีตั้งใจจะให้ลูกเขยได้แสดงฝีมือ หลิวอี้ถิงเองก็ไม่คัดค้านและพูดว่า “ใช่แล้ว พี่รองจะต้องชอบอาหารที่เสี่ยวไป๋ทำอย่างแน่นอน”
หลินเจียอินเองก็เห็นด้วย หากสามีของเธอได้รับการสนับสนุนจากลุงรอง การพัฒนาอุตสาหกรรมของครอบครัวในอนาคตก็จะดีขึ้น
ทว่าในตอนนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะจำอะไรบางอย่างได้ และถามเจียงเสี่ยวไป๋ออกไปว่า “เมื่อวานที่คุณพาพ่อออกไปข้างนอก ก็เพื่อจะบอกพ่อว่าาลุงรองจะกลับมาใช่ไหม ? ”
หลังจากได้รับคำยืนยันจากเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว หลินเจียอินก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าผู้ชายคนนี้มีความสัมพันธ์กับลุงรองของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ทำไมเขาถึงรู้เรื่องสำคัญที่ว่าลุงรองจะกลับมาและเป็นคนมาบอกพ่อของเธอ ?
ผู้ชายคนนี้เก็บซ่อนอะไรที่ไม่บอกเธอไว้กี่อย่าง ?
ถ้าเจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าหลินเจียอินกำลังคิดอะไรอยู่ เขาคงจะร้องไห้ออกมาเพราะความอยุติธรรมอย่างแน่นอน
เขายังไม่ได้พบกับหลินต้ากั๋วเลยแม้แต่ครั้งเดียว !
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ไปที่โรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอ แต่เขาไปออกแบบคลังสินค้าและฐานการขนส่งของโรงงานในเจียงเฉิงในห้องทำงานของพ่อตา เมื่อเขาเหนื่อยก็มักจะหันไปมองต้นเอมเก่าแก่เพื่อสูบบุหรี่และคิดแผนระยะแรกของนิคมอุตสาหกรรมเจี้ยนหยาง
ตามความคิดของเขา สวนอุตสาหกรรมจะต้องแล้วเสร็จอย่างน้อยห้าเฟส โดยแต่ละเฟสคาดว่าจะใช้เวลาประมาณสามถึงห้าปี
แน่นอนว่าเฟสแรกต้องเร่ง เพราะเขามีแผนจะเริ่มเพียง 500 หมู่เท่านั้นในเฟสแรกนี้
นอกจากนี้ เขายังโทรหาเมิ่งเสี่ยวเป่ยเพื่อขอให้เธอทำบรรจุภัณฑ์ของขนมเปี๊ยะฟักทองออกมาสองรูปแบบ
ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ตั้งชื่อแบรนด์ของขนมเปี๊ยะฟักทองว่า ‘เค้กที่รัก’ หรือ ‘เค้กที่รักเหล่าหนานเหริน’ แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกชื่ ‘เค้กที่รัก ฮ่าวหนานเหริน’
“ฮ่าวหนานเหริน” เป็นคำพ้องเสียงเหมือนกับคำว่า “คนดี”
“หนาน” ในที่นี้หมายถึงฟักทอง
“เหริน” ยังหมายถึง “อาหารประเภทที่มีเปลือก” ตัวอย่างเช่น “เมล็ดถั่วลิสง, เมล็ดวอลนัทและอื่น ๆ เป็นต้น
ด้วยวิธีนี้ จากขนมเปี๊ยะฟักทองธรรมดา ๆ ก็สามารถนำมาทำเป็นขนมเปี๊ยะฟักทองที่มีไส้ต่าง ๆ และมีรสชาติแตกต่างกันได้
เขายังคิดสโลแกนโฆษณาไว้แล้วว่า:
“ฮ่าวหนานเหริน ของโปรดของภรรยาฉัน ! ”
“ขนมเค้กที่ดีจะต้องมีหลากหลายรสชาติที่ภรรยาของฉันต้องการ ! ”
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังคิดว่าขนมนี้สามารถนำไปแจกจ่ายในงานแต่งงานได้ด้วยไม่ใช่หรือ ?
เขาสามารถทำ “เค้กที่รัก ฮ่าวหนานเหริน” ให้เป็นของว่างพิเศษในงานแต่งงาน ซึ่งสามารถทดแทนขนมในงานแต่งงานได้
ท้ายที่สุดแล้ว ชื่อนี้ก็ยังหมายถึงคนทั้งสองกำลังจะแต่งงานกันด้วย
ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น และรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นี้จะต้องไปได้ดีแน่นอน
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นก็มาถึงในไม่ช้า
วันนี้เป็นวันที่ดี เพราะหลินต้ากั๋วจะมา