ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 344 :พบหลินต้ากั๋วเป็นครั้งแรก
ตอนที่ 344 :พบหลินต้ากั๋วเป็นครั้งแรก
“พี่รอง นี่คือเจียงเสี่ยวไป๋ สามีของอินอิน ! ” หลินต้าเหว่ยแนะนำ
แนะนำจบ เขาก็หันไปพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “นี่คือลุงรองของอินอิน เรียกเขาว่าลุงรองก็ได้ ! ”
“สวัสดีครับลุงรอง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ทักทาย
“อ่า ! ” หลินต้าเหว่ยพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวไป๋ทำอาหารเก่งจริง ๆ แม้แต่คนแก่อย่างฉันก็อดน้ำลายไหลไม่ได้เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ลุงรอง เชิญนั่งลงก่อนครับ แล้วลองชิมฝีมือผมดู ! ”
หลินต้ากั๋วเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋และนั่งลงตามที่เขาบอก แต่ในใจของเขาเขาค่อนข้างอยากรู้จักเจียงเสี่ยวไป๋คนนี้มาก
แม้ว่าเขาจะเป็นกันเองกับคนในครอบครัว แต่เขาก็อยู่ในตำแหน่งที่สูงมาเป็นเวลานาน มีความน่าเกรงขาม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นเขาแล้วจะทำตัวตามสบายโดยที่ไม่ตัวสั่นได้
แต่เขาไม่เห็นความกลัวนั้นจากเจียงเสี่ยวไป๋เลย
ด้วยการแสดงออกที่สงบและคำพูดที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองจนเกินไป ราวกับว่าเจียงเสี่ยวไป๋คนนี้ไม่รู้จักตัวตนของเขาและถือว่าเขาเป็นเพียงญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเท่านั้น
‘ชายหนุ่มคนนี้สงบเยือกเย็นมาก ! ’
หลินต้ากั๋วแอบยกย่องในใจ
ถังเสี่ยวโจวเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เขามองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ นี่คือผู้นำระดับสูงในมณฑลตอนกลางของประเทศจีนเชียวนะ ! คุณไม่รู้สึกหวั่นเกรงหรือประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเลยหรือ ?
หลินต้าเหว่ยพอใจกับการกระทำของเจียงเสี่ยวไป๋มาก
ตามที่เขาได้คาดหวังกับลูกเขยคนนี้ เขายังคงสงบสติอารมณ์ได้แม้ว่าจะเจอคนยศใหญ่อย่างพี่รองก็ตาม !
พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าเมื่อชาติก่อน เจียงเสี่ยวไป๋เคยจัดการกับคนระดับสูงหลายคนที่อยู่ระดับหลินต้ากั๋วมาแล้ว และเขายังมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ที่ยศสูงกว่าหลินต้ากั๋วในเวลานี้อีกด้วย
ดังนั้นจึงมีคนไม่มากที่สามารถทำให้เขายำเกรงด้วยความน่าเกรงขามที่มี
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
เหตุผลที่เจียงเสี่ยวไป๋สามารถสงบและเยือกเย็นได้ขนาดนี้ก็มาจากบทกวีของหลินกงที่ว่า:
ภูผาสูงตั้งตระหง่าน ไร้กิเลสยืนหยัดเที่ยงธรรม !
คนเราเป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ไม่มีความคาดหวังหรือความปรารถนาที่จะขอจากผู้อื่น ก็สามารถทำตามใจตนเองได้ แต่เมื่อเริ่มมีสิ่งที่อยากขอหรือปรารถนาสิ่งใดจากผู้อื่นแล้ว พวกเขามักลดตัวให้ต่ำลง และไม่อาจทำตัวให้เท่าเทียมกับผู้นั้นได้อีก
เช่นเดียวกับพวก ‘สุนัขเลียขา’ ที่หลายคนเป็น หากพวกเขาไม่โลภในสิ่งที่ผู้อื่นมี พวกเขาจะลดตัวลงและนำปัญหามาสู่ตัวเองทำไม
จากนั้น ทุกคนก็เริ่มเพลิดเพลินกับมื้ออาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าฝีมือการทำอาหารของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นอร่อยแค่ไหน
หลินต้ากั๋วและถังเสี่ยวโจวต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับความอร่อยของปากปลาหม้อไฟและกุ้งอบน้ำมันมาก
“กุ้งอบนี่มันอร่อยสมคำร่ำลือจริงด้วย ! ”
“ไม่แปลกใจเลยที่สามารถเปิดแฟรนไชส์ได้เป็นร้อยสาขาในชิงโจวภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น”
“ถ้าเราเอาแฟรนไชส์นี้ไปเปิดที่เจียงเฉิง เชื่อไหมว่ามันสามารถขยับขยายไปได้อีกหลายร้อยหลายพันสาขาเลยล่ะ ! ”
ถังเสี่ยวโจวมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และรู้สึกทึ่งอยู่ในใจไม่หยุด
ถังเสี่ยวโจวดื่มไปมาก แต่เขานั้นแทบไม่ได้ดื่มเลย
ตามคำพูดของเขา ส่วนมากคนที่ดื่มเหล้าจะเป็นคนหนุ่มสาว ในขณะที่ผู้สูงอายุทำเพียงแค่จิบเหล้าเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋เชื่อคำกล่าวนี้อย่างลึกซึ้ง
การดื่มและการจิบเป็นคำที่คล้ายกัน แต่ความหมายต่างกันสุดขั้ว
เนื่องจากหลินต้ากั๋วดื่มช้า ทุกคนจึงค่อย ๆ กินกันไปคุยกันไป จึงทำให้ใช้เวลาไปกับอาหารมื้อนี้ค่อนข้างนาน กว่าจะกินเสร็จก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว อาหารมื้อนี้กินเวลานานกว่าสี่ชั่วโมงเลยทีเดียว
“เสี่ยวเหว่ย ไปเดินเล่นในสวนกันเถอะ ! ”
หลินต้ากั๋วกล่าวหลังจากลุกจากโต๊ะอาหาร
“ครับพี่ ! ”
หลินต้าเหว่ยตอบตกลงทันที
เจียงเสี่ยวไป๋ที่กำลังจะเก็บจานและตะเกียบ แต่หลินต้ากั๋วก็หันมามองเขาและเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวไป๋ มาเดินเล่นกับฉันด้วยสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋สะดุ้งเล็กน้อย “ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ! ”
เขาวางชามและตะเกียบลงในมือลง แล้วเดินตามทั้งสองออกไปนอกบ้าน
ค่ำคืนของเดือนกันยายนที่เจี้ยนหยางนั้นอากาศเย็นกว่าเดือนสิงหาคมมาก ดวงดาวส่องแสงบนท้องฟ้าระยิบระยับยามค่ำคืน เห็นพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน มีลมพัดเบา ๆ กิ่งก้านและใบของต้นเอมเก่าแกว่งไกวไปมา มีเสียงจิ้งหรีดร้องอยู่บนยอดหญ้า
“ค่ำคืนที่นี่ยังคงเหมือนเดิม ! ”
หลินต้ากั๋วเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวและพูดด้วยอารมณ์คิดถึงวันเก่า ๆ ที่บ้านเกิด
หลินต้าเหว่ยยิ้มแล้วพูดว่า “บางทีผมอาจคุ้นเคยกับมันจนไม่รู้สึกอะไรเลย”
พวกเขาทั้งสามเดินอยู่ใต้ต้นเอมเก่าแก่ หลินต้าเหว่ยยื่นมือออกมาหาเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงเสี่ยวไป๋รู้งานรีบยื่นบุหรี่ให้ทั้งสอง แล้วจุดบุหรี่ให้พวกเขาด้วย
แล้วสุดท้ายถึงจุดบุหรี่ให้ตัวเอง
พวกเขาทั้งสามสูบบุหรี่และคุยกัน แม้ว่าหลินต้ากั๋วต้องการจะมาเห็นโรงงานของเจียงเสี่ยวไป๋ แต่เขากลับไม่เคยถามเจียงเสี่ยวไป๋เกี่ยวกับเรื่องโรงงานเลย
ถ้าเขาไม่พูดถึงมัน เจียงเสี่ยวไป๋ก็จะไม่พูดถึงมันเช่นกัน
ส่วนใหญ่พวกเขาทั้งสามพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งก็เป็นการสนทนาทั่วไป
แต่นี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับทั้งหลินต้ากั๋วและหลินต้าเหว่ย
ด้วยตำแหน่งของทั้งคู่ ทำให้พวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสพูดคุยกันมาหลายสิบปี
เจียงเสี่ยวไป๋พูดน้อยมาก บางครั้งก็พูดแค่สองสามคำเท่านั้น
แต่ทุกครั้งที่เขาพูด หลินต้ากั๋วก็มักจะประหลาดใจทุกครั้ง เพราะคำพูดคำจาของเจียงเสี่ยวไป๋ และความเข้าใจในชีวิตไม่สอดคล้องกับอายุของเขาเอาเสียเลย หลินต้ากั๋วกลับมองว่าชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่มาเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี และมีประสบการณ์มากกว่าเขาเสียอีก
เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจเจียงเสี่ยวไป๋มากขึ้นเรื่อย ๆ
“เสี่ยวไป๋ บอกฉันเกี่ยวกับประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการของเธอหน่อยสิ”
แม้ว่าเขาจะได้ยินรายงานจากถังเสี่ยวโจวมาแล้วและรู้มาอย่างคร่าวๆ บ้างแล้ว แต่หลังจากพบกับเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็อยากที่จะได้ยินมันอีกครั้งจากปากเจ้าตัว
การฟังจากเจ้าตัวย่อมแตกต่างจากการได้ยินที่ผู้อื่นรายงาน
เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มเล่าจากธุรกิจข้างทางอย่างผัดมันฝรั่ง เขาบอกความจริงทั้งหมดออกมา ไม่มีการปกปิดหรือพูดเกินจริงแม้แต่น้อย
หลินต้ากั๋วรับฟังอย่างตั้งใจและตั้งข้อสงสัยเป็นครั้งคราว
จนกระทั่งเจียงเสี่ยวไป๋พูดเกี่ยวกับนิคมอุตสาหกรรมเจี้ยนหยาง ที่เขาคิดจะเลียนแบบแนวคิดของร็อคกี้เฟลเลอร์ เหมือนการปลูกต้นอู๋ถงดึงดูดนกหงส์ ในที่สุด หลินต้ากั๋วก็เข้าใจจุดประสงค์ของเจียงเสี่ยวไป๋อย่างแจ่มแจ้ง
“ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความรู้ของเธอจะแน่นขนาดนี้ เธอรู้แม้กระทั่งเรื่องราวการทำธุรกิจของต่างประเทศด้วยซ้ำ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ปกติแล้วผมชอบอ่านหนังสือ”
หลินต้ากั๋วมองเขาอย่างลึกซึ้ง “แต่หนังสือพวกนี้ไม่ง่ายที่จะหามาอ่าน”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าเหตุผลนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล เขายิ้มและพูดว่า “”แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตราบใดที่เรามีความตั้งใจ ก็ยังเป็นไปได้ครับ”
หลินต้ากั๋วไม่ได้พูดต่อในหัวข้อนี้ และได้แต่ถอนหายใจ “คนหนุ่มสาวทุกวันนี้กล้าคิดและทำมากกว่าพวกเราเสียอีก ! ”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินต้าเหว่ยได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋อธิบายแผนของนิคมอุตสาหกรรมเจี้ยนหยางอย่างละเอียด เขาประหลาดใจและมีความสุขมาก จึงได้ถามไปว่า “ลูกทำแผนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ทำไมพ่อไม่เคยได้ยินลูกพูดถึงมันเลย ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เพิ่งคิดเมื่อวานนี้เองครับ ! ”
จากนั้น เขาก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ยินเจียงถิงพูด
หลินต้ากั๋วและหลินต้าเหว่ยต่างมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะวางแผนธุรกิจขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ เพราะเจียงถิงไม่ต้องการแยกจากพ่อแม่ของเธอ !
เขาจะต้องใส่ใจความรู้สึกของหลานสาวคนนี้แค่ไหน ถึงจะทำแบบนี้ได้ ?
หลินต้ากั๋วจำการกระทำของเจียงเสี่ยวไป๋ที่เก็บจานและตะเกียบหลังมื้ออาหารเย็นเสร็จได้ ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ปกติเวลาที่เธอทำอาหารแล้ว เธอยังเก็บจานและล้างจานที่บ้านด้วยหรือเปล่า ? ”
ก่อนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะได้ตอบ หลินต้าเหว่ยก็ยิ้มและพูดว่า “ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าเขาทำเรื่องพวกนี้เป็นปกติอยู่แล้ว”
เป็นธรรมดาที่หลินต้ากั๋วเชื่อคำพูดของหลินต้าเหว่ย
เขามองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และพูดด้วยความสนใจ “สุภาษิตบอกว่า สุภาพบุรุษควรอยู่ให้ห่างจากห้องครัว แต่ทำไมเธอถึงชอบมันล่ะ ? ”