ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 351 :วันนี้แปลก ไม่เห็นได้กลิ่นหอมของอาหาร
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 351 :วันนี้แปลก ไม่เห็นได้กลิ่นหอมของอาหาร
ตอนที่ 351 :วันนี้แปลก ไม่เห็นได้กลิ่นหอมของอาหาร
หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงไห่หยาง รองนายกเทศมนตรีจางก็รู้สึกราวกับว่าสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดในเดือนมีนาคมช่างสดชื่นจริง ๆ
ฮ่าฮ่า เจียงเสี่ยวไป๋มีพ่อที่ดีจริง ๆ !
เมื่อเขาพูดมาแบบนี้ ฉันก็พอจะมีหน้ามีตาต่อผู้นำระดับสูงบ้าง !
เพราะเจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนมาขอตั๋วซื้อโทรทัศน์ 100 ใบจากเขา โชคดีที่เขาให้ตั๋วเหล่านั้นกับเจียงเสี่ยวไป๋ไป
อืม, เห็นทีว่ากลับไปคราวนี้ เขาต้องไปหาตั๋วตู้เย็น ตั๋วจักรยาน ตั๋วเครื่องซักผ้า ตั๋วอะไรก็ได้ที่หาได้ มาให้เขาเพิ่มเสียแล้ว
เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดจริง ๆ
รองนายกเทศมนตรีจางมีความสุขมาก หลินต้ากั๋วจับมือของเจียงไห่หยางแล้วเดินเข้าประตูไป เขาสอบถามรายละเอียดชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในเจียงวาน ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงมีเงินกันแบบนี้ ?
การที่คนในเจียงวานร่ำรวยมาก ประการแรก เป็นเพราะพวกเขาจับกุ้งเครย์ฟิชมาขาย ประการที่สอง หลายคนทำงานในร้านค้าหรือโรงงานของเจียงเสี่ยวไป๋ ซึ่งได้รับค่าจ้างที่สูงกว่าที่อื่น
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลินต้ากั๋ว แต่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของเจียงไห่หยาง ดังนั้นเขาจึงบอกเล่าให้หลินต้ากั๋วรู้ทุกรายละเอียด
หลินต้ากั๋วรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋สามารถผลักดันชาวบ้านทั้งหมดให้มีฐานะที่ดีขึ้นได้ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว
รองนายกเทศมนตรีจางยังกล่าวเสริมอีกว่า “ผู้นำ โรงงานผลิตเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันของเจียงเสี่ยวไป๋ต้องการรับซื้อพริกไทย กระเทียม ขิง พริก โป๊ยกั้ก อบเชย และเครื่องเทศอื่น ๆ ในปริมาณมาก เมืองของเราจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เกษตรกรในเมืองหันมาปลูกสมุนไพรเครื่องเทศเหล่านี้ เพื่อที่ในอนาคต เมื่อโรงงานเครื่องปรุงรสขยับขยายกิจการ เกษตรกรทั่วเมืองก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น”
“นอกจากนี้ โรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองยังต้องการถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ฯลฯ จำนวนมาก ทางเราจึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชผลที่เกี่ยวข้องด้วย”
“โรงงานทั้งสองแห่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างงานให้กับคนหลายพันคนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย”
หลินต้าเหว่ยยังกล่าวอีกว่า “โรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอก็เช่นกัน เมืองเจี้ยนหยางกำลังเริ่มมีการอบรมเกษตรกรให้หันมาปลูกแตงโม ดอกทานตะวัน ถั่วลิสง ฟักทอง และอื่น ๆ อีกด้วย”
“แค่นั้นยังไม่พอ เจียงเสี่ยวไป๋ยังจะสร้างโรงงานอาหารบรรจุกระป๋องด้วย หลังจากสร้างโรงงานเสร็จ ก็จะมีการรับซื้อผลไม้จากเกษตรกร ในตอนนั้น ลูกพีช กีวี่ ลูกแพร์ที่เกษตรกรปลูกคงไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออกแล้ว”
เมื่อรองนายกเทศมนตรีจางได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตกตะลึง เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะวางแผนสร้างโรงงานอาหารบรรจุกระป๋องในเจี้ยนหยาง มันทำให้เขารู้สึกอิจฉาและมีความสุขในเวลาเดียวกัน “ท้ายที่สุด เจี้ยนหยางก็เป็นแค่อำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่ง ผลไม้ที่เก็บเกี่ยวได้อาจไม่เพียงพอสำหรับโรงงานอาหารบรรจุกระป๋อง เมืองของเราก็ยินดีจะส่งเสริมการปลูกไม้ผลทั่วทั้งเมืองเหมือนกัน”
นี่เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรในเมือง !
แน่นอนว่าเขาต้องคว้าโอกาสนี้ให้ได้
หลินต้าเหว่ยยิ้ม “รองนายกเทศมนตรีจาง นั่นยังไม่หมด ! โรงงานกระป๋องไม่เพียงแต่ผลิตผลไม้กระป๋องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเนื้อกระป๋อง ไก่กระป๋อง ปลากระป๋องอีกด้วย ในอนาคตเมืองชิงโจวยังมีโอกาสที่จะพัฒนาเกษตรกรรมทั้งกสิกรรม ปศุสัตว์ ประมง และป่าไม้ได้อย่างเต็มที่”
ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นอยู่พักหนึ่งในขณะที่พูดคุยกัน และแม้แต่หลินต้ากั๋วก็ดูเหมือนจะรอเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สั่นสะเทือนโลกของชิงโจวในอนาคตอันใกล้นี้
หากแรงผลักดันนี้ยังคงอยู่ ชิงโจวจะพัฒนาจากเมืองที่ล้าหลังและห่างไกลมาเป็นเมืองใหญ่ที่มั่งคั่งในเวลาเพียงไม่กี่ปี
ซึ่งสิ่งนี้ริเริ่มมาจากเจียงเสี่ยวไป๋เพียงคนเดียว
พลังของคนคนหนึ่ง ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !
หลินต้ากั๋วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าทุกเรื่องที่เขาคิดจะปิดบังหลินต้ากั๋วได้ถูกพ่อของเขา พ่อตา และรองนายกเทศมนตรีจางเปิดเผยออกมาจนหมดเปลือกแล้ว เพราะในขณะนี้ เขากำลังมุ่งความสนใจไปที่การทำอาหาร
และทุกครั้งที่เขาปรุงอาหาร มักจะมีกลิ่นหอมลอยออกมาเสมอ
ทว่าวันนี้เห็นเขายุ่งอยู่ในครัวมานานกว่าสองชั่วโมงแล้ว แต่ไม่มีกลิ่นอะไรลอยออกมาเลย ซึ่งทำให้ หลินเจียอินรู้สึกประหลาดใจมาก
“วันนี้เขาทำอาหารอะไร ? ”
“ไม่มีกลิ่นหอมลอยออกมาเลย ! ”
“แปลก ขอเดินเข้าไปดูหน่อยสิ ! ”
หลินเจียอินเดินไปในห้องครัวด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะเห็นว่าที่ห้องครัว บนเตามีการตั้งหม้อใบใหญ่ไว้ซึ่งปิดฝาอยู่ มีไอน้ำลอยออกมาจากรูที่ฝาหม้อ พอเข้าไปใกล้ ๆ จะได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์
เมื่อมองดูโต๊ะในห้องครัว ก็เต็มไปด้วยจานที่วางเนื้อสัตว์และผักเอาไว้ เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อสันนอก สามชั้น ไส้เป็ด กึ๋น เซี้ยงจี้ ตับหมู ผ้าขี้ริ้ว หัวปลา สมองหมู เต้าหู้ เลือดเป็ด ถั่วงอก เห็ดเข็มทอง แตงกวา ผักกาดกวางตุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง วุ้นเส้น……
มองดูด้วยตาเปล่า ก็พอจะกะคร่าว ๆ ว่ามีวัตถุดิบประมาณ 30-40 ชนิด
นอกจากนี้ เนื้อวัวและเนื้อแกะยังถูกสไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ แล้ววางซ้อนทับกันอย่างสวยงาม เนื้อสันนอกก็ถูกหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ หมักด้วยเครื่องปรุงรส
ข้างกันมีหม้อขนาดเล็กหลายใบที่ใส่กระเทียมสับ ขิงสับ ต้นหอมสับ ผักชี พริกไทยลูกเดือยสับ ถั่วลิสงสับ และน้ำจิ้มสูตรลับที่เจียงเสี่ยวไป๋ได้ทำเตรียมไว้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ยังดิบ
เนื่องจากมีคนจำนวนมาก รายการหนึ่งจึงมีการเสิร์ฟหลายจาน มีจานที่ใส่เนื้อวัวและเนื้อแกะสไลด์หลายสิบจาน
“คุณมัวเตรียมของเลยยังไม่ได้เริ่มทำอาหารหรือ ? ”
หลินเจียอินไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ก้มหน้าเตรียมของ เมื่อเขาได้ยินเสียงของหลินเจียอิน เขาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เธอและพูดว่า “วันนี้ผมจะไม่ทำอาหาร เพราะเราจะกินหม้อไฟกัน ! ”
“กิน……หม้อไฟ ? ”
หลินเจียอินสับสนเล็กน้อย เวลาจะกินหม้อไฟ ต้องมีวัตถุดิบหลักด้วย อย่าบอกนะว่าวัตถุดิบมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะพวกนี้เป็นแค่ของที่กินกับหม้อไฟเท่านั้น เหมือนกะหล่ำปลีในคากิตุ๋นหม้อไฟใช่ไหม ?
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและกล่าวว่า “หม้อไฟที่ผมพูดถึงนั้นแตกต่างจากหม้อไฟทั่วไปที่เรามี วันนี้เราจะมาเพลิดเพลินกับ ‘หม้อไฟเสฉวน [1]’ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในภูมิภาคเสฉวน และในเทียนจิงยังนำเนื้อแกะมาทำหม้อไฟนี้อีกด้วย ! ”
หลินเจียอินไม่เคยได้ยินชื่อ “หม้อไฟเสฉวน” มาก่อน เธอจึงถามไปว่า “แล้วคุณตุ๋นอะไรในหม้อ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เคี่ยวซุปน่ะ ซุปหม้อไฟจะมีรสชาติดีขึ้นเรื่อย ๆ เวลาเคี่ยวนานขึ้น ปล่อยให้มันเคี่ยวสักพัก ผมจะเตรียมวัตถุดิบอีกสองสามจาน คุณไปรอข้างนอกเถอะ”
“อ้อ ! ”
หลินเจียอินพยักหน้ารับ พร้อมทั้งดูจานต่าง ๆ มากมาย และสงสัยว่าพวกเขาจะกินกันหมดหรือ ?
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เมียจ๋า ช่วยไปบอกให้พ่อย้ายโต๊ะใหญ่สี่ตัวไปที่สวนหลังบ้านเอามาต่อกันเราจะไปนั่งกินหม้อไฟที่สวนหลังบ้าน ถ้าเรากินข้างในบ้าน กลิ่นมันจะแรงเกินไป ! ”
หลินเจียอินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ขนาดเธออยู่ในครัวยังไม่ได้กลิ่นอะไรเลย กลิ่นจะแรงได้อย่างไร ?
เมื่อเห็นว่าภรรยาของเขาไม่เชื่อ เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “ตอนนี้ผมปิดฝาหม้ออยู่ คุณจะได้กลิ่นของซุปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อนำหม้อออกไปข้างนอก กลิ่นของมันอาจจะลอยไปถึงบ้านหลังเก่าเลยก็ได้”
หลินเจียอินเม้มริมฝีปาก เธอไม่เชื่อ ขนาดกลิ่นของกุ้งอบน้ำมันก็ยังไม่ลอยไปไกลขนาดนั้นเลย
งั้นก็แสดงว่าหม้อไฟต้องมีกลิ่นหอมมาก
คิดได้แบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะตั้งตารอ
“ได้ ฉันจะไปบอกพ่อตอนนี้แหละ มีอะไรอยากให้ฉันทำอีกไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว “ไม่จำเป็น ผมเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว”
อันที่จริง เจียงเสี่ยวไป๋มีความคิดที่จะเปิดร้านหม้อไฟมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสั่งทำหม้อไฟสแตนเลสแบบเก่าขึ้นมาห้าใบโดยเฉพาะ ซึ่งฐานข้างล่างมีไว้ใส่ถ่าน ข้างบนเป็นกระทะทองแดงมีปล่องอยู่ตรงกลาง
เพียงแต่เขายังไม่เคยนำหม้อไฟพวกนี้ออกมาใช้สักครั้ง และเก็บไว้ในห้องเก็บของมาโดยตลอด ซึ่งก่อนจะเตรียมของ เขาต้องไปเอาออกมาทำความสะอาดก่อน
สำหรับถ่าน ก่อนที่เจียงไห่หยางจะย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ เขาได้เอาถ่านที่เผาเมื่อ 2 ปีที่แล้วเก็บใส่กระสอบใบใหญ่มาด้วยสองใบ
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง เจียงเสี่ยวไป๋ก็เปิดฝาหม้อ ทำให้กลิ่นหอมเข้มข้นของน้ำซุบหม้อไฟลอยออกมา
[1] 涮火锅 หม้อไฟเสฉวน เป็นหม้อไฟประเภทหนึ่งที่จุ่มเนื้อสัตว์ ผัก และส่วนผสมอื่น ๆ ที่หั่นบาง ๆ ลงในน้ำซุปที่เดือด เป็นเมนูอาหารยอดนิยมในเสฉวนและฉงชิ่ง คำว่า 涮 (Shuàn) หมายถึงการจุ่มหรือจุ่มส่วนผสมในน้ำซุปร้อนเป็นเวลาสั้น ๆ จนกระทั่งสุกถึงระดับความสุกที่ต้องการ