ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 353 :แย่งโครงการ
ตอนที่ 353 :แย่งโครงการ
ผู้ใหญ่สนุกสนานกับมื้ออาหาร เด็ก ๆ สนุกกับการกิน
เนื่องจากว่าเธอตั้งท้องลูกคนที่สอง หลินเจียอินจึงแพ้ท้องจนเริ่มเบื่ออาหารมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเธอได้มากินหม้อไฟ เธอก็ใช้ตะเกียบคีบนู่นคีบนี่กินไม่หยุด
“หม้อไฟนี้อร่อยจริง ๆ กินได้ไม่เบื่อเลย ! ”
เธออดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมา
หลิวอี้ถิงพูดว่า “ลูกกำลังท้องกำลังไส้ แต่ยังกินอาหารรสจัดขนาดนี้ ลูกทนได้อย่างไร ? ”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ ไม่เป็นไร ! ” หลินเจียอินพูดขณะลวกเนื้อแกะไปด้วย “ตอนนี้หนูกินอาหารรสเผ็ดได้แล้ว ในอนาคต ลูกของหนูจะได้กินอาหารรสเผ็ดได้ ! ”
หลิวอี้ถิงยิ้มกว้าง นี่ลูกสาวของเธอใช้ตรรกะอะไรหนอ ?
ทว่าหวังซิ่วจวี๋กลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ‘กินเปรี้ยวได้ลูกชาย ! กินเผ็ดได้ลูกสาว ! ’ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ ลูกสะใภ้ของเธอก็ชอบกินอาหารรสจัดมาตลอด แบบนี้ลูกในท้องของเธอต้องเป็นลูกสาวแน่ ๆ !
แต่เธออยากได้หลานชาย !
เมื่อนึกถึงวันที่หลินเจียอินเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งท้องลูกคนที่สอง ก็สังเกตได้ว่าลูกสะใภ้ของเธอชอบกินหัวไชเท้าหั่นฝอยดองเป็นพิเศษ
เห็นได้ชัดว่าเธอชอบกินอาหารรสเปรี้ยวมาก่อน ทำไมจู่ ๆ วันนี้ถึงชอบกินอาหารรสเผ็ดล่ะ ?
ยิ่งหวังซิ่วจวี๋คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งหดหู่มากขึ้นเท่านั้น จู่ ๆ หม้อไฟที่เธอคิดว่าอร่อยก็ไม่อร่อยขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีแขกจำนวนมากมาที่บ้านและมีผู้นำคนสำคัญยังอยู่ที่นี่อีกหลายคน เธอจึงไม่สามารถถามหลินเจียอินออกมาตามตรงได้ เธอทำได้เพียงตัดสินใจอย่างลับ ๆ และจะลองทำอาหารรสเปรี้ยวในวันพรุ่งนี้ เพื่อดูว่าลูกสะใภ้ของเธอจะชอบไหม ?
ทางด้านเจียงเสี่ยวไป๋ เขากินหม้อไฟกับหลินต้ากั๋วและอธิบายวัฒนธรรมการกินหม้อไฟให้หลินต้ากั๋วฟัง
“วัตถุดิบมีความสำคัญมาก เมื่อกินหม้อไฟเสฉวน วัตถุดิบที่ขาดไม่ได้ ได้แก่ ผ้าขี้ริ้ว ไส้เป็ด เห็ดออรินกิและถั่วงอก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องกินคู่กัน ! ”
“ซึ่งหม้อไฟที่ผมทำวันนี้เป็นน้ำซุปแบบต้นตำรับ ที่เป็นซุปสีแดงและซุปน้ำใสที่ไม่เผ็ด”
“ยังมีหม้อไฟประเภทหนึ่งที่เรียกว่าหม้อไฟหยวนหยาง หม้อขนาดใหญ่ด้านนอกใช้ต้มซุปแดงรสเผ็ด และหม้อเล็กด้านในใช้ต้มซุปใส ซึ่งสามารถตอบสนองผู้ที่ไม่ชอบอาหารรสเผ็ดและผู้ที่กินอาหารเผ็ดให้นั่งกินด้วยกันได้”
“แน่นอนว่าผมชอบอาหารรสเผ็ด การรับประกินหม้อไฟในฤดูร้อนสบายกว่าการกินหม้อไฟในฤดูหนาว เพราะอาหารรสเผ็ดช่วยขับเหงื่อ ทำให้ไม่ป่วยง่าย ! ”
“ในวันที่อากาศร้อน การกินหม้อไฟและดื่มเบียร์เย็น ๆ สักแก้วจะทำให้รู้สึกโล่งจมูก มันสบายจริง ๆ ! ”
“……”
ผู้คนที่ร่วมกินอาหารต่างก็หันมาสนใจคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋มากขึ้น ทุกคนไม่คาดคิดว่าการกินหม้อไฟจะมีหลายเรื่องให้ใส่ใจขนาดนี้ และนี่ก็เผยให้เห็นถึงวัฒนธรรมหม้อไฟอย่างที่ไม่มีใครรู้มาก่อน
ต่อไป ทุกคนจะทำงานให้หนักเพื่อพาเงินมากินอาหารที่พวกเขาชอบ
เจียงเสี่ยวไป๋หันไปบอกโต๊ะทั้งสองที่อยู่ข้าง ๆ เขา “น้ำจิ้มจะหมดแล้ว เดี๋ยวไม่อร่อยเอานะ ไปที่โต๊ะเครื่องปรุงแล้วปรุงน้ำจิ้มเพิ่มสิ จะปรุงรสชาติอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการได้เลย”
จากนั้น ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาสามารถปรุงน้ำจิ้มให้ออกมามีรสชาติที่ตัวเองชอบได้
ดังนั้นพวกเขาจึงลุกขึ้นไปที่โต๊ะเครื่องปรุงและเริ่มใส่เครื่องปรุงที่ตนเองชอบลงในชามน้ำจิ้ม
ขณะที่ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง เจียงเสี่ยวไป๋ก็เปิดไฟในสวนหลังบ้าน หลอดไฟขนาด 150 วัต 4 ดวงที่ส่องเข้ามาทำให้สนามหลังบ้านสว่างไสวราวกับกลางวัน สายลมยามเย็นพัดเข้ามา ทุกคนกำลังกินหม้อไฟอย่างมีชีวิตชีวา เป็นประสบการณ์ที่พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
หลินต้ากั๋วและเจียงเสี่ยวไป๋จิบเหล้าไปด้วยแล้วพูดว่า “เธอบอกว่าหม้อไฟนี้สามารถทำเป็นหม้อไฟแบบแยกน้ำซุปได้ ถ้าทำแบบนั้นได้จริง ๆ มันจะเยี่ยมมาก สามารถเปิดร้านหม้อไฟได้ทั่วประเทศเลย”
รองนายกเทศมนตรีจางพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านผู้นำ คุณเองก็หัวการตลาดเหมือนกันนะครับ หม้อไฟนี้ไม่เหมือนกับกุ้งอบน้ำมัน กุ้งอบน้ำมันขายได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น และยังเปิดร้านได้แค่ในพื้นที่ที่มีกุ้งเท่านั้น ซึ่งข้อจำกัดค่อนข้างมีเยอะ”
“แต่ร้านหม้อไฟนั้นแตกต่างออกไป ไม่เพียงแต่จะเปิดได้ตลอดทั้งปีเท่านั้น แต่วัตถุดิบสำหรับทำหม้อไฟนั้นยังหาได้ทั่วไปในท้องถิ่นอีกด้วย ถ้าจะเปิดร้านหม้อไฟก็จะสะดวกกว่า”
หลินต้าเหว่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ความสะดวกสบายเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะมันสามารถเลียนแบบได้ง่าย ใคร ๆ ก็ทำได้ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะผูกขาดตลาดเหมือนกุ้งอบน้ำมัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “เป็นไปไม่ได้ที่กุ้งอบน้ำมันจะผูกขาดตลาด ยิ่งมีร้านค้าเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งมีคนเลียนแบบ คนที่ไม่อยากเข้าร่วมแฟรนไชส์ก็จะหันไปเปิดร้านเอง”
เขาเปลี่ยนน้ำเสียงและพูดต่อ “แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่างเถอะครับ สิ่งที่ทำกำไรได้มากที่สุดไม่ใช่การเปิดร้าน แต่คือการขายเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันมากกว่า”
“ด้วยวิธีนี้ ยิ่งมีคนเปิดร้านกุ้งอบน้ำมันมากขึ้นในอนาคต และยิ่งมีคนกินกุ้งอบน้ำมันมากเท่าไหร่ โรงงานเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันก็จะมีรายได้มากขึ้นเท่านั้น”
หลินต้ากั๋วเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “งั้น… หมายความว่าหม้อไฟพวกนี้ใครจะทำตามก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือน้ำซุปของมันใช่ไหม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ลุงรอง ลุงพูดได้ถูกเผงเลยครับ ! ”
หลินต้ากั๋วเม้มริมฝีปาก “หยุดประจบฉันสักที ทันทีที่เธอพูดถึงโรงงานเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมัน ฉันก็คิดได้ว่าการเปิดร้านหม้อไฟไม่ใช่เป้าหมายของเธอ เพราะสิ่งที่เธออยากทำจริง ๆ คือเครื่องปรุงรสหม้อไฟ”
เมื่อรองนายกเทศมนตรีจางได้ยินเรื่องนี้ เขาก็เข้าใจและพูดขึ้นมาทันทีว่า “สมกับเป็นท่านผู้นำจริง ๆ ท่านมองการณ์ไกลมาก ! ” จากนั้น เขาก็หันไปหาเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “คุณต้องการใช้ที่ดินเท่าไหร่ในการสร้างโรงงานเครื่องปรุงรสหม้อไฟ หรือจะเอาที่ดินข้าง ๆ โรงงานผลิตและแปรรูปถั่วเหลืองดี ฉันจะได้ทำเรื่องแบ่งให้”
คราวนี้ เขากลับเป็นคนเอ่ยออกมาว่าจะมอบที่ดินให้เจียงเสี่ยวไป๋เอง
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “ยังมีพื้นที่ว่างในที่ดินขนาด 5,000 เฮกตาร์ที่เจี้ยนหยาง ซึ่งได้รับการอนุมัติมานานแล้ว เหลือก็แค่สร้างโรงงานเท่านั้นแหละ”
เอ่อ……
รองนายกเทศมนตรีจางไม่กล้าที่จะพูดอะไร เพราะพี่รองของนายอำเภอหลินยังอยู่ที่นี่ !
หลินต้ากั๋วจึงพูดด้วยความใจเย็นว่า “คุณสองคนหยุดแย่งกันได้แล้ว เสี่ยวไป๋คงมีความคิดของตัวเองแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “หม้อไฟจะมีรสชาติอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับน้ำซุปเป็นหลัก หลังจากที่น้ำซุปสุกได้ที่แล้ว มันก็จะเริ่มงวด พอเอาทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องก็จะควบแน่นและจับตัวเป็นก้อน หลังจากบรรจุในถุงบรรจุภัณฑ์ เราก็สามารถนำออกจำหน่ายได้ ลูกค้าที่ซื้อไปก็แค่ต้มน้ำให้เดือด ฉีกซองและเติมซุปก้อนหม้อไฟของเราลงไป ถ้าต้องการกินหม้อไฟก็เพียงแค่เตรียมวัตถุดิบและน้ำจิ้มเท่านั้น เพราะส่วนผสมหลายอย่างในน้ำซุปหม้อไฟมีครบในซุปก้อนแล้ว เหมือนกับที่เราทำเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งมันสะดวก ผมจึงวางแผนที่จะตั้งโรงงานผลิตซุปหม้อไฟสำเร็จรูปในชิงโจว”
รองนายกเทศมนตรีจางดีใจมาก เมื่อได้ยินว่าจะมีโครงการที่จะทำกำไรได้อีกโครงการหนึ่งในเมือง !
และนี่คือโครงการที่ดำเนินการต่อหน้าผู้นำระดับสูง
“เอาน่า ไม่เป็นไรเสี่ยวไป๋ ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณ ! ”
รองนายกเทศมนตรียกแก้วชวนเจียงเสี่ยวไป๋ดื่มด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ชนแก้วกับเขาและดื่มจนหมดในอึกเดียว
ล้อเล่นหรือไง ที่ดินในเจี้ยนหยางอยู่ในกระเป๋าของเขาแล้ว ฉะนั้นเขาต้องเลือกสร้างโรงงานบนพื้นที่ที่เขาจะได้ที่ดินผืนใหม่ !
หลักการคือต้องได้ที่ดินก่อน ส่วนเรื่องโครงการค่อยเอาไว้ทีหลัง !
มีบริษัทโลจิสติกส์แล้ว จะตั้งโรงงานอยู่ที่เจี้ยนหยางหรือชิงโจว มันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ ?
แต่ประเด็นมันอยู่ที่รองนายกเทศมนตรีจางได้พูดออกมาว่าเขาต้องการที่ดินมากแค่ไหนก็ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องลับมีดให้คม สับลงเสาไม้ไผ่และกระแทกให้ตรงจุดไปเลย
ส่วนพ่อตา แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะหักหน้าได้เหมือนกัน
เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “ที่เจี้ยนหยาง ผมกำลังจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกบนพื้นที่ 500 หมู่และสร้างโรงงานอาหารบรรจุกระป๋อง นอกจากนี้ ผมยังวางแผนที่จะสร้างโรงงานเนื้อแปรรูปและโรงงานเยลลี่ผลไม้ที่นั่นด้วย”
เดิมที หลินต้าเหว่ยรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เพราะเขาไม่สามารถเอาโรงงานเครื่องปรุงรสหม้อไฟสำเร็จรูปไปตั้งที่เจี้ยนหยางได้ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาจนปากจะฉีกถึงหู
นี่เป็นการใช้สิ่งที่ดีที่สุดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายและเปลี่ยนความยากลำบากให้เป็นโอกาส
ยิ่งไปกว่านั้นคือการแลกเปลี่ยนแบบ 1 ต่อ 2 ได้ทั้งโรงงานเนื้อแห้งและโรงงานเยลลี่ นั่นเป็นผลกำไรที่ยอดเยี่ยม !
ไม่เลว ไม่เลว !
สมกับที่เป็นลูกเขยที่ดี !
คำพูดนี้ก็ทำให้รองนายกเทศมนตรีจางรู้สึกประหลาดใจและอิจฉา เขาอิจฉาที่หลินต้าเหว่ยชนะเขาสองโครงการพร้อมกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้เลย นอกจากนี้ เขายังตกใจกับการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ 500 หมู่ที่เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวถึง นั่นเขาคิดจะทำอะไร ?
ไม่ได้การ เขาต้องรู้เรื่องนี้ให้ชัดเจน !
หากเป็นไปได้ เพื่อความเสมอภาค เขาควรสร้างไว้ในเมืองชิงโจวสักแห่ง
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนี้ เขาต้องหาเวลาคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋ในภายหลัง