ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 357 :ใครจะทนกินแบบนี้ได้ทุกวัน ?
ตอนที่ 357 :ใครจะทนกินแบบนี้ได้ทุกวัน ?
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงไม่รีบร้อนที่จะแสดงจุดยืนของเขา และถามว่า “คุณเหวิน คุณคิดว่าร้านจะสามารถขายผลิตภัณฑ์อะไรได้อีกบ้าง ? ”
เหวินเสวียเหว่ยกล่าวว่า “ก็เหมือนกับร้านของชำอื่น ๆ ตราบใดที่เรามีสินค้าให้เลือกมากมาย ฉันคิดว่าเราสามารถขายทุกอย่างได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม หากเป็นกรณีนี้ ร้านโยวผิ่นก็ไม่ต่างจากร้านขายของชำอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม คำพูดของเหวินเสวียเหว่ยยังเตือนเขาว่าอีกฝ่ายยังมีแผนอื่นในใจ
แต่สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับร้านโยวผิ่น ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร
เขาตรงเข้าประเด็นแล้วพูดว่า “คุณเหวิน แนวคิดทางธุรกิจของคุณโอเคเลย แต่มันไม่ตรงกับรูปแบบธุรกิจของร้านโยวผิ่นของผม”
“ผมอยากจะถามว่าถ้าผมยืนยันเงื่อนไขก่อนหน้านี้ คุณเหวินยังต้องการเข้าร่วมอยู่ไหม ? ”
เหวินเสวียเหว่ยยิ้ม แล้วพูดว่า “แค่ขายเมล็ดแตงโม 5 รสก็ขายได้หลายร้อยหยวนต่อวันแล้ว แน่นอนว่าผมอยากเข้าร่วม ผมแค่สงสัยว่า ถ้าแก่เจียงยังมีเงื่อนไขอะไรอีกไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบสัญญาแฟรนไชส์ที่เตรียมไว้ออกมา แล้วยื่นให้เหวินเสวียเหว่ย
เหวินเหวินเหว่ยหยิบมันขึ้นมาอ่าน นอกเหนือจากสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดก่อนหน้านี้แล้ว เงื่อนไขข้างต้นที่เพิ่มเข้ามายังมีค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 500 หยวน และค่าปรับสำหรับการผิดสัญญา
เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง และพบว่าสัญญาค่อนข้างยุติธรรม
เหวินเสวียเหว่ยจึงเซ็นสัญญาด้วยความยินดี และเป็นเจ้าของแฟรนไชส์รายแรกของร้านโยวผิ่น
เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “เถ้าแก่เหวิน คุณเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าร้านโยวผิ่นมีสินค้าไม่กี่อย่าง แต่หลังจากนี้มันจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว นอกจากเมล็ดแตงโมปรุงรสแล้ว ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น ถั่วลิสงปรุงรส เค้กที่รัก เมล็ดทานตะวัน และของขบเคี้ยวอื่น ๆ จะออกจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ และจะมีเพิ่มเติมในภายหลังอีก ในอนาคตจะมีขนมต่าง ๆ เช่น เยลลี่ ลูกอม ถั่วตัด เนื้อตากแห้ง เนื้อแดดเดียว อาหารกระป๋อง เป็นต้น”
“ร้านโยวผิ่นกำลังสร้างร้านค้าเฉพาะทางที่มีของฝากครบครัน โดยมีวัตถุประสงค์คือ เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนนึกถึงการกินขนม พวกเขาจะนึกถึงร้านโยวผิ่นของเราเป็นอันดับแรก เพราะขนมที่อร่อยที่สุดและครบครันที่สุดอยู่ในร้านโยวผิ่นแล้ว”
เหวินเสวียเหว่ยรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “เถ้าแก่เจียง ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนที่ผมจะเข้าร่วม ? ถ้าคุณบอกผมก่อนหน้านี้ ผมคงไม่ลังเลเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้อยู่ระหว่างการวางแผนและยังไม่ได้ออกจำหน่ายในร้าน ถ้าผมบอกคุณก่อนที่คุณจะเซ็นสัญญาแฟรนไชส์ มันก็อาจจะเป็นการโอ้อวดและเข้าข่ายจูงใจได้ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณ”
“ผมจึงไม่อยากใช้วิธีนี้ในการให้คนอื่นมาเซ็นสัญญาเข้าร่วมแฟรนไชส์”
เหวินเสวียเหว่ยโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง และกล่าวว่า “ผมชื่นชมความซื่อตรงของเถ้าแก่เจียง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ “คุณเหวิน ไม่เป็นไร ผมเองก็ชื่นชมวิสัยทัศน์และความกล้าหาญของคุณเหวินเหมือนกัน ดูจากคำพูดคำจาของคุณเหวิน ดูเหมือนว่าคุณจะมาจากครอบครัวนักวิชาการใช่ไหมครับ ? ”
เหวินเสวียเหว่ยพูดด้วยท่าทางนอบน้อมไปว่า “เถ้าแก่เจียงชมกันเกินไปแล้วครับ พ่อของผมเป็นแค่ครู เขาเป็นครูในโรงเรียนเอกชนตั้งแต่ผมยังเด็ก ไม่ได้ถือว่ามาจากครอบครัวนักวิชาการอะไรหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า ไม่น่าแปลกใจเลยที่คำพูดคำจาของเหวินเสวียเหว่ยจะแตกต่างจากคนทั่วไป แต่เขาก็ไม่ได้ถามต่อ เพียงแต่จำไว้เท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่และการตกแต่งร้านแล้ว เหวินเสวี่ยเหว่ยก็ขอตัวลาและออกไปหาช่างไม้ถานและจวงปี้เฉิง
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว จึงพูดกับเฝิงเยี่ยนหงไปว่า “เยี่ยนหง เธอและหวังผิงรู้จักแถวนี้ดี พอจะมีทำเลดี ๆ แนะนำไหม ฉันอยากซื้อไว้ขยายร้านโยวผิ่น”
หลังจากที่เฝิงเยี่ยนหงรู้รายละเอียดทำเลที่เจียงเสี่ยวไป๋ต้องการแล้ว เธอก็แนะนำทำเลใกล้กับสหกรณ์บนถนนชิงหยุนให้เขา
เจียงเสี่ยวไป๋ได้จดที่อยู่และตั้งใจที่จะไปดูในวันพรุ่งนี้
เพราะวันนี้มันห้าโมงแล้ว เขาต้องกลับบ้าน
แต่ก่อนออกเดินทาง เขาต้องไปหาถานชิงชานเพื่อขอให้เขาขับรถบรรทุกไปพบเจียงเสี่ยวเฟิงที่โรงงานเมล็ดแตงโมในเจี้ยนหยาง เพื่อไปขนเค้กที่รักมาวางขาย
หลินเจียอินพูดด้วยความประหลาดใจว่า “บรรจุภัณฑ์ของเค้กที่รักเพิ่งส่งไปเมื่อวานนี้ คุณจะให้ถานชิงชานไปรับมาวันพรุ่งนี้เลยหรือ ทำไมคุณถึงรีบขนาดนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “วันมะรืนนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ผมจึงอยากเอามาแจกให้กับพนักงานและมอบเป็นของขวัญให้กับลูกค้า”
หลินเจียอินหลุดขำออกมา “ทุกคนหวังจะกินขนมไหว้พระจันทร์ ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ แล้วคุณจะให้ขนมเปี๊ยะฟักทองกับพวกเขาทำไม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบเถียงกลับไป “มันเป็นเค้กที่รัก ไม่ใช่ขนมเปี๊ยะฟักทอง ! ”
“เหอะ ! ” หลินเจียหยินกล่าวว่า “ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นขนมเปี๊ยะฟักทอง แต่ตั้งชื่อให้มันว่าเค้กที่รักเหล่าหนานเหรินด้วย เห็นได้ชัดว่าคุณหลอกลวง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ
เมื่อกลับไปที่เจียงวาน หวังซิ่วจวี๋ได้เตรียมอาหารไว้แล้ว
หลินเจียอินตกตะลึงทันทีที่เธอไปถึงโต๊ะอาหาร แม่สามีทำอาหารอะไรให้ทานวันนี้ ?
ปลาดอง ผัดผักกาดดอง เนื้อไม่ติดมันผัดหัวไชเท้าหั่นฝอยดอง เบคอนผัดหอยเชลล์ดอง ผัดกาดขาวผัดใส่น้ำส้มสายชู ผัดมันฝรั่งสไลด์รสเปรี้ยว ขิงดอง…
ที่สำคัญไม่ใช่แค่มื้อนี้ !
เพราะเธอกินแบบนี้มาหลายวันติดต่อกันแล้ว และทุกเย็นจะต้องมีผักดอกเป็นเครื่องเคียงเสมอ
ใครจะทนกินแบบนี้ได้ทุกวัน
เจียงเสี่ยวไป๋ก็สับสนไม่ต่างกัน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของเขา
แต่มันก็ยากที่จะถาม
“เจียอินมานี่มา วันนี้แม่ทำอาหารอร่อย ๆ ให้ลูกอีกแล้ว มากินได้แล้ว ! เลือกกินที่ลูกชอบเลย ! ”
หวังซิ่วจวี๋ทักทายด้วยความดีใจ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ลูกสะใภ้ชอบกิน “ผักกาดดอง” ที่เธอทำ เธอจึงมีความสุขมาก
ไม่มีใครรู้ว่าเธอบอกเจียงไห่หยางเป็นการส่วนตัวกี่ครั้งแล้วว่าเจียอินต้องตั้งท้องหลานชาย !
แน่นอนว่าเจียงไห่หยางก็มีความสุขเหมือนกัน หญิงชราทำ “ผักกาดดอง” ทุกวันและเขาก็สนุกกับการกินมันด้วย
“คุณย่า ทำไมถึงทำผักดองบ่อยแบบนี้คะ ? ”
“หนูกินทุกอย่างจนเบื่อแล้ว มันเปรี้ยว ! ”
เจียงชานไม่สามารถควบคุมความคิดได้เหมือนผู้ใหญ่ เมื่อเธอเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยผักดอง เธอก็พูดอย่างไม่พอใจ
เมื่อหลานสาวของเธอพูดแบบนี้ หวังซิ่วจวี๋ก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดปลอบใจว่า “ชานชาน ผักดองอร่อยนะ แม่ของหนูกำลังตั้งท้องน้องของหนูอยู่ เธอจึงต้องกินผักรสเปรี้ยว ! ”
เด็กน้อยปฏิเสธและพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “ป่าป๊าคะ หนูไม่อยากกินผักดองพวกนี้อีกแล้ว หนูอยากกินหม้อไฟที่ป่าป๊าทำมากกว่า ! ”
เมื่อหลินเจียอินได้ยินแบบนี้ เธอก็นึกถึงหม้อไฟแสนอร่อยในวันนั้นขึ้นมาทันที และพูดอย่างรวดเร็วว่า “ชานชานอยากกิน พรุ่งนี้คุณก็ทำให้เธอกินเถอะ ! ”
ที่จริงแล้วเธอก็อยากกิน !
แต่ใช้ข้ออ้างว่าลูกสาวอยากกิน เพราะมันสมเหตุสมผลมากกว่า !
เมื่อภรรยาและลูกสาวของเขาพูดออกมาแบบนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เห็นด้วยเป็นธรรมดา “เอาล่ะ งั้นพรุ่งนี้ผมจะทำหม้อไฟให้กิน”
หวังซิ่วจวี๋รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที กินเผ็ดได้ลูกสาว ลูกสะใภ้ของเธอกำลังตั้งท้อง เธอจะกินอาหารรสเผ็ดได้ยังไง เธอจึงรีบพูดไปว่า “แกยุ่งมาทั้งวัน จะมีเวลาทำอาหารได้อย่างไร ? พรุ่งนี้ให้ฉันทำเถอะ กลับมาก็ได้กินแล้ว ! ”
“พรุ่งนี้ฉันจะทำอาหารเพิ่มอีกสองสามจานให้หลานสาว”
“ไม่ หนูไม่อยากกินอาหารที่คุณย่าทำ หนูอยากกินอาหารที่ป่าป๊าทำให้ ! ” เด็กน้อยตะโกนแล้วขว้างตะเกียบลงพื้น ก่อนจะวิ่งออกไปจากโต๊ะ
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวเล็กอารมณ์เสีย ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงต้องรีบตามไปปลอบเธอ
“ชานชาน หนูทำแบบนี้ไม่ได้ คุณย่ายอมลำบากทำอาหารให้กิน หนูทำแบบนี้มันไม่มีมารยาท”
“แต่หนูไม่อยากกินอาหารรสเปรี้ยวแล้วนะคะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “ไปกินข้าวก่อน แล้วพ่อจะทำขนมไหว้พระจันทร์ให้หนูกินด้วย โอเคไหม ? ”
“ขนมไหว้พระจันทร์ ? ”
ดวงตาของเจ้าตัวน้อยเป็นประกาย “มันอร่อยมากไหมคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกเศร้าอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามนี้ ลูกสาวของเขาอายุห้าขวบแล้ว แต่เธอยังไม่เคยกินขนมไหว้พระจันทร์มาก่อน พวกเธอต้องทนทุกข์ทรมานมากในอดีต เขาลูบหัวของเธอแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ขนมไหว้พระจันทร์มีไว้สำหรับคนภาคกลาง มักจะทำในเทศกาลไหว้พระจันทร์ มีไส้รสชาติต่าง ๆ ”
“มีไส้ที่ไม่เปรี้ยวไหมคะ ? ” เด็กน้อยถามด้วยท่าทางขี้อาย
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะออกมา ลูกสาวของเขารู้สึกไม่ดีกับอาหารรสเปรี้ยวมาก เขาจึงพูดว่า “พ่อทำใส้เม็ดบัว ไส้ไข่แดง แล้วก็ไส้แฮม มันอร่อยมากเลยล่ะ”
หลังจากเกลี้ยกล่อมลูกสาวให้กลับไปกินอาหารจนลูกสาวยอมกินแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปที่ห้องครัวเพื่อเริ่มทำขนมไหว้พระจันทร์