ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 358 :ภรรยาอยากให้ขายขนมไหว้พระจันทร์
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 358 :ภรรยาอยากให้ขายขนมไหว้พระจันทร์
ตอนที่ 358 :ภรรยาอยากให้ขายขนมไหว้พระจันทร์
เค้กพระจันทร์หรือที่เรียกกันว่าขนมไหว้พระจันทร์ เป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองของจีน เดิมทีใช้เป็นเครื่องเซ่นบูชาเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์
คำว่าขนมไหว้พระจันทร์ได้รับการบันทึกครั้งแรกใน ‘เมิ่งเหลียงหลู่’ ซึ่งเขียนโดยอู๋ซีมู่ ในราชวงศ์ซ่งใต้
การชมดวงจันทร์และกินขนมไหว้พระจันทร์ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ถือเป็นประเพณีสำคัญสำหรับชาวจีนในการฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ เนื่องจากขนมไหว้พระจันทร์มีลักษณะเป็นทรงกลมวงใหญ่ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการกลับมารวมตัวกันของคนในครอบครัว ผู้คนจึงถือว่าขนมไหว้พระจันทร์เป็นอาหารตามเทศกาล ใช้เพื่อบูชาพระจันทร์และมอบเป็นของขวัญให้กับญาติสนิทมิตรสหาย ดังคำกล่าวที่ว่า “ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 พระจันทร์จะเต็มดวง ขนมไหว้พระจันทร์ในเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นจะมีกลิ่นหอมหวาน” ซูตงโป กวีผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ซ่งได้ยกย่องขนมไหว้พระจันทร์ในบทกวีว่า “ขนมกลมดั่งดวงจันทร์ รสกรอบหอมหวาน”
ปัจจุบันมีขนมไหว้พระจันทร์จำหน่ายตามท้องตลาดแล้ว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ขนมไหว้พระจันทร์ของชิงโจวในช่วงปี 1970-1980 จึงเป็นขนมไหว้พระจันทร์แบบโบราณที่ส่วนมากใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วขนมไหว้พระจันทร์มีไส้มากมายขนาดไหน
วันมะรืนนี้คือเทศกาลไหว้พระจันทร์ นี่เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งแรกของเจียงเสี่ยวไป๋หลังจากที่เขาเกิดใหม่ เขาตัดสินใจทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้เม็ดบัวไข่แดงเค็ม และไส้แฮมหมูหยองซึ่งในชิงโจวไม่เคยมีใครทำขายมาก่อน เพื่อที่ครอบครัวของเขาจะได้เพลิดเพลินไปกับขนมไหว้พระจันทร์หลากหลายรสชาติ
การผสมแป้ง ทำไส้ และการปั้นขนมไหว้พระจันทร์ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา
ไม่นาน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ทำทุกขั้นตอนเสร็จสิ้น เหลือเพียงแค่การอบเท่านั้น
ในยุคหลังนั้น ขนมไหว้พระจันทร์จะอบในเตาอบเท่านั้น แต่ตอนนี้ เครื่องไม้เครื่องมือของเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้มีครบครันขนาดนั้น เขาจึงต้องอบด้วยวิธีดั้งเดิม
นี่เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ทักษะและความพยายามมากที่สุด หากควบคุมความร้อนและเวลาไม่เหมาะสม ขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
หลังจากลองอบสองครั้งแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พอจะกะความร้อนของไฟและเวลาได้ จากนั้นเขาก็อบขนมไหว้พระจันทร์ที่เขาคิดว่าดีที่สุด
“ชานชาน มาลองชิมขนมไหว้พระจันทร์ที่พ่อทำดูสิ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋หยิบจานขนมไหว้พระจันทร์ที่เตรียมไว้ออกมาทักทายเจียงชาน
เจียงชานแทบรอไม่ไหวอีกต่อไป เธอทิ้งรูบิคในมือลง หยิบขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมาแล้วใส่เข้าไปในปากของเธอคำโต ๆ
ไส้ที่เธอได้ลองชิมคือไส้แฮมหมูหยอง
ตอนที่กัดเข้าไป แป้งด้านนอกที่เป็นผิวของขนมไหว้พระจันทร์จะร่วงหล่นลงพื้น
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัวอย่างหมดคำจะพูด แล้วรีบเตือนลูกสาวไม่ให้กินเร็วเกิน “กินช้า ๆ หน่อย เดี๋ยวจะสำลักเอา”
พูดจบ เขาก็วางจานแล้วรีบไปเทน้ำมาหนึ่งแก้ว
ใครเคยกินขนมไหว้พระจันทร์จะรู้ดีว่าขนมไหว้พระจันทร์มีความเหนียวหนึบและสำลักได้ง่ายมาก
แน่นอนว่าเจ้าตัวเล็กกัดคำใหญ่เกินไปแล้วรีบเคี้ยว ขนมจึงเต็มปากของเธอ ทำให้เธอกลืนลำบาก
เจียงเสี่ยวไป๋รีบบอกให้เธออ้าปาก ก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปแล้วหยิบขนมที่ติดคอออกมา เพื่อให้เด็กน้อยได้หายใจ
หลังจากจิบน้ำไป ในที่สุดเธอก็กลืนขนมไหว้พระจันทร์ทั้งหมดเข้าไปในปาก และพูดออกมาทันทีว่า “มันอร่อยมาก ! ”
ในที่สุดก็ไม่ใช่อาหารรสเปรี้ยวแล้ว ทำให้เจ้าตัวน้อยมีความสุขมาก
เจียงเสี่ยวไป๋เช็ดมือของเขาแล้วพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ต่อไปอย่ากินเร็วแบบนี้อีกนะ ! ”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเริ่มกินต่อ
แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้กัดคำใหญ่เหมือนคำแรก
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ชวนเจียงถิงมากินขนมไหว้พระจันทร์ เขาก็หยิบชิ้นหนึ่งที่เป็นไส้เม็ดบัวไข่แดงเค็มส่งให้หลินเจียอินแล้วพูดว่า “เมียจ๋า ลองชิมไส้นี้ดูสิ”
หลินเจียอินหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะกัดชิมไปคำเล็ก ๆ
มันไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรมากนัก มันกรอบคล้ายกับขนมไหว้พระจันทร์ที่เธอเคยกินมาก่อน
เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมลูกสาวของเธอถึงได้กินอย่างเอร็ดอร่อยขนาดนี้ ?
อาจเป็นเพราะเจ้าตัวเล็กต้องกินผักดองรสเปรี้ยวมานาน !
เมื่อเห็นหลินเจียอินไม่ได้รู้สึกทึ่งอะไร เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “เมียจ๋า กัดไส้ของมันด้วยสิ ไส้มันอร่อยนะ ! ”
หลินเจียอินแบ่งขนมไหว้พระจันทร์ออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นไส้เม็ดบัวและไข่แดงเค็มที่อยู่ข้างในทันที ไส้เม็ดบัวที่มีไข่แดงเค็มฝังอยู่ตรงกลางส่องแสงสีทองแวววาว มีกลิ่นหอมน่าทาน
เธออดไม่ได้ที่จะกัดและสัมผัสได้ถึงรสชาติที่นุ่มนวลเนียนละเอียด พร้อมด้วยชั้นของความกรอบ เนื้อสัมผัสนุ่มเคี้ยวหนึบ และรสชาติของไข่แดงเค็มที่เข้มข้น
“มันอร่อยมาก ! ” หลินเจียอินเอ่ยชื่นชมพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากได้รับคำชมจากภรรยา ในที่สุดเจียงเสี่ยวไป๋ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ภรรยาของฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เธอยังคงกินอยู่เต็มปาก และชมออกมาโดยที่ไม่สนรูปลักษณ์ มันยากที่เธอจะทำตัวสบาย ๆ แบบนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ยกจานใส่ขนมไหว้พระจันทร์นำไปให้เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ชิมต่อ
“พ่อครับ แม่ครับ ลองชิมขนมที่ผมทำก่อน ! ”
เจียงไห่หยางหยิบไปกินหนึ่งชิ้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่หวังซิ่วจวี๋ไม่คิดที่จะรับมัน “แม่ไม่กินขนมไหว้พระจันทร์ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีข้าวให้กินเสียหน่อย”
ระหว่างทานอาหารเย็น หลานสาวและลูกสะใภ้แทบไม่กินอาหารที่เธอทำเลยสักคำ
นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ชอบอาหารที่เธอทำ
เธอจึงรู้สึกไม่มีความสุข !
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ชอบอาหารที่เธอทำเช่นกัน
ถ้าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่พูดว่าจะทำขนมไหว้พระจันทร์ หลานสาวและลูกสะใภ้คงจะกินข้าวฝีมือเธอมากกว่านี้
ทั้งหมดเป็นเพราะเจียงเสี่ยวไป๋ !
“ป่าป๊าคะ หนูอยากกินอีก ! ”
เจียงชานกินขนมไหว้พระจันทร์หมดไปหนึ่งชิ้นแล้ว เธอจึงวิ่งมาหาเจียงเสี่ยวไป๋เพื่อขอกินอีก
เจียงเสี่ยวไป๋เลือกชิ้นที่เป็นไส้เม็ดบัวไข่แดงเค็มให้เธอ เจ้าตัวน้อยรับมันไปกินอย่างมีความสุข
“สามี เรามาทำขนมไหว้พระจันทร์ขายในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีหน้ากันดีกว่า ไส้เม็ดบัวไข่แดงเค็มที่คุณทำอร่อยมาก มันต้องได้รับความนิยมแน่นอน” หลินเจียอินกินขนมไหว้พระจันทร์ในมือของเธอเสร็จแล้วและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
ฮะ ?
เอาอีกแล้ว !
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออกอย่างแท้จริง
นิสัยของภรรยาเปลี่ยนยากจริง ๆ อะไรที่เขาทำให้กินแล้วอร่อย เธอก็คิดที่จะทำขายไปเสียหมด
“อืม เจียอินพูดถูก ขนมไหว้พระจันทร์นี้รสชาติดี สามารถทำขายได้” เจียงไห่หยางช่วยพูดเสริม
“ทุกคนกินกันไปก่อนเลยนะ ผมว่าจะไปทำขนมไหว้พระจันทร์ต่อ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างเร่งรีบและเดินออกไป เขาไม่อยากทำขนมไหว้พระจันทร์อีก
“ไหน ๆ ก็ทำขนมเปี๊ยะแล้ว จะยากอะไรกับการทำขนมไหว้พระจันทร์ ? ” หลินเจียอินมองตามหลังของเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วฮึดฮัดออกมาอย่างไม่พอใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยุ่งกับการทำขนมไหว้พระจันทร์ในห้องครัวจนถึงเที่ยงคืน เขาทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้เม็ดบัวไข่แดงเค็มกว่า 300 ชิ้น และขนมไหว้พระจันทร์ไส้แฮมหมูหยองอีก 200 ชิ้น
เมื่อเตรียมของเสร็จ เขาก็บิดขี้เกียจเพราะหมดแรง
แต่เขายังไม่สามารถพักผ่อนได้ เขาต้องห่อขนมไหว้พระจันทร์ทีละชิ้น ๆ จนครบ
ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง และในที่สุดก็เสร็จ
เพื่อไม่ให้กระทบต่อการพักผ่อนของหลินเจียอิน เขาจึงไปอาบน้ำในห้องรับรองแขก จากนั้นจึงย่องกลับเข้าไปในห้องนอนอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเขาปิดไฟ เขาพบว่าภรรยาของเขาได้หลับสนิทไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋นอนลงเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า และหลับไปในที่สุด
วันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋ได้นำขนมไหว้พระจันทร์ 300 ชิ้นที่ทำเมื่อคืนเข้าไปในเมือง
“ทำไมคุณถึงเอาขนมไหว้พระจันทร์มามากมายแบบนี้ ? ” หลินเจียอินถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “เอาไปเป็นของขวัญให้พนักงาน ! ”
หลินเจียอินเพียงพยักหน้ารับว่า “อ้อ” แล้วไม่สนใจอีก
หลังจากเข้าไปในเมือง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปซื้อกระดาษสีแดงและห่อขนมไหว้พระจันทร์ ก่อนจะบรรจุ เป็นแพคละ 10 ชิ้น แต่ละแพคจะมีไส้เม็ดบัวไข่แดงเค็ม 6 ชิ้นและไส้แฮมหมูหยอง 4 ชิ้น
ในยุคที่เศรษฐกิจยังไม่คิกคักเช่นนี้ การจำหน่ายขนมไหว้พระจันทร์ตามร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ยังมีขายแค่เป็นชิ้น ไม่มีบรรจุภัณฑ์ขายแบบของขวัญ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องลงมือทำเอง
เมื่อบรรจุขนมไหว้พระจันทร์ทั้ง 30 แพคเสร็จแล้ว เขาเขียนถ้อยคำไว้บนกระดาษสีแดงว่า “สุขสันต์วันไหว้พระจันทร์” เพียงเท่านี้ แพ็คเกจง่าย ๆ ก็พร้อมแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
แม้ว่าบรรจุภัณฑ์จะดูเรียบง่าย แต่ก็ยังถือว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่าได้
ในเวลานี้ ถานชิงซานก็ได้เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “ฉันกำลังจะไปหาพี่พอดี เมื่อวานเย็นต้องลำบากพี่แล้ว พี่ขนเค้กที่รักมาที่ได้เท่าไร ? ”
ถานชิงซานกล่าวว่า “เมื่อคืนฉันได้ขนมามากกว่า 4,000 ชิ้น แต่กินพื้นที่รถบรรทุกเพียงครึ่งคันเท่านั้น ประจวบเหมาะกับโรงงานได้ทอดถั่วลิสง 5 รสอีกชุดหนึ่ง เห็นว่ารถยังไม่เต็ม จึงช่วยบรรทุกถั่วลิสงมาให้ด้วยเลย”