ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 36 :ลูกพี่ลูกน้องของคุณเป็นคนเก่ง
ตอนที่ 36 :ลูกพี่ลูกน้องของคุณเป็นคนเก่ง
หลังจากที่กินข้าวกันอย่างอิ่มหนำสำราญกันเต็มที่แล้ว
เจียงไห่หยางก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ช่างเป็นอาหารมื้ออร่อยจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเหล้า”
“วันนี้ผมรีบ เลยลืมซื้อมาครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะซื้อมาให้”
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด เขาใช้เหล้า 2 ขวดที่ซื้อมาครั้งล่าสุดไปทำอาหารและดื่มที่เหลือเมื่อคืนนี้แล้ว
ทั้งที่รู้ว่าพ่อของเขาชอบดื่มในตอนเย็น แต่เขาก็ไม่คิดจะใส่ใจ
“ซื้อบ้าซื้อบออะไรของแก”
เจียงไห่หยางตะโกน “ฉันก็บอกแกแล้วว่าอย่าใช้เงินสิ้นเปลือง ! ฉันอิ่มแล้ว แค่พูดไปอย่างงั้นแหละ”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“เสี่ยวไป๋บอกว่าจะซื้อเหล้ามาให้คุณ คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่กล้าพูด หวังซิ่วจวี๋เห็นแบบนั้นจึงเข้าไปปกป้องลูกชายของเธอ
หลังจากหยุดพูดไป เธอก็หันไปพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋อีกครั้งว่า “ไม่ต้องซื้อมาหรอก พรุ่งนี้แม่จะไปซื้อเนื้อหมูที่ตลาดมาสักสองสามชั่งพอดี เดี๋ยวแม่จะซื้อมาให้เขาพอกินสักแก้วสองแก้วก็พอ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “แม่ครับ พรุ่งนี้แม่ไม่ต้องไปตลาดหรอก เดี๋ยวตอนเย็น ผมจะซื้อหมูกับเหล้ามาให้เอง จะได้ไม่เสียเวลาครับ”
“งั้นก็ดี เดี๋ยวแม่จะเอาตั๋วหมูและตั๋วเหล้ามาให้แกก็แล้วกัน” หวังซิ่วจวี๋กล่าว
เธอรู้สถานการณ์ในบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ดี ว่าต้องไม่มีตั๋วแน่นอน แต่สำหรับเธอนั้น เนื้อหมูที่เธอซื้อมาทุกครั้ง จะต้องมีการต่อรองราคาเสมอ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ปฏิเสธ
แม้ว่าเขาจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการต่อรองราคา แต่ถ้าเขาไม่เอาตั๋วมา แม่ก็คงไม่ให้เขาซื้อแน่นอน
หวังซิ่วจวี๋กลับมาที่บ้าน เธอเอาตั๋วหมูและตั๋วเหล้าที่มีให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ และพูดว่า “เก็บมันไว้ แม้ว่าแกจะหาเงินได้มาก แต่ก็อย่าทำนิสัยฟุ่มเฟือยเชียวล่ะ”
“การเปลี่ยนนิสัยจากมัธยัสถ์ไปเป็นคนฟุ่มเฟือยนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนนิสัยจากคนฟุ่มเฟือยมาเป็นคนมัธยัสถ์นั้นยาก”
“เมื่อก่อนแกทำตัวเหลวไหล แต่ตอนนี้แกเปลี่ยนไปได้ก็ดีแล้ว แม่ก็ดีใจ และหวังว่าแกจะปฏิบัติต่อเจียอินและชานชานได้ดีแบบนี้ต่อไปในอนาคต ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ครับแม่ ผมรู้”
หลังจากได้ชีวิตใหม่และได้ยินคำสั่งสอนจากแม่อีกครั้ง ดวงตาของเจียงเสี่ยวไป๋ก็ชื้นขึ้นเล็กน้อย
มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นจากแม่ที่รักและหวังดีต่อลูก
ดีมาก
ทั้งครอบครัวไม่ได้รีบเก็บโต๊ะ แต่พวกเขายังนั่งคุยกันที่ลานข้างบ้าน ไม่นานนัก หวังผิงก็ได้หิ้วถุงใส่ของพะรุงพะรังเดินเข้ามา
มาบ้านญาติทั้งที ก็ต้องมีขอติดไม้ติดมือมาด้วยเล็กน้อย มันถือว่าเป็นมารยาท
เมื่อทุกคนเห็นเขาเดินเข้ามา ก็ทักทายกันใหญ่ เจียงเสี่ยวไป๋ก็กล่าวว่า “มากินข้าวก่อนสิ ไปเรียกพี่เขยของคุณมานั่งคุยกันก่อน”
หวังผิงตอบ “พี่เจียเหอกับฉัน เรากินข้าวกันมาแล้ว เราไม่อยากเสียเวลา คุยกันว่าพอมาถึงก็จะขนมันฝรั่งเข้าเมืองทันที งานจะได้เสร็จเร็ว ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “ไม่เป็นไร งั้นฉันไม่ถ่วงเวลาพวกนายก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยขนขึ้นรถ”
เมื่อได้ยินว่าจะมีการขนมันฝรั่งเข้าเมืองคืนนี้ เจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงก็ได้อาสาไปช่วยอีกแรง
ก่อนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะออกไป เขาก็บอกให้หลินเจียอินเอาเงิน 5 หยวนติดตัวตามมาด้วย เพื่อเป็นค่าน้ำมันและค่าเสียเวลาของพวกเขา แม้ว่าหลินเจียอินจะรู้สึกว่าเงิน 5 หยวนนั้นมากเกินไป แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร
มันฝรั่งมากกว่า 3,000 จินถูกบรรจุในกระสอบ จากนั้นชายร่างใหญ่ทั้งสี่ก็ช่วยกันขนมันขึ้นรถโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
”พี่เจียเหอ ผมต้องขอโทษด้วยที่เราไม่ได้ต้อนรับพี่อย่างดี”
ก่อนจากไป เจียงเสี่ยวไป๋ก็เข้าไปพูดกับเฝิงเจียเหอ เขากล่าวขอโทษและยื่นเงิน 5 หยวนให้ “มันดึกมากแล้ว นี่ถือว่าเป็นค่าเสียเวลา มันไม่ได้เป็นเงินมากมายอะไร พี่จะได้เอาไปซื้อของที่พี่อยากได้”
เฝิงเจียเหอผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นธนบัตร 1 หยวน 5 ใบในมือ
เจียงวานอยู่ห่างจากเมืองชิงโจวไปประมาณ 20 ลี้เท่านั้น ค่าโดยสารปกติที่จ้างกันมากสุดราคาเพียง 3 หยวนเท่านั้น
แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับให้เงินเขามากถึง 5 หยวนเชียวหรือ
”ไม่ไม่ ! ไม่ไม่ ! ”
เฝิงเจียเหอรีบปฏิเสธทันที “ฉันเต็มใจช่วยเพราะมันเป็นคำขอของน้องและน้องเขยของฉัน ฉันจะรับเงินจากคุณอีกได้อย่างไร”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “หวังผิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม และคุณก็เป็นพี่เขยของเขา ฉะนั้น คุณก็ไม่ต่างจากเป็นพี่ของผม”
“ถ้าขอให้ผู้ที่มีศักดิ์เป็นน้องช่วยงานที่ใช้แรง ผมก็จะไม่สุภาพแบบนี้หรอก”
“แต่คราวนี้คุณมีศักดิ์เป็นเหมือนพี่ของผม และคุณก็ยังเอารถแท็กเตอร์มาขนมันฝรั่งให้ น้ำมันที่ใช้ไปนี้ มันต้องใช้เงินซื้อ นี่ถือว่าเป็นค่าน้ำมันก็แล้วกันนะครับ”
เขายิ้มและพูดต่อ “ถ้าคุณไม่รับเงินวันนี้ ผมจะเอาหน้าที่ไหนไปขอคุณให้มาช่วยขนมันฝรั่งในครั้งต่อไปล่ะ”
เฝิงเจียเหอปฏิเสธหลายครั้ง แต่ก็เปลี่ยนใจเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องจำใจรับเงินและพูดว่า “ตกลง ถ้านายต้องการขนมันฝรั่งเข้าเมืองอีกเมื่อไหร่ ก็บอกฉันแล้วกัน”
เขาเสริมว่า “แต่คราวหน้าไม่ต้องให้เงินฉันอีก แค่นี้ก็พอแล้ว”
”ครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าเห็นด้วย แต่ในใจเขาไม่ได้คิดแบบนั้น
เป็นเรื่องปกติที่จะขอให้ญาติช่วยเหลือในบางครั้งหรือสองครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้หวังอะไรตอบแทน แต่เราก็ควรจะให้เป็นสินน้ำใจ ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะคิดว่าเรากำลังเอาเปรียบพวกเขาอยู่ และพวกเขาจะค่อย ๆ ห่างเหินคุณไป และดูถูกคุณในใจ
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับผู้คน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไร คือต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันเสมอ
เจียงเสี่ยวไป๋เป็นมนุษย์ที่มีสองชีวิต และในชีวิตที่แล้วเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และความซับซ้อนของผู้คน
ในตอนที่เฝิงเจียเหอขับรถเข้าไปในเมือง เขาก็พูดกับหวังผิงว่า “หวังผิง ลูกพี่ลูกน้องของนายเป็นคนมีบุคลิกดี และดูเป็นคนเก่งมากด้วย ”
เสียงของรถแทรกเตอร์ “ถืดๆๆๆ” ดังระหว่างทาง ทำให้หวังผิงได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนัก เขาจึงตะโกนถามออกไปว่า “พี่พูดว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกว่าลูกพี่ลูกน้องของนายเป็นคนบุคลิกดีและเก่ง” เฝิงเจียเหอตะโกนเสียงดังออกมา
หวังผิงได้ยินอย่างชัดเจนในครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าเฝิงเจียเหอหมายถึงอะไร “โอ้ เขาฉลาดตั้งแต่ยังเด็กแล้ว”
เฝิงเจียเหอได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
น้องเขยของเขานั้นไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น บุคลิกของเขาก็ตรงไปตรงมา ส่วนเรื่องความเข้าใจโลกของเขายังตามหลังเจียงเสี่ยวไป๋อยู่มาก
และคนส่วนใหญ่ที่เป็นทหารมาก่อนก็จะเป็นแบบนี้
ในตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋กลับบ้าน หวังซิ่วจวี๋, หลัวเจาตี้และคนอื่น ๆ ก็ได้แยกย้ายกันกลับไปแล้ว ส่วนหลินเจียอินก็ได้เก็บถ้วยชามมาล้าง
”เมียจ๋า ขอบคุณนะที่ช่วยผ่อนแรงผม”
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขามักจะเป็นคนทำอาหารและล้างจานเก็บโต๊ะคนเดียวมาตลอด แต่วันนี้หลินเจียอินต้องทำแทนเขา เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวขอบคุณออกมา
“คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อะไรที่ฉันพอช่วยได้ ฉันก็อยากจะช่วย”
หลินเจียอินกล่าวออกมาเบา ๆ
โดยไม่รู้ตัว ทัศนคติของเธอที่มีต่อเจียงเสี่ยวไป๋ได้เปลี่ยนไปมาก เธอไม่ต่อต้านเขาอีกต่อไป และเธอเต็มใจที่จะทำงานบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระของเขา
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก หลังจากพูดคุยกับเธอสองสามคำ เขาก็ขอให้เธอเอาเงินออกมาและไปที่บ้านพ่อแม่ของเขาด้วยกัน
หลายวันมานี้เจียงไห่หยาง, เจียงเสี่ยวเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ได้ช่วยกันเหลาไม้ไผ่ได้จำนวนมากแล้ว ดังนั้นวันนี้คือวันที่พวกเขาจะได้เงิน
“พี่รอง พี่มาเอาไม้จิ้มเพิ่มหรือ”
ทันทีที่เขาเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงเสี่ยวเหลยก็รีบยืนขึ้นทักทายเขา และถามออกมาอย่างมีความสุข
หลังจากพูดจบ เขาก็โน้มตัวเข้าไปข้างหูของเจียงเสี่ยวไป๋ และกระซิบเบาๆว่า “ผมเหลาไม้จิ้มมันฝรั่งให้พี่ได้ตั้ง 700 อันแล้ว ”
ได้ 700 อัน หากคิดเป็นเงินก็อันละ 1 เฟิน งั้นก็เท่ากับ 7 หยวน
เมื่อนึกถึงเงินที่จะได้ 7 หยวน เจียงเสี่ยวเหลยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เมื่อเขาไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้ เขาก็จะสามารถพูดอวดได้อย่างเต็มปากว่า “ฉันมีเงินเยอะ”
เจียงไห่หยาง, หวังซิ่วจวี๋, เจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้รู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋มาที่นี่เพื่อมาเอาไม้ไผ่ที่พวกเขาเหลาเสร็จ แม้ว่าพวกเขาจะได้ค่าจ้างในราคา 10 อันต่อ 1 เฟิน แต่หากว่าทำไปเรื่อย ๆ มันก็เป็นเงินที่ไม่น้อยเหมือนกัน
พวกเขาทั้งสี่ต่างก็ตั้งตารอเวลานี้กันมานาน
มีเพียงเจียงเสี่ยวหยูเท่านั้นที่ดูจะไม่มีความสุข ทุกคนในครอบครัวสามารถหาเงินค่าขนมได้ด้วยตัวเอง มีแต่เธอคนเดียวที่หาเงินเองไม่ได้เหมือนคนอื่น
“พี่รอง ไหนพี่บอกว่าจะมีงานที่เหมาะสมให้ฉันทำไงเล่า แล้วพี่จะให้ฉันทำอะไร ? ”
เจียงเสี่ยวหยูรินชาให้เจียงเสี่ยวไป๋หนึ่งถ้วย จากนั้นเธอก็ถามออกมาตรง ๆ