ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 384 :สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคน ๆ หนึ่งคือการมีพ่อที่ดี
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 384 :สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคน ๆ หนึ่งคือการมีพ่อที่ดี
ตอนที่ 384 :สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคน ๆ หนึ่งคือการมีพ่อที่ดี
หลังจากได้ลิ้มลองกับความอร่อยของปลาอู่ชางนึ่งซีอิ๊วแล้ว ถังเสี่ยวโจวก็ส่งเจียงเสี่ยวไป๋และ เจียงชานกลับไปที่เกสเฮาส์หงซาน
“วันนี้พวกคุณกลับไปพักผ่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ผมจะมารับ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “คุณมาที่นี่ตอน 9 โมงเช้า ผมจะส่งชานชานไปที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงก่อน และให้น้องสาวของผมช่วยดูแลเธอแทน”
ถังเสี่ยวโจวกล่าวว่า “คุณมีน้องสาวอยู่ที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงด้วยหรือ? ทำไมไม่บอกผมสักคำ”
เจียงชานกล่าวว่า “อาชิงและน้าสาวของหนูเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงทั้งคู่เลยค่ะ”
ถังเสี่ยวโจวยิ้มแล้วพูดว่า “น้าสาวของหนูคือหลินเจียลี่ ลุงรู้จักเธอ”
เจียงชานได้ยินแบบนั้นรู้สึกประหลาดใจมาก “ลุงรู้จักน้าสาวของหนูด้วยหรือ ? หนูยังไม่เคยเจอเธอเลยด้วยซ้ำ ! ”
ถังเสี่ยวโจวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้อดีตระหว่างเจียงเสี่ยวไป๋กับตระกูลหลิน เขารู้จัก หลินเจียลี่ เพียงเพราะเขาเคยพบเธอสองสามครั้ง ไม่ถือว่าคุ้นเคยกันมากนัก
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน ลูกสาวของเขาฉลาดและมักจะชอบเผยไต๋อยู่เป็นประจำ เธอร้องเพลง ‘แร็พหน้าวาดงิ้ว’ ดึงดูดความสนใจของถังเสี่ยวโจว และยังเผลอเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับหลินเจียลี่ออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาลูบหัวเจียงชาน แล้วพูดว่า “พรุ่งนี้พ่อจะพาไปพบกับน้าเจียลี่เอง”
“ดีเลยค่ะ หนูอยากเจอน้าเจียลี่พอดี ! ” เจียงชานพูดอย่างมีความสุข
ถังเสี่ยวโจวจึงกล่าวว่า “เอาล่ะ พรุ่งนี้ลุงจะไปรับหนูตอน 9 โมงเช้า แล้วพบกันนะชานชาน ! ”
“แล้วพบกันค่ะลุงถัง ! ”
หลังจากที่ถังเสี่ยวโจวไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาเจียงชานกลับไปที่ห้อง
เจียงชานพูดว่า “ป่าป๊าคะ ป่าป๊าบอกว่าปลาอู่ชางนึ่งซีอิ๊วอร่อย แต่ทำไมหนูชิมแล้วมันไม่อร่อยล่ะ ? ”
“นี่คืออาหารของคนเจียงเฉิงหรือคะ ? ”
“กุ้งอบน้ำมันกับหม้อไฟที่ป่าป๊าทำอร่อยกว่านี้อีกค่ะ ! ”
ถังเสี่ยวโจวอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ หนูน้อยจึงไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้เหลือเพียงป่าป๊าของเธอเท่านั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ชานชาน พวกเราชาวเมืองชิงโจชอบกินรสจัด แต่ชาวเจียงเฉิงไม่นิยมรสจัดจ้าน ลูกคุ้นเคยกับการกินอาหารรสจัดจำพวกกุ้งอบน้ำมันและหม้อไฟไปแล้ว พอหนูมากินอาหารที่นี่ หนูเลยไม่ชินกับมันและรู้สึกว่ารสชาติของมันไม่อร่อย”
“แต่ป่าป๊าบอกกับหนูว่าการชิมอาหารไม่สามารถขึ้นอยู่กับนิสัยและความชอบของหนูได้ หวาน เปรี้ยว ขม เผ็ด เค็ม ล้วนเป็นรสนิยม หนูต้องเรียนรู้ที่จะลิ้มรสความอร่อยของวัตถุดิบและสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของต่อมรับรสที่เกิดจากวัตถุดิบที่แตกต่างกัน เพื่อให้หนูได้ลิ้มรสอาหารอย่างแท้จริง”
ดวงตาของชานชานเบิกกว้าง “ป่าป๊า สิ่งที่ป่าป๊าพูดมันซับซ้อนมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและอธิบายอย่างละเอียด เขาบอกลูกสาวถึงวิธีการลิ้มรสรสชาติที่แตกต่างด้วยลิ้นของเธอ
ครั้งแรกที่เขาบอกชื่อแต่ละส่วนประกอบของลิ้นให้เจียงชานฟัง ส่วนหน้าคือปลายลิ้น ส่วนบนคือส่วนหลังของลิ้น ส่วนล่างคือท้องของลิ้น และทั้งสองข้างเป็น ขอบลิ้น แล้วบอกเจียงชานถึงการกระจายรสชาติของแต่ละส่วนของลิ้น กล่าวคือ ปลายลิ้นไวต่อรสหวาน เผ็ด และเค็ม ขอบลิ้นไวต่อรสเปรี้ยว และโคนลิ้นไวต่อรสขม
เมื่อกินอาหาร ชาหรือไวน์ หากต้องการแยกแยะคุณภาพของส่วนผสมและเครื่องดื่ม คุณต้องสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของปุ่มรับรสบนปลายลิ้นอย่างระมัดระวัง
เจียงชานหัวเราะคิกคักหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “ป่าป๊าคะ ลิ้นมีส่วนประกอบมากมายและน่าสนุกจัง หนูจะลองลิ้มรสชาติของอาหารให้ดีเวลาที่หนูกินอาหารมื้อถัดไป”
“ดี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและเห็นด้วย พ่อและลูกสาวเล่นกันในห้องนั่งเล่นสักพักแล้วจึงเข้าห้องไปนอน
“คืนนี้หนูได้นอนกับป่าป๊าอีกแล้ว ดีจังเลย ! ”
หนูน้อยทิ้งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดอย่างมีความสุข
หลังจากที่หนูน้อยย้ายเข้าบ้านใหม่ของเธอในเดือนเจ็ด เจียงชานก็นอนในห้องแยกจากพ่อของเธอ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้นอนกับลูกสาวของเขานานแล้ว ตอนนี้เขาก็มีความสุขมากเช่นกัน เขากล่อมลูกสาวของเขาและรอจนเจียงชานหลับสนิทไป เขาถึงได้นอนหลับบ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ปลุกเจียงชานตื่น
หลังจากที่พ่อและลูกสาวอาบน้ำเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “ชานชาน วันนี้ป่าป๊าและลุงถังมีงานยุ่งมาก ป่าป๊าจะพาหนูไปหาอาชิง หนูอยู่รอป่าป๊าที่นั่น ป่าป๊าจะไปรับหนูในตอนบ่าย หนูต้องเชื่อฟังอาชิงด้วย เข้าใจไหม ? ”
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ ! ” เจียงชานพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
“เอาล่ะ วันนี้เราวิ่งไปที่มหาวิทยาลัยของอาชิงกันเถอะ ที่นั่นสวยมาก”
เจียงชานถามด้วยสีหน้าแปลก ๆ ว่า “ป่าป๊าคะ ทำไมเราต้องวิ่งไป แทนที่จะขับรถไปล่ะคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ป่าป๊าวิ่งทุกเช้า และมหาวิทยาลัยของอาชิงก็อยู่ไม่ไกล ป่าป๊าจะวิ่งช้า ๆ ไปกับหนู จะได้ดูธรรมชาติเมืองเจียงเฉิงไปพร้อมกับหนูได้อีกด้วย เวลาเราไปเที่ยวชมเมืองใหม่ ๆ เราจะแค่สัญจรผ่าน ๆ ไม่ได้ แต่เราควรเดินไปตามถนนเพื่อสัมผัสกับความงดงามของเมืองนั้น ๆ อย่างละเอียด”
“ได้ค่ะ หนูจะวิ่งตอนเช้ากับป่าป๊า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยมีความคิดที่จะพาลูกสาวออกไปวิ่งตอนเช้าทุกวัน แต่ก็ไม่เคยได้ทำเลย ในที่สุดเขาก็มีโอกาสแล้ว
พ่อและลูกสาวออกจากเกสเฮาส์หงซานไป เจียงเสี่ยวไป๋พาเจียงชานวิ่งออกกำลังกายอย่างช้า ๆ ไปจนถึงมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง
บนถนนในตอนเช้ามีผู้คนไม่มากนัก ขณะวิ่งอย่างช้า ๆ เจียงเสี่ยวไป๋เล่าให้ลูกสาวของเขาฟังเกี่ยวกับประโยชน์ของการวิ่งตอนเช้า และบอกว่าเธอควรวิ่งในตอนเช้าทุกวันต่อจากนี้ไป
หนูน้อยเพิ่งเริ่มวิ่ง เธอไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากอะไร แค่คิดว่ามันสนุกจึงตอบตกลงอย่างเต็มใจ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ชานชาน ในเมื่อเรารับปากอะไรไว้ เราต้องทำให้ได้ ลูกดูสิ พ่อรับปากลูกไว้ว่าจะพาลูกมาด้วยในครั้งหน้า และพ่อก็ทำได้แล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าฝนจะตก ลมจะแรง หรือหิมะจะตก หนูต้องตื่นนอนแต่เช้าไปวิ่งออกกำลังกายกับพ่อ มันก็เหมือนตอนที่ลูกฝึกเขียนพู่กันนั่นแหละ เมื่อเริ่มไปแล้ว เราไม่อาจหยุดยั้งกลางทางได้”
ฮะ ?
หนูน้อยตกตะลึง คิดไว้แค่ว่าวันนี้จะต้องวิ่งเท่านั้น แต่ไม่เคยคิดว่าในอนาคตจะต้องตื่นแต่เช้ามาวิ่งทุกวัน
แต่ภายใต้การจ้องมองของเจียงเสี่ยวไป๋ เธอยังคงพยักหน้า
อย่างไรก็ตาม เธอมีความสุขเวลาได้อยู่กับป่าป๊าของเธอ
มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงอยู่ห่างจากเกสเฮาส์หงซานเพียงไม่กี่นาที หลังจากที่พ่อและลูกสาวเข้ามาในมหาวิทยาลัย มีนักศึกษาหลายคนในมหาวิทยาลัยกำลังวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้า เช่นเดียวกัน เจียงเสี่ยวไป๋จึงชี้ให้หนูน้อยเห็นว่า “ชานชานดูสิ นี่คือมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง มีนักศึกษาเยอะมาก พวกเขาก็ออกมาวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้าเหมือนกัน หนูเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป และเมื่อหนูเข้ามหาวิทยาลัย หนูจะวิ่งได้เร็วและมีร่างกายแข็งแรงกว่าพวกเขาทั้งหมด”
ไม่ว่าอย่างไร ร่างกายของเราก็สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดเสมอ
เมื่อเห็นคนจำนวนมากวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้า หนูน้อยก็เริ่มสนใจและอดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วของตนเอง
ประมาณ 20 นาทีต่อมา หนูน้อยก็เหงื่อออกและเจ็บระบมที่น่อง
“ป่าป๊าคะ หนูวิ่งไม่ไหวแล้ว หนูเหนื่อยมาก ! ”
หนูน้อยพูดด้วยอาการหอบหายใจอย่างแรง
เจียงเสี่ยวไป๋ให้เธอชะลอความเร็ว แต่ไม่ยอมให้เธอหยุด เขาพูดว่า “ชานชาน หนูเหนื่อยหลังจากวิ่งมาได้ระยะหนึ่ง แต่หนูเห็นไหมว่าป่าป๊าไม่รู้สึกเหนื่อยเลย รู้ไหมว่าเพราะอะไร ? ”
หนูน้อยอ้าปากค้างและพูดว่า “เพราะป่าป๊าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ! ”
เอิ่ม……
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินคำตอบของลูกสาวก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่แล้วเขาก็ชี้นำเธอว่า “หนูพูดถูก ผู้ใหญ่แข็งแรงกว่าเด็ก นั่นเป็นเรื่องจริง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด”
“แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไรคะ ? ” หนูน้อยถาม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะพ่อวิ่งในตอนเช้าทุกวัน ป่าป๊ามีวินัยออกกำลังกายทุกวัน ทำให้สมรรถภาพทางกายของพ่อดีขึ้นเรื่อย ๆ ”
“อ้อ……” หนูน้อยพยักหน้ารับ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่ออีกว่า “ดังนั้นหนูต้องออกกำลังกายทุกวัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคน ๆ หนึ่งคือการมีร่างกายที่ดี นับจากนี้ไป ป่าป๊าจะออกกำลังกายกับหนูเอง”
หนูน้อยพยักหน้าแล้วพูดว่า “หนูคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคน ๆ หนึ่งคือการมีป่าป๊าที่ดีต่างล่ะคะ ฮ่าฮ่าฮ่า……”
หนูน้อยหัวเราะอย่างมีความสุข