ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 386 :ล่องเรือทะเลสาบตะวันออก
ตอนที่ 386 :ล่องเรือทะเลสาบตะวันออก
เวลา 9.00 น. ถังเสี่ยวโจวมารับเจียงเสี่ยวไป๋ตรงเวลา
แบบร่างการออกแบบของคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าได้รับการตรวจสอบแล้ว ส่วนเรื่องเซ็นสัญญา แค่มีถังเสี่ยวโจวคอยช่วยให้ ทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้น ทั้งสองได้เดินทางไปที่เจียงหยางพร้อมกับหลู่จื่อเจี้ยน ถังเสี่ยวโจวได้นัดหมายกับ หวังเคอ ผู้จัดการบริษัทวิศวกรรมการก่อสร้างสาขาหนึ่งของเจียงเฉิง เพราะภารกิจหลักในวันนี้คือการเริ่มดำเนินการการสร้างคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า
เมื่อทั้งสามมาถึง หวังเคอก็รออยู่ที่นั่นแล้ว
หลังจากทักทายและนำแบบร่างให้หวังเคอแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินไปรอบ ๆ สถานที่ก่อสร้าง ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋ก็หารือเรื่องต้นทุนโครงการกับหวังเคอ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับค่าจ้างแรงงานและต้นทุนค่าวัสดุในปัจจุบันของเจียงเฉิง แต่มีถังเสี่ยวโจวอยู่ที่นี่ด้วย อีกทั้งราคาที่หวังเคอเสนอมานั้นก็ไม่สูงมากนัก ทั้งสองตกลงราคาและให้ความร่วมมืออย่างรวดเร็ว หลังจากกลับมาที่ห้องพักของเจียงเสี่ยวไป๋ที่เกสเฮาส์หงซาน ทั้งสองฝ่ายก็ได้ร่างและลงนามในสัญญาร่วมกัน
ในยุคนี้ สัญญายังไม่ได้มีรูปแบบที่พิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์ แต่ยังคงถูกเขียนด้วยมือทั้งหมด
สัญญาก่อสร้างค่อนข้างละเอียด หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถอนเงินจากธนาคารและชำระเงินล่วงหน้า กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว
หวังเคอเลี้ยงอาหารทั้งสามคนแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไป
ถังเสี่ยวโจวกล่าวก่อนกลับว่า “วันนี้ผมไม่รบกวนคุณแล้ว คุณพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เราจะไปเอ้อเฉิงในตอนเที่ยง”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “คุณจะเข้ารับตำแหน่งเร็ว ๆ นี้แล้วหรือ ? ”
ถังเสี่ยวโจวกล่าวว่า “ไม่ใช่หรอก ยังมีเวลาเหลืออีก 2-3 วันก่อนที่ผมจะเข้ารับตำแหน่ง ถึงอย่างไรผมก็ได้ส่งต่องานที่เจียงเฉิงให้คนที่จะเข้ามาทำแทนแล้ว จึงมีเวลาว่าง ในเมื่อคุณมาแล้ว งั้นคุณไปที่นั่นเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “นี่คุณวางแผนที่จะไปสำรวจดูก่อน เพื่อเตรียมแสดงความสามารถของคุณใช่ไหม”
ถังเสี่ยวโจวกล่าวว่า “การเป็นคนทำงานเพื่อประชาชน ย่อมต้องทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน ตั้งแต่ผมเดินบนเส้นทางนี้ ผมก็ยังอยากที่จะทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถของผมไปสิ ! ”
ถังเสี่ยวโจวยิ้มและพูดว่า “หลังออกจากเจียงเฉิงแล้ว ผมก็ไม่มีรถแล้ว ที่จริงผมก็แค่อยากให้คุณเป็นคนขับรถให้ผมน่ะ”
ทั้งสองคุยกันและหัวเราะอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถังเสี่ยวโจวก็จากไป
เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาที่ในห้องด้วยความรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย
ข้างนอกอากาศร้อน เขาจึงไม่อยากออกไปข้างนอก เลยอาบน้ำแล้วหลับพักผ่อน
ในอีกด้านหนึ่ง หลินเจียลี่และเจียงชานก็กำลังเล่นอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
“ชานชาน หนูไม่เคยนั่งเรือมาก่อนใช่ไหม น้าจะพาหนูไปนั่งเรือที่ทะเลสาบตะวันออก”
“ได้ค่ะ ! ”
มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงอยู่ติดกับทะเลสาบตะวันออก มีทางออกจากมหาวิทยาลัยหลายทางที่สามารถไปยังทะเลสาบตะวันออกได้ เช่น ประตูเหวินหลัน ประตูหลิงโป และประตูตงเหมิน !
หลินเจียลี่นำกล้องของเธอออกมาและออกจากประตูหลิงโปไปพร้อมกับเจียงชาน ด้านนอกเป็นถนนไม้กระดานและมีทะเลสาบขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นตรงหน้า เจียงชานเคยเห็นเพียงแม่น้ำชิงเจียงและแม่น้ำแยงซี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นทะเลสาบ
ไม่ว่าแม่น้ำจะกว้างใหญ่แค่ไหน เราก็ยังมองเห็นอีกด้านหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว แต่สุดลูกหูลูกตาของทะเลสาบตะวันออกเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับและสายน้ำ เจ้าตัวเล็กประหลาดใจมาก เธอกำลังจะพูดว่า “มันเป็นทะเลสาบใหญ่” จากนั้นเธอก็จำได้ว่าพ่อของเธอบอกว่าหากใช้คำว่า “ใหญ่” มาอธิบายแม่น้ำ มันจะทำให้ดูไม่มีสีสัน เธอจึงกล่าวออกมาว่า “คลื่นทะเลที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งและมีเงาลึก สุดสายตาล้วนเป็นทะเลสีเขียวมรกต ! ”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หลินเจียลี่ก็มองดูหลานสาวของเธออย่างเหลือเชื่อและพูดว่า “ชานชาน หนูท่องบทกวีได้ด้วยหรือ ! ”
เจียงชานพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ป่าป๊าเพิ่งสอนสองประโยคนี้เมื่อคืน เมื่อมองดูทะเลสาบสีเขียว หนูก็นึกขึ้นได้ทันที”
หลินเจียลี่ชื่นชมอย่างมีความสุข “ชานชานเก่งมาก ! ”
เจ้าตัวเล็กก็มีความสุขมากเช่นกัน สิ่งที่ป่าป๊าพูดนั้นถูกต้องจริง ๆ เมื่อเธอใช้บทกวีเพื่ออธิบายบางอย่าง มันจะทำให้เธอดูเหมือนผู้มีความรู้ เธอตัดสินใจว่าจะเรียนท่องบทกวีจากพ่อของเธออีก
มีเรือสำราญอยู่ที่ทะเลสาบตะวันออก หลินเจียลี่ซื้อตั๋วสองใบในราคา 1 หยวน
หลินเจียลี่พาเจียงชานขึ้นเรือแล้วถามว่า “ชานชาน หนูกลัวไหม ? ”
เจียงชานส่ายหัวแล้วพูดว่า “หนูเคยนั่งเรือแล้ว ! ”
ในความเป็นจริง การนั่งเรือที่เธอพูดถึงก็แค่เล่นบนเรือหาปลาของเจียงเสี่ยวโจว ซึ่งเรือของเจียงเสี่ยวโจวจอดอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำและไม่ได้ลอยไปไม่ถึงกลางแม่น้ำด้วยซ้ำ
เมื่อคนพายเรือลงทะเลสาบและอยู่ห่างจากคันดิน เจ้าตัวเล็กเห็นว่ามีน้ำอยู่รอบ ๆ เธอก็รู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็มั่นใจยิ่งขึ้นและเริ่มพูดคุยและหัวเราะกับหลินเจียลี่
หลินเจียลี่ถามว่า “ชานชาน หนูร้องเพลงได้ไหม ? ”
“ได้ค่ะ ! ”
“แล้วร้องเพลงอะไรได้บ้างล่ะ ? ”
เจ้าตัวเล็กมองดูทะเลสาบและคนพายเรือ แล้วร้องเพลงว่า “แม่น้ำใหญ่มีคลื่นกว้าง ลมพัดกลิ่นหอมของดอกข้าวสองข้างทาง……”
เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพลงหนึ่งในยุคนี้ เธอเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา หลินเจียลี่รู้ว่าเจียงชานยังไม่ได้ไปโรงเรียน ดังนั้นเธอจึงไม่คาดคิดว่าหลานสาวจะร้องเพลงนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะร้องเพลงตาม “ครอบครัวของฉันอาศัยอยู่บนฝั่ง คุ้นเคยกับการได้ยินเสียงคนพายเรือ คุ้นเคยกับการเห็นใบเรือสีขาวบนเรือ……”
หลังจากร้องเพลงแล้ว ทั้งคู่ก็รู้สึกสดชื่น
หลินเจียลี่พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ชานชาน หนูจะร้องเพลงอะไรอีก มาร้องเพลงด้วยกันอีกสิ”
เจียงชานคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วร้องเพลง “มีอุปสรรคมากมายในชิงซาน และลมก็พัดแรง เมฆขาวที่พาดผ่านยอดเขายังถ่ายทอดความรู้สึกได้ ผืนน้ำมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ น้ำใสและน้ำนิ่ง ความอ่อนโยนเปรียบเสมือนสายน้ำ ปลายเส้นทางอุปสรรคที่ยาวไกล……จะมีรักรออยู่”
หลินเจียลี่ตะลึง เธอรู้จักเพลงนี้ มันเป็นเพลงจากฮ่องกงและไต้หวัน ชื่อ “ความรักและความหลงใหล” เป็นที่นิยมมากในมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง เธอไม่คาดคิดว่าหลานสาวของเธอจะร้องเพลงฮิตนี้ได้
หลังจากที่เจียงชานร้องเพลงเสร็จแล้ว หลินเจียลี่ก็ถามอย่างสงสัย “ชานชาน ทำไมหนูถึงร้องเพลงนี้ได้ล่ะ ? ”
เจียงชานกล่าวว่า “ป่าป๊าซื้อเครื่องเล่นเทปให้อาชิงและเทปเพลงอีกเพียบเลยค่ะ อาชิงสอนหนูร้อง”
หลินเจียลี่รู้สึกอิจฉา เธอไม่คิดว่าเจียงเสี่ยวชิงจะมีเครื่องเล่นเทป เธอคิดจะซื้อมันมานานแล้ว แต่ก็ยังทำใจใช้เงินซื้อไม่ได้
ทันใดนั้น เธอก็จำได้ว่ากล้องที่เธอใช้นั้นเป็นของขวัญจากเจียงเสี่ยวไป๋ด้วย
ไม่กี่วันหลังจากที่เธอใช้ไม้กวาดไล่ตีเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงเสี่ยวชิงได้หิ้วถุงพลาสติกสะดวกซื้อมาให้เธอ ในนั้นมีทั้งกระโปรง กล้องถ่ายรูป ม้วนฟิล์ม และนาฬิกาผู้หญิงยี่ห้อโอเมก้า โดยบอกว่า เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อให้เธอ
ตอนนั้นเธอไม่อยากรับมัน แต่เจียงเสี่ยวชิงยัดใส่มือเธอแล้วเดินจากไป เธอจึงต้องรับมันไป
ต่อมาเธอโทรหาหลิวอี้ถิงและก็ถูกแม่ของเธออบรมสั่งสอน และบอกให้เธอเคารพพี่เขยของเธอ ทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้พ่อแม่และพี่เขยของเธอคืนดีกันแล้ว
ในขณะที่เธอยินดีกับพี่สาวของเธอ เธอก็ยิ่งโกรธเจียงเสี่ยวไป๋มากขึ้น
เป็นพี่เขยประสาอะไร ถึงได้กล้าฟ้องเธอ !
เมื่อเห็นถุงของที่เจียงเสี่ยวชิงส่งมาอีกครั้ง ฮึ่ม เขาอยากจะติดสินบนฉันด้วยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้หรือ ? เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ ค่าชดเชยสำหรับการที่เขาไปฟ้องแม่ของเธอ ของแค่นี้ยังไม่เพียงพอหรอกนะ !
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเริ่มใช้มัน
ตอนนี้เธอสวมนาฬิกาโอเมก้าอยู่ในมือ เมื่อเธอพาหลานสาวออกไปเที่ยวเล่น เธอก็หยิบกล้องมาด้วย
ต่อมา เธอสอบถามและพบว่ากล้องฟิล์มนี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด Seagull DF ซึ่งมีราคามากกว่า 500 หยวน และนาฬิกาโอเมก้าที่เธอสวมอยู่มีราคา 1,100 หยวน !
ในเวลานั้น เธอเชื่อคำพูดของผู้เป็นแม่สนิทใจ แม่บอกว่าหลินเจียอินพี่สาวของเธอกำลังมีชีวิตที่สุขสบายและมั่งคั่ง
หลังจากทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด หลินเจียลี่ก็มองไปที่กล้องฟิล์มรุ่น Seagull DF ในมือของเธอแล้วพูดกับเจียงชานว่า “ชานชานร้องเพลงอีกเพลง แล้วน้าจะถ่ายรูปให้หนู ! ”