ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 390 :ซื้อกลับไปเป็นของเล่นให้หนูได้ไหม
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 390 :ซื้อกลับไปเป็นของเล่นให้หนูได้ไหม
ตอนที่ 390 :ซื้อกลับไปเป็นของเล่นให้หนูได้ไหม
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋พาเจียงชานไปวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าที่สนามด้านข้างเกสเฮาส์หงซาน
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เจ้าตัวเล็กก็หายใจหอบและเริ่มบ่นเจ็บขา “ป่าป๊าคะ หนูวิ่งไม่ไหวแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เมื่อวานหนูวิ่งครึ่งชั่วโมง และวันนี้หนูก็วิ่งครึ่งชั่วโมงด้วย หากหนูหยุดในเวลานี้ ก็เท่ากับว่าหนูทำซ้ำสิ่งที่หนูทำเมื่อวานนี้ เหตุผลที่คนส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา ไม่มีความก้าวหน้า ก็เพราะพวกเขาทำแต่สิ่งที่ทำเมื่อวานซ้ำ ๆ ทุกวัน”
“ชานชาน หนูอยากเป็นคนธรรมดาหรืออยากเป็นคนที่ไล่ตามความก้าวหน้าทุกวัน ? ”
เจียงชานอ้าปากค้างและพูดว่า “แน่นอน หนูต้องอยากไล่ตามความก้าวหน้าอยู่แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็วิ่งต่อไปอีก 5 นาที ถ้าวันนี้หนูวิ่งมากกว่าเมื่อวาน 5 นาที หนูจะไม่ได้ทำซ้ำสิ่งที่หนูทำเมื่อวานนี้ หนูกำลังมีความก้าวหน้า เข้าใจไหม ? ”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้า “หนูเข้าใจค่ะ แต่หนูเหนื่อยมากจริง ๆ นะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ชานชาน ความเหนื่อยล้าเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง แต่ความเจ็บปวดคือสิ่งที่ต้องแลกกับความก้าวหน้าของหนู”
เรื่องการยอมเสียหนึ่งสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งหนึ่งนั้น เจียงชานน้อยยังคงไม่เข้าใจเรื่องซับซ้อนพวกนี้
แต่ ‘สิ่งที่ต้องแลก’ เป็นหลักสูตรที่จำเป็นในชีวิต
ในโลกนี้ ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเราจะเลือกอะไร เราจะต้องยอมเสียในสิ่งที่สอดคล้องกัน
หากเราเลือกที่จะสู้ สิ่งที่เราต้องแลกคือการทำงานหนักและลดเวลาในการสนุกกับชีวิต หากเราเลือกที่จะนอน ไม่ทำงาน สิ่งที่ต้องแลกมาอาจเป็นคุณภาพชีวิตในอนาคตของเราหรือโอกาสในชีวิต
ทุกอย่างจะมีราคาในตัวของมันเอง
ทุกอย่างมีราคา แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้ และผู้ที่ตระหนักถึงสิ่งนี้จะประเมินความคิดและพฤติกรรมของตน ตัดสินใจเลือกและท้ายที่สุดจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการด้วยต้นทุนที่น้อยลง
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้โอกาสนี้ให้ความรู้แก่ลูกสาวเรื่อง ‘การตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ต้องแลก’ ในขณะที่บอกเหตุผลง่าย ๆ บางอย่างแก่ลูกสาวของเขา แล้วกระตุ้นให้เธอวิ่งต่อไปอีก 5 นาที
“ดูสิ วันนี้เราวิ่งเพิ่มอีก 5 นาที ! ”
เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ให้ลูกสาวของเขาหยุดวิ่งแล้วเปลี่ยนมาเดินช้า ๆ แทน ก่อนที่จะเอ่ยปากชื่นชมเธอ
“ป่าป๊าคะ วันนี้หนูมีความก้าวหน้าบ้างไหม ? ” เจ้าตัวเล็กถามด้วยความเมื่อยล้า
“หนูก้าวหน้าแล้ว ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและกล่าวว่า “ดูสิ เราวิ่งนานขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เราได้รับความสุขจากความก้าวหน้า ความรู้สึกของความสำเร็จ และสมรรถภาพทางกายที่ดีขึ้น มันเยี่ยมยอดมากเลยใช่ไหมล่ะ ! ”
“หนูก็ว่ามันค่อนข้างดีเหมือนกัน ! ” เจ้าตัวเล็กพูดอย่างมีความสุข
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้มาวิ่งเพิ่มอีก 5 นาทีและก้าวหน้าไปทีละเล็กละน้อยทุก ๆ วัน เมื่อทำสะสมอย่างต่อเนื่อง ความก้าวหน้าของเราก็จะยิ่งใหญ่แล้ว ! ”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ไม่นานนัก เจ้าตัวเล็กก็ดูสงสัยและเริ่มนับนิ้ว “วิ่งเพิ่มวันละ 5 นาที วิ่ง 10 วันก็เพิ่มไป 50 นาที วิ่ง 100 วัน เท่ากับเพิ่มไป 500 นาที วิ่ง 1 ปี……”
หลังจากคำนวนได้สักพัก จู่ ๆ เธอก็อุทานออกมา “ป่าป๊า แบบนี้ในอนาคตหนูไม่ต้องวิ่งตลอดทั้งวันเลยหรือคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเสียงดัง เขาลูบหัวลูกสาวของเขาแล้วพูดว่า “ชานชาน ความคืบหน้าในการวิ่งตอนเช้าไม่ได้หมายถึงการเพิ่มเวลาวิ่งตลอดเวลา เพราะชีวิตของเรามีอะไรให้ทำมากกว่าแค่การวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า”
“เมื่อเราวิ่งได้หนึ่งชั่วโมง ความก้าวหน้าที่เราไล่ตามไม่ใช่เวลา แต่เป็นความเร็ว หากวันนี้เราวิ่งเร็วกว่าเมื่อวาน นั่นก็คือความก้าวหน้าเช่นกัน”
“การเพิ่มความเร็วในการวิ่งกับการเพิ่มเวลาในการวิ่งล้วนเป็นความก้าวหน้าได้เหมือนกัน เมื่อความเร็วถึงระดับหนึ่ง เราจะต้องติดตามประสิทธิภาพการวิ่ง เช่น วิธีวิ่งอย่างไรให้ง่ายขึ้น และแม้แต่สามารถเรียนรู้ความรู้บางอย่างขณะที่เราวิ่ง”
“สรุปก็คือ ทิศทางความก้าวหน้าของเราไม่คงที่และต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และเป้าหมายของเราเอง”
“……”
เขาสอนลูกสาวของเขาให้เข้าใจทีละน้อย และทั้งสองก็เดินกลับไปที่ห้องพักอย่างช้า ๆ
ขั้นตอนแรก เขานวดน่องของลูกสาวเพื่อบรรเทาอาการเจ็บกล้ามเนื้อ จากนั้นให้เธออาบน้ำ หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาลูกสาวไปหามื้อเช้ากิน
อาหารเช้าในเจียงเฉิงส่วนใหญ่จะเป็นบะหมี่แห้งร้อน ๆ ค่อนข้างเรียบง่าย เจียงเสี่ยวไป๋เพิ่มขาไก่และไข่ดาวให้ลูกสาวของเขา
“หนูยังชอบอาหารเช้าที่ป่าป๊าทำ ! ” เจียงชานกล่าวขณะกินอาหาร
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ป่าป๊าก็ชอบทำอาหารเช้าให้หนูเหมือนกัน แต่เรากำลังเดินทาง ฉะนั้นเราควร……”
เจียงชานกล่าวว่า “ลิ้มรสอาหารท้องถิ่น ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าเห็นด้วย หลังจากกินอาหารเช้ากับลูกสาวแล้ว เขาก็นึกขึ้นได้ว่าจะออกเดินทางในตอนเที่ยง เขาจึงขับรถพาเจียงชานไปที่พิพิธภัณฑ์ประจำมณฑลจีนตอนกลาง
ประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของจีนนั้นยิ่งใหญ่และลึกซึ้ง และพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นเสมือนโลกขนาดเล็กที่รวบรวมร่องรอยทางประวัติศาสตร์ เป็นที่รวบรวมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม คุณสามารถชมโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมภายในได้ ให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษย์ ได้เข้าใจกระบวนการพัฒนาประวัติศาสตร์ศิลปะ ได้ทำความเข้าใจว่าวัตถุใดมีบทบาทสำคัญในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ขณะเดียวกันก็เข้าใจประวัติศาสตร์ของโลกธรรมชาติและเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวิวัฒนาการของธรรมชาติ
ในพิพิธภัณฑ์ เด็ก ๆ จะได้ชมนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับศิลปะมากมาย และพวกเขาสามารถรับรู้ถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์อย่างละเอียด ซึ่งกำหนดมาตรฐานความงามสำหรับเด็ก ช่วยให้พวกเขารู้ว่าความงามคืออะไรและเรียนรู้วิธีชื่นชมความงามนั้น
แน่นอนว่ากระบวนการนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน
แต่ตราบใดที่มาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่าก็จะค่อย ๆ ส่งผลต่อเด็กไปเอง
เจียงเสี่ยวไป๋พาเจียงชานไปที่พิพิธภัณฑ์เพื่อไปดูชุดระฆังทองสัมฤทธิ์เปียนจง เครื่องเคาะเปียนชิง โถน้ำเหลียนจิ้น ภาชนะโฝ่วต้าจุน รูปหล่อสัมฤทธิ์กระเรียนเขากวาง โฝ่วสัมฤทธิ์ เข็มขัดหยกลายมังกร ชุดชามทองคำลายริ้วเมฆ ขวานพิธีหยกในยุคราชวงศ์ซาง หัวเข็มขัดเหล็กหลงเฟิ่งในยุคจ้านกั๋ว ฉากไม้แกะสลักรูปกวาง เครื่องเขินลายโบราณยุคราชวงศ์ฮั่นและซีกไม้จดบันทึกฉินเจี่ยนอวิ๋นเมิ่ง
เขาพาลูกสาวเดินชมและอธิบายไปพร้อม ๆ กัน เขาเดินไปรอบๆ ประมาณ 3 ชั่วโมงและออกเดินทางก่อนเที่ยงตรง
หลังออกจากประตูพิพิธภัณฑ์ เจียงชานก็มองดูเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยดวงตากลมโตและพูดว่า “ป่าป๊า ของพวกนั้นสวยมากเลยค่ะ ซื้อกลับไปเป็นของเล่นให้หนูได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึง เขาพาลูกสาวมาชมพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่มาเดินช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า
เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ป่าป๊าซื้อไม่ได้ ! ”
เจ้าตัวเล็กเอียงคอถามอย่างสงสัย “ป่าป๊าไม่มีเงินพอหรือคะ? ถ้าอย่างนั้นป่าป๊าก็ต้องหาเงินเพิ่มเพื่อซื้อของเล่นพวกนั้นให้หนู ! ”
หนูน้อยดูเสียใจมาก
เจียงเสี่ยวไป๋สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพูดว่า “ชานชาน ของในพิพิธภัณฑ์เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและมีไว้เพื่อให้ทุกคนได้ไปเยี่ยมชม ของเหล่านั้นไม่สามารถซื้อกลับบ้านได้ ! ”
“ถ้ามีเงินก็ซื้อไม่ได้หรือคะ?” เจ้าตัวเล็กสับสนเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่สามารถลืม ‘ของเล่นแสนสวย’ เหล่านั้นได้
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างขมขื่น แต่ยังคงอธิบายอย่างอดทนว่า “ชานชาน เงินสามารถซื้อสิ่งของได้เกือบทุกอย่างในโลกนี้ แต่ก็มีบางสิ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน”
เจ้าตัวเล็กขานรับและพูดโดยไม่สนใจสิ่งที่พ่อของเธออธิบาย “ตอนแรกหนูคิดว่าถ้ามีเงินก็ซื้อได้”
เจียงเสี่ยวไป๋พาเจียงชานขึ้นรถและสอนลูกสาวของเธอถึงมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงินตลอดทาง
เขาบอกลูกสาวว่าผู้คนจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเงิน แต่เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมความมั่งคั่ง และมนุษย์เราก็ไม่ควรที่จะตกเป็นทาสของเงิน
แม้ว่าลูกสาวของเขาจะยังไม่เข้าใจถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ในตอนนี้ แต่เขายังต้องสอนให้ลูกสาวของเขามีวิจารณญาณที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงินตั้งแต่อายุยังน้อย