ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 391 :แม้ว่ายน้ำเก่งก็จมน้ำได้
ตอนที่ 391 :แม้ว่ายน้ำเก่งก็จมน้ำได้
เมื่อพ่อและลูกสาวมาถึงเกสเฮาส์หงซาน หลินเจียจวินและถังเสี่ยวโจวก็รออยู่ที่ล็อบบี้ต้อนรับแล้ว
“ร้อนขนาดนี้ นายพาชานชานไปเที่ยวเล่นที่ไหนมา ? ” หลินเจียจวินถามด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ว่า “ผมพาเธอไปพิพิธภัณฑ์มาน่ะครับ”
หลินเจียจวินตกตะลึงและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “เธอยังเด็กมาก พาเธอไปดูมรดกทางวัฒนธรรมที่พิพิธภัณฑ์ เธอจะเข้าใจหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “เพราะไม่เข้าใจ ผมถึงต้องพาไปเที่ยวชม ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าเข้าใจหรือไม่ สิ่งสำคัญคือการได้เห็นมัน ถ้าเธอเห็นมันแล้วเกิดความสนใจ เธอก็จะศึกษามันเองในภายหลัง ! ”
หลินเจียจวินยิ้มและถามเจียงชานไปว่า “ชานชาน หนูไปพิพิธภัณฑ์มาแล้ว หนูรู้สึกสนใจมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านั้นไหม ? ”
เจียงชานพยักหน้าอย่างจริงจัง และตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ “สนใจค่ะ หนูอยากให้ป่าป๊าซื้อไปเป็นของเล่นให้หนู แต่ป่าป๊าบอกว่าต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า……”
หลินเจียจวินหัวเราะจนท้องแข็ง !
ถังเสี่ยวโจวเองก็รู้สึกขบขันไม่ต่างกัน
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเจียจวินก็หยุดและยกนิ้วให้เจียงชานราวกับว่า: ยอมใจจริง ๆ หนูเก่งกว่าฉัน
หลังจากหยอกล้อกันสักพัก เจียงเสี่ยวไป๋ก็กลับไปที่ห้องของเขาเพื่อเก็บของและบอกลา หลังจากเช็คเอาท์ ทั้งสามคนก็ขึ้นรถจี๊ปของหลินเจียจวินออกไป
เป็นเพราะจะทำปูอบน้ำมัน เจียงเสี่ยวไป๋จึงขอให้หลินเจียจวินแวะที่ตลาดผักก่อนเพื่อซื้อเครื่องปรุง และวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น โป๊ยกั้ก อบเชย ใบกระวาน พริกไทย และส่วนผสมอื่น ๆ รวมถึงพริกชนิดต่าง ๆ ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบเหลียงจือ
ประมาณ 2 ชั่วโมงต่อมา รถจี๊ปก็มาถึงท่าเรือโม๋เตาจีในทะเลสาบเหลียงจือ
ถังเสี่ยวโจวคุ้นเคยกับสถานที่นี้ดี ในไม่ช้า พวกเขาก็พบกับเรือลำหนึ่ง ทั้งสามจึงถือกระเป๋าเดินทางเดินไปที่เรือนั้น หลินเจียจวินถือถุงวัตถุดิบที่ซื้อมาจากตลาดสองถุง ก่อนที่ทั้งสี่คนจะขึ้นเรือไปกลางทะเลสาบ
เมื่อวานเจียงซานได้ไปเห็นทะเลสาบตะวันออก แต่ทะเลสาบเหลียงจือนั้นใหญ่กว่าและงดงามกว่ามากเมื่อเทียบกัน เมื่อมองดูคร่าว ๆ จะเห็นน้ำทะเลสาบสีใส ยิ่งกว่านั้น น้ำในทะเลสาบเหลียงจือยังใสกว่าทะเลสาบตะวันออกอย่างมาก ทำให้หนูน้อยรู้สึกทึ่งมาก
เรือแล่นไปประมาณสิบนาที ไม่นาน เกาะเหลียงจือก็ปรากฏต่อหน้าพวกเขา เกาะทั้งเกาะดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกบาง ๆ มีทะเลสาบและภูเขาเชื่อมต่อกัน น้ำและท้องฟ้าเชื่อมต่อกัน คลื่นสีฟ้ากระเพื่อมสะท้อนกับแสงอาทิตย์ มันทั้งงดงามและน่าตื่นตาตื่นใจมาก
หลังจากมาถึงเกาะ ถังเสี่ยวโจวก็พาทั้งสามคนไปที่ถนนชิงฉือปาน
ถนนชิงฉือปานเป็นถนนไปถึงบ้านแม่ของถังเสี่ยวโจว และเป็นหนึ่งในถนนที่เก่าแก่ที่สุดในเกาะเหลียงจือ ว่ากันว่าในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง มีร้านค้ามากมายอยู่ทั้งสองฝั่งของถนน มีพ่อค้าแม่ค้ามารวมตัวกันขายของที่นั่น ทว่าตอนนี้กลับเป็นเพียงตรอกเก่า ๆ ที่มีบ้านหลังเก่าอยู่มากมาย ดูแล้วหดหู่ไม่น้อย
พวกเขาเดินตามกันไปที่บ้านหลังเก่าด้วยความทุลักทุเล
“พี่ซิ่นหนาน พี่ซิ่นหนาน ! ”
ถังเสี่ยวโจวตะโกนสองสามครั้ง ไม่นาน ชายคนหนึ่งในวัยประมาณ 30 ปีก็ออกมา เขาสวมเสื้อกล้ามแขนกุดสีเทา
“เสี่ยวโจว นายจะมาทำไมไม่บอก ? ”
เมื่อผู่ซินหนานเห็นถังเสี่ยวโจว เขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะก็มองไปยังกลุ่มคนที่มากับถังเสี่ยวโจว เขาจึงรีบติดกระดุมเสื้อสเวตเตอร์ของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะมีแขก ต้องขอโทษด้วยที่ทำตัวหยาบคายไปหน่อย เข้ามาข้างในก่อน”
ถังเสี่ยวโจวโบกมือเพื่อแสดงว่าเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร แล้วพูดว่า “ผมว่าจะพาเพื่อนมาอยู่ที่บ้านพี่สักสองวัน”
ผู่ซินหนานเชิญคนสองสามคนเข้าไปในบ้านแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับ นายกับเพื่อนสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่ต้องการเลย เพียงแต่บ้านของเรานั้นเรียบง่ายและไม่มีที่ให้ความบันเทิง บางเวลาฉันก็ไปที่ทะเลสาบเพื่อจับปลาเอามาทำอาหาร”
หลินเจียจวินยกถุงวัตถุดิบและเครื่องปรุงขนาดใหญ่สองถุงในมือของเขาขึ้นมา แล้วพูดว่า “ดีเลย จับปลากับกุ้งมาเยอะ ๆ เลยนะ เดี๋ยวฉันตามไปด้วย วันนี้เรานำเครื่องปรุงพิเศษมาด้วย”
ถังเสี่ยวโจวกล่าวต่อ “พี่ซิ่นหนาน พี่ช่วยพาเราไปจับปูด้วยได้ไหม ? เรามาที่นี่เพื่อกินปูโดยเฉพาะเลยนะ”
ผู่ซิ่นหนานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และถามด้วยความสับสนว่า “ปูมีอะไรอร่อยกัน ? ทั้งไม่มีเนื้อ อีกทั้งกระดองมีแต่รสเค็มของน้ำทะเล”
ถังเสี่ยวโจวเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วพูดอย่างมั่นใจ “พี่ซิ่นหนาน พี่ได้ลองกินแล้วจะรู้เอง”
ผู่ซิ่นหนานรู้สึกสงสัยและเชิญให้พวกเขานั่งลงคุยกันก่อน
หลังจากชงชาแล้ว เขาก็พูดว่า “เสี่ยวโจว นั่งพักก่อนเถอะ ภรรยาของฉันเพิ่งออกไปทำนา ฉันจะไปเรียกเธอให้กลับมาทำอาหารให้นายและเพื่อนทานเอง”
หลินเจียจวินพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอกครับ คุณแค่พาเราไปจับปูก็พอ”
ผู่ซิ่นหนานมองไปที่ถังเสี่ยวโจว และเห็นถังเสี่ยวโจวพยักหน้า เขาจึงตกลง
ดังนั้น ทั้งสี่จึงพาเจียงชานเดินไปที่ทะเลสาบอีกครั้ง
ในวันธรรมดา ผู่ซิ่นหนานก็มักจะไปตกปลาในทะเลสาบเหลียงจือเป็นประจำ ครอบครัวของเขามีเรือประมงจอดอยู่ข้างทะเลสาบ มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งอวนจับปลา กระชอน และถังใส่ปลา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเอาของลงเรือ
หลังจากขึ้นเรือแล้ว หลินเจียจวินก็เริ่มพายโดยปล่อยให้ผู่ซิ่นหนานทอดแหหาปลา
ชาวประมงที่ทอดแหในทะเลสาบแห่งนี้มักจะจับได้แต่ปลาและกุ้งเป็นจำนวนมาก แต่มักจะได้ปูแค่สองสามตัวเท่านั้น
ถังเสี่ยวโจวพูดด้วยท่าทีผิดหวังเล็กน้อย “ในทะเลสาบมีปูน้อยขนาดนั้นเลยหรือ ? ”
ผู่ซิ่นหนานยิ้ม เขาพูดว่า “ไม่หรอก การจับปูแตกต่างจากการจับปลา หากต้องการจับปู เราต้องวางลอบในน้ำตื้นช่วงกลางคืน พอตอนเช้าก็ออกไปดูลอบที่เราดักไว้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ถังเสี่ยวโจวไม่เข้าใจ จึงถามว่า “แล้วถ้าอยากจับให้ได้เยอะ ๆ ต้องทำอย่างไร ? ”
ผู่ซิ่นหนานกล่าวว่า “ถ้าจะจับปูต้องเข้าฝั่ง แม้ว่าจะยังไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ของปู แต่ก็หาจับได้ในบริเวณน้ำตื้นริมทะเลสาบ แต่ถ้าเป็นเดือนสิบก็จะมีมากกว่านี้”
เดือนสิบที่เขากล่าวถึงไม่ใช่เดือนตามปฏิทินสุริยคติ แต่เป็นเดือนสิบของปฏิทินจันทรคติ ซึ่งจะมีเวลาต่างกันประมาณหนึ่งเดือน
หลินเจียจวินจึงหันหัวเรือกลับไปที่ฝั่งในไม่ช้า
ผู่ซิ่นหนานหยิบลอบดักปูลงไปในน้ำเพื่อที่จะดักปูเอาไว้
หลินเจียจวินและถังเสี่ยวโจวก็ลงไปในน้ำด้วย เจียงชานอยากลงไปเล่นน้ำเช่นกัน เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปเจอที่ตื้นเพื่อให้เธอเล่นได้ ตอนนี้ไม่สำคัญว่าจะจับปูได้หรือเปล่า อากาศร้อนแบบนี้ เด็กน้อยอย่างเจียงชานก็อยากจะลงไปเล่นน้ำเพื่อให้สดชื่นเป็นธรรมดา
คงจะดีไม่น้อยหากได้สอนเธอว่ายน้ำระหว่างนี้ไปด้วย
เจ้าตัวน้อยสนุกกับการเล่นน้ำเป็นอย่างมาก พอใกล้ค่ำ เธอก็สามารถกระโดดลงไปว่ายน้ำเหมือนสุนัขลอยคอได้แล้ว
“ป่าป๊าคะ เล่นน้ำสนุกมาก ทำไมก่อนหน้านี้ไม่ให้หนูเล่นน้ำในแม่น้ำชิงเจียงล่ะคะ ? ”
หลังจากขึ้นฝั่งแล้ว ร่างเล็กยังคงมองย้อนกลับไปที่ทะเลสาบด้วยสีหน้าเสียดาย และถามออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างรวดเร็วง่า “การว่ายน้ำในแม่น้ำอันตรายมาก นับจากนี้ไปถ้าพ่อไม่อยู่กับหนู หนูจะไม่ได้รับอนุญาตให้ว่ายน้ำคนเดียวเด็ดขาด”
เด็กน้อยพยักหน้ารับด้วยสีหน้าผิดหวัง เธอพูดเสียงแผ่วว่า “ถ้าอย่างนั้น ต่อให้หนูว่ายน้ำเป็นก็ไม่ได้หรือคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยท่าทีจริงจังว่า “ชานชาน หนูยังเด็กอยู่ ยังไม่สามารถตัดสินอันตรายตรงหน้าได้ ดังนั้นหนูจึงไม่สามารถเล่นน้ำตอนที่ไม่มีผู้ใหญ่ดูแล”
“ถึงแม้หนูจะโตขึ้นและสามารถรับรู้ถึงอันตรายได้ แต่ก็ยังต้องประเมินความสามารถของตัวเองด้วย หนูไม่รู้หรอกว่าคนที่ว่ายน้ำเก่งที่สุดก็ตายเพราะจมน้ำได้เช่นกัน”
เจียงซานสับสนและพูดว่า “ป่าป๊าคะ ป่าป๊ากำลังจะบอกว่า คนที่ว่ายน้ำเก่งก็สามารถจมน้ำได้ใช่ไหมคะ ? ”
“ถ้าอย่างนั้น ปลาก็ว่ายเก่ง แต่ทำไมมันถึงไม่จมน้ำล่ะคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เลิกคิ้วขึ้นและอธิบายว่า “คนที่ว่ายน้ำเก่งก็จมน้ำได้ ไม่ได้หมายความว่าคนที่ว่ายน้ำเก่งจะจมอยู่ในน้ำ ประโยคนี้หมายความว่าคนที่ว่ายน้ำเก่งมักจมน้ำตายมากกว่าคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น เพราะคนว่ายน้ำไม่เป็นมักไม่เล่นน้ำหรืออยู่ใกล้ริมน้ำ”
“คนที่ว่ายน้ำได้มักจะชอบว่ายน้ำเพราะว่ายได้ แต่ธรรมชาติเต็มไปด้วยอันตราย แม้แต่คนที่ว่ายน้ำเก่งก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของตัวเองได้เมื่ออยู่ในน้ำ”
“ประโยคนี้บอกความจริงอย่างหนึ่งแก่เรา ผู้คนมักจะประมาทในสิ่งที่คิดว่าตนเองชำนาญแล้ว ! ”
ไม่ว่าลูกสาวของเขาจะเข้าใจหลักการเหล่านี้ได้มากแค่ไหน แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็จะยอมอดทนอธิบายหลักการเหล่านี้ ตราบเท่าที่เขามีโอกาส