ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 392 :มื้อนี้มีแต่ปู
ตอนที่ 392 :มื้อนี้มีแต่ปู
คนทั้งสามช่วยกันจับปูอยู่ริมตลิ่ง ซึ่งตอนนี้ก็จับได้ไม่น้อย พวกเขาจับปูได้เกือบ 50 ตัวแล้ว
ผู่ซิ่นหนานและหลินเจียจวินมีความสุขมาก แต่ถังเสี่ยวโจวกลับยังไม่พอใจ เฮ้อ…… ฉันไม่รู้ว่าปู 50 ตัวพวกนี้จะพอกินไหม ?
เขารู้รสมือของเจียงเสี่ยวไป๋ดี
เมื่อเห็นเขาถอนหายใจ ผู่ซิ่นหนานก็พูดว่า “เราจับปูได้มากมาย พอกินไปได้หลายมื้อเลย งั้นกลับกันเถอะ ! ”
ถังเสี่ยวโจวเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว เขาจึงต้องปล่อยเลยตามเลย
พวกเขาทั้งสามเดินไปหยิบถังใส่ปลาและกุ้งที่จับไว้บนเรือประมง และเรียกเจียงเสี่ยวไป๋กับลูกสาวของเขาเดินกลับไปที่บ้านของผู่ซิ่นหนานด้วยกัน
ระหว่างทาง ก็ได้พบกับชาวบ้านหลายคนที่อยากรู้อยากเห็นว่าผู่ซิ่นหนานจับปูมามากมายขนาดนี้ไปทำอะไร
“ซิ่นหนาน จับปูไปทำอะไรมากมายขนาดนี้ ! ”
“เสี่ยวผู่ มีแขกมาบ้านทั้งที ทำไมไม่ไปจับปลาอู่ชางมาให้พวกเขากิน จับปูมาขนาดนี้เอาไปทำอะไร ? ”
“ซิ่นหนาน…”
“……”
ผู่ซิ่นหนานรู้สึกเขินอายที่ถูกเพื่อนบ้านรุมถามตลอดทาง แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อยตลอดทางที่กลับบ้าน
เมื่อพวกเขาทั้งห้ากลับมาถึงบ้าน จงซิ่วหง ภรรยาของผู่ซิ่นหนานก็กลับมาจากท้องนาพอดี ส่วนลูกสองคนของพวกเขา ผู่เสี่ยวหยูและผู่เสี่ยวเซี๋ยก็กลับมาจากโรงเรียนแล้วเช่นกัน
เมื่อจงซิ่วหงเห็นถังเสี่ยวโจวและคนอื่น ๆ เธอก็กล่าวทักทายและดึงผู่ซิ่นหนานเข้าไปในครัวและบ่นว่า “เสี่ยวโจวและแขกคนอื่นอยู่ที่นี่ แต่คุณไม่บอกฉันล่วงหน้าสักคำ ฉันจะได้ไปซื้อหมูมาทำอาหารให้พวกเขา นี่อะไรกัน ได้แต่ปลากับกุ้งมา”
ผู่ซิ่นหนานพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ช่างพวกเขาเถอะ เสี่ยวโจวบอกว่าพวกเขาอยากจะทำอาหารกินเอง”
จงซิ่วหงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณจะปล่อยให้พวกเขาทำอาหารกินเองได้อย่างไร พวกเขาเป็นแขก ? ลืมไปแล้วหรือ เย็นนี้ไม่ทันแล้ว ไว้พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปซื้อเนื้อมาทำอาหารให้พวกเขาก็แล้วกัน……”
ถังเสี่ยวโจวเปิดม่านและเดินเข้าไปในครัว เขาบังเอิญได้ยินพี่สะใภ้ของเขาบ่นผู่ซิ่นหนาน เขาจึงพูดว่า “พี่ อย่าว่าพี่ชิ่นหนานเลย คืนนี้ไม่ต้องทำอะไรให้เราหรอก ขอแค่ให้ยืมเตาก็พอ แล้วรอกินอาหารเย็นด้วยกันเลย”
ในขณะที่พูด เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินเข้ามาในครัว พร้อมกับถุงวัตถุดิบสองถุง ส่วนหลินเจียจวินก็ถือตะกร้าปูขนาดใหญ่ พร้อมทั้งถังที่มีปลาและกุ้งอีกหนึ่งถัง
เมื่อจงซิ่วหงเห็นแบบนี้ เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ทำอาหาร ส่วนฉันจะช่วยจุดไฟให้”
“เอาล่ะ งั้นตามสบายเลยครับพี่สะใภ้ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วย ท้ายที่สุดเขาก็ได้มาทำอาหารในสถานที่แปลก ๆ ซึ่งมีเครื่องใช้หลายอย่างที่เขาไม่คุ้นชิน
ส่งผลให้ตอนนี้มีคนหลายคนวุ่นวายอยู่ในห้องครัวเล็ก ๆ
ผู่ซิ่นหนานและหลินเจียจวินกำลังฆ่าปลาและล้างกุ้ง ในขณะที่จงซิ่วหงกำลังก่อไฟ มีเพียงถังเสี่ยวโจวเท่านั้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนดู
เจียงเสี่ยวไป๋ถามจงซิ่วหงไปว่า “พี่สะใภ้ ที่บ้านพี่มีหม้อตุ๋นไหม ? ”
จงซิ่วหงพยักหน้า “มีหม้อตุ๋นอยู่ จะเอาไหม ฉันจะไปเอามาให้”
“เอาครับ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูด “เอาข้าวมาด้วย ผมจะทำโจ๊ก”
ทะเลสาบเหลียงจือเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ แม้แต่ในพื้นที่ชนบท สภาพความเป็นอยู่ก็ยังดีกว่าพื้นที่ชนบทของเมืองชิงโจวมาก ในยุคนี้เกษตรกรส่วนใหญ่ในชิงโจวนิยมกินมันเทศ มันฝรั่งหรือแป้งข้าวโพดแทนข้าว แต่คนแถบทะเลสาบเหลียงจือไม่ได้ปลูกข้าวโพด ทุกครอบครัวกินข้าวเพราะทำนา
ถังเสี่ยวโจวสนใจแค่วิธีทำปูเท่านั้น เขาจึงพูดด้วยความสงสัยว่า “ทำไมคุณถึงจะทำโจ๊กล่ะ ? คุณไม่ทำปูผัดรสเผ็ดหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คลี่ยิ้ม “ปูทำได้หลายเมนู คืนนี้ผมว่าจะทำโจ๊กปู ปูผัดเซียงล่า และปูนึ่ง ! ”
“อ้อ ได้สิ ขอแค่มีเมนูปูผัดเซียงล่าก็เพียงพอแล้ว ! ” ถังเสี่ยวโจวดีใจมาก เขารอคอยเมนูนี้อย่างใจจดใจจ่อ
มีปูตัวใหญ่ 50 ตัว เจียงเสี่ยวไป๋จึงเลือกปูตัวเมียสองสามตัวและกุ้งบางตัวมาใส่ในโจ๊ก เมื่อนับว่ามีผู้ใหญ่และเด็กรวมกัน 8 คน เขาจึงเลือกปูตัวเมีย 16 ตัวและปูตัวผู้ 8 ตัวมาทำปูนึ่ง ส่วนปูที่เหลือก็เอามาทำปูผัดเซียงล่า
ถังเสี่ยวโจวเห็นเขาหยิบปูขึ้นมาเลือกแล้วเลือกอีก จึงถามด้วยความสงสัย “พวกมันคือปูเหมือนกัน คุณจะเลือกไปทำไม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงอธิบายให้เขาฟัง “เลือกดูปูตัวผู้กับปูตัวเมีย”
ถังเสี่ยวโจวอุทานด้วยความสงสัย “นี่คุณแยกมันออกด้วยหรือ ? ”
แม้แต่ผู่ซิ่นหนานก็มองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสีหน้าแปลก ๆ เขาจับปูมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยสนใจที่แยกว่าปูตัวไหนตัวผู้ ปูตัวไหนเป็นปูตัวเมียเลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามไปว่า “แล้วจะดูความแตกต่างอย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างฉะฉานและบอกพวกเขาว่ามีสามวิธีในการแยกปูตัวผู้และตัวเมีย
ขั้นแรกให้ดูที่ส่วนท้อง โดยทั่วไปท้องของปูตัวผู้จะเป็นสามเหลี่ยม ส่วนปูตัวเมียจะมีลักษณะกลมหรือรูปไข่
ประการที่สอง ดูขาปู ปูตัวผู้จะมีขนที่ขาทั้ง 8 ขา ส่วนปูตัวเมียจะมีขนที่ขาหน้าเพียง 2 ขาเท่านั้น
อย่างที่สามคือดูไข่ปู ปูตัวเมียจะมีไข่ ซึ่งเป็นรังไข่และเซลล์ไข่ของปูตัวเมีย แต่ปูตัวผู้จะไม่มี มีแต่มันปูเท่านั้น
ผู่ซิ่นหนานมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยดวงตาที่ชื่นชม เขาพยักหน้าบ่งบอกว่าเขาเข้าใจแล้ว
หลินเจียจวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เสี่ยวไป๋ นายคัดปูแบบนี้ งั้นปูทั้งสองประเภทมีรสชาติแตกต่างกันไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มรับ “โดยทั่วไปแล้ว ปูตัวเมียจะตัวเล็กกว่าปูตัวผู้ แต่ปูตัวเมียรสชาติอร่อยกว่าปูตัวผู้ ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหม ? ว่ามีแค่ปูตัวเมียเท่านั้นที่มีไข่ปู ซึ่งไข่ปูรสชาติอร่อยที่สุดแล้ว”
ถังเสี่ยวโจวยิ้มและพูดว่า “มันคงเหมือนกับเวลาเจอไข่กุ้งตอนที่กินกุ้งอบน้ำมัน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เมื่อจงซิ่วหงเอาหม้อและข้าวมาให้ เขาก็ขอให้เธอช่วยหาแปรงและเชือกป่าน
ในยุคนี้ ผู้หญิงแถวชนบทมักจะเก็บเชือกป่านไว้มัดเป็นเชือกรองเท้าของตัวเอง จงซิ่วหงจึงหาได้อย่างรวดเร็ว
เจียงเสี่ยวไป๋ล้างปูจนสะอาดก่อน จากนั้นจึงจับตัวปูด้วยมือซ้าย โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่โบ้งกดที่ด้านหลังของปู ดึงขาของปูและก้ามใหญ่สองอันชิดกับตัวแล้วเอาเชือกป่านผูกรัดก้ามสองครั้ง จากนั้นก็ผูกแนวตั้ง และสุดท้ายก็ผูกปมลื่น
ในขณะที่เขากำลังมัดปูอยู่นั้น ถังเสี่ยวโจว หลินเจียจวิน และผู่ซิ่นหนานต่างก็มองดูอย่างใจจดใจจ่อ
หลินเจียจวินรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมนายถึงมัดล่ะ ? นายไม่ฆ่ามันก่อนหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ผมจะนึ่งมันทั้งเป็นนี่แหละ ! ”
ถังเสี่ยวโจวตะลึง “นึ่งทั้งเป็นหรือ ? นี่มันจะโหดร้ายเกินไปแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “มนุษย์อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร อาหารอันโอชะมากมายถูกกินด้วยวิธีที่โหดร้าย เช่น อุ้งเท้าหมีและสมองลิง มีการกินแบบไหนที่ไม่โหดร้ายบ้าง ? ”
ถังเสี่ยวโจวกลอกตาใส่เขา แล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะลองกินมาหมดแล้วสินะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม ในชาติที่แล้วเขาควบม้าถือหน้าไม้ไปบนทุ่งหญ้าสะวันนาแอฟริกัน และได้ลิ้มลองอาหารแปลก ๆ ที่หากินยากมาหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องโอ้อวดใคร เขาโยนเชือกป่านในมือของเขาไปที่ถังเสี่ยวโจวแล้วพูดว่า “คุณช่วยผมมัดหน่อย ! ”
“ฮะ ? ”
ถังเสี่ยวโจวอุทานออกมา แต่เมื่อคิดแล้ว เขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหยิบเชือกป่านแล้วช่วยมัดปูด้วยความไม่พอใจ
อย่างไรก็ตาม ปูดูเหมือนจะเป็นนักเรียนที่เชื่อฟังเมื่ออยู่ในมือของเจียงเสี่ยวไป๋ แต่เมื่ออยู่ในมือของเขา มันกลับกลายเป็นเด็กซุกซน ยากที่จะมัดได้ เขาถูกก้ามปูใหญ่ ๆ หนีบมืออย่างแรงหลายต่อหลายครั้ง
หลินเจียจวินและผู่ซิ่นหนานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ และในที่สุด พวกเขาก็เข้ามาช่วยกันมัดปูที่เหลือเพื่อให้เสร็จเร็ว ๆ
เมื่อเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มทำโจ๊กในหม้อดิน จากนั้นก็นึ่งปูขนในหม้อเล็ก และทำปูผัดเซียงล่าในหม้อขนาดใหญ่ ไม่นาน กลิ่นหอมของอาหารก็เริ่มโชยออกมา