ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 4 :ที่รัก ผมขอกอดคุณอีกหน่อยได้ไหม
ตอนที่ 4 :ที่รัก ผมขอกอดคุณอีกหน่อยได้ไหม
“เจียงเสี่ยวไป๋ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ! ”
เมื่อถูกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาชี้ไม้ชี้มือมาที่ตนเองแถมยังพูดซุบซิบกันแบบนั้น อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ถึงได้มีท่าทีแบบนี้ หลินเจียอินทั้งโมโหทั้งอับอาย เธอขัดขืนอยากจะผลักเจียงเสี่ยวไป๋ออก พลางตะโกนใส่เขา
“ที่รัก ผมขอกอดคุณอีกหน่อยได้ไหม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลับกอดเธอแน่นยิ่งกว่าเดิม เขาเอาใบหน้ามาถูไถกกหูของเธอเบา ๆ พลางพูดกระซิบอย่างโหยหา
หลินเจียอินตกตะลึงอีกครั้ง ริมฝีปากเชอร์รี่ของหญิงสาวเผยอออกด้วยความตกตะลึง เธอพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ในยุค 80 ต่อให้เป็นสามีภรรยากันก็ยังไม่กล้าเดินจับมือในที่สาธารณะแบบนี้ เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการอนาจารได้
แต่เจียงเสี่ยวไป๋……
เขาไม่เพียงแต่กอดเธอกลางถนนสายหลักแบบนี้เท่านั้น แต่เขายังกล้าพูดคำพูดที่อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยรักที่ลึกซึ้งออกมาอีกด้วย
นี่เขายังเป็นผู้ชายคนนั้นที่ฉันรู้จักอยู่หรือเปล่า ?
“ที่รัก ผมขอโทษ”
“ที่รัก ในอดีตเป็นผมที่ผิดเอง ! ”
“ที่รัก ต่อไปนี้ผมจะต้องทำให้คุณกับชานชานมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดแน่นอน”
“ที่รัก การมีคุณอยู่มันดีมากจริง ๆ ! ”
“ที่รัก ผมรักคุณ!”
“ที่รัก ให้ผมกอดคุณอีกสักหน่อยเถอะนะ”
“……”
ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘ที่รัก’ ถูกพูดออกมาจากปากของเจียงเสี่ยวไป๋ประโยคแล้วประโยคเล่า ทุกประโยคล้วนเปี่ยมไปด้วยความรักและความอ่อนโยน
หลินเจียอินเริ่มเคลิ้มตามแล้ว
ขนาดคืนวันแต่งงานของเขาและเธอ ผู้ชายคนนี้ยังไม่เคยแสดงความรักอันลึกซึ้งและเร่าร้อนแบบนี้มาก่อนเลยใช่ไหม ?
เขากินยามาผิดซองหรือเปล่า ?
หรือว่าเขาเป็นโลกสมองเสื่อม ?
แต่ฟังไปฟังมาก็ดูน่าซาบซึ้งเหมือนกันนะ
หลินเจียอินหยุดดิ้น ขนตายาวกระพริบ จู่ ๆ ก็มีน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่งามของเธอ
“ที่รัก ผมขอกอดคุณอีกหน่อยนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ลืมทุกอย่างไปเสียสนิท เขาได้แต่พูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ ราวกับว่าอยากจะระบายความคิดถึง ความเสียใจ และการตำหนิตัวเองในตลอดหลายสิบปีนั้นออกมา เขากลัวว่านี่อาจเป็นเพียงความฝัน ถ้าเขาปล่อยมือไป เขาจะตื่นขึ้นและสูญเสียทุกสิ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋กลัวที่จะสูญเสียมันไปอีกครั้งจริง ๆ
มีแต่ต้องสูญเสียไปเท่านั้นถึงจะทำให้คนเราได้รู้คุณค่าของสิ่งที่เรามี คนที่ไม่เคยสัมผัสมันไม่มีทางเข้าใจได้เลย
เจียงเสี่ยวไป๋เคยสูญเสียมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเข้าใจ
ชาติที่แล้ว เดิมทีเขาเคยมีครอบครัวที่มีความสุข แต่ตอนที่เจียงชานลูกสาวของเขาอายุได้ 2 ขวบนั้น เขาเล่นการพนันจนติดเป็นนิสัย เขาไม่เพียงแต่ทำลายครอบครัวที่ดีของเขาเท่านั้น แต่ยังถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะมัวแต่เล่นพนัน ไม่ยอมทำงานทำการ
หลังจากตกงานแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงไม่สำนึก เขากลับทำตัวแย่ลง ทั้งเล่นการพนัน ดื่มเหล้า ทำเรื่องไม่ดี กลายเป็นนักเลงหัวโจกของเจียงวาน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหายหรือชาวบ้านในหมู่บ้านล้วนเคยได้รับความเดือดร้อนจากเขา จนทุกคนต่างเข็ดขยาดพากันตีตัวออกห่างเขา
เจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่สนใจ เขายังคงเดินบนเส้นทางของผีพนัน แถมเขายังแพ้พนันและติดหนี้เถ้าแก่เฉินตั้ง 20 หยวน
เถ้าแก่เฉินบุกมาทวงหนี้ถึงบ้าน ครอบครัวของพวกเขาตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้างห่างไกล จะไปหาเงินจากไหนมาคืน ?
เวลาเจียงเสี่ยวไป๋ดื่มก็มักจะเมาจนไม่ได้สติ หลินเจียอินจึงต้องจัดการเรื่องนี้เอง และไม่รู้ว่าเธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการขายเลือดทำเงินได้เยอะมาก เธอจึงเดินทางไปขายเลือดที่ธนาคารเลือดของเมืองชิงโจว
และเป็นเพราะการขายเลือดในครั้งนี้นี่เอง หลินเจียอินถึงได้โชคร้ายติดโรคเอดส์มาด้วย
แน่นอนว่าพวกเขามาตรวจพบในภายหลัง
ในตอนนั้นหลินเจียอินไม่รู้เรื่องนี้เลย
ทว่าโศกนาฏกรรมกลับไม่ได้จบแค่นั้น
เพื่อให้ชานชานมีข้าวกิน หลินเจียอินถึงได้ไปขายเลือดอีกหลายครั้งในภายหลัง และไม่รู้ว่าชาวบ้านในหมู่บ้านไปรู้เรื่องที่เธอขายเลือดได้เงินเยอะมาจากใคร เพราะนับแต่นั้นมาก็เริ่มมีชาวบ้านหลายคนในหมู่บ้านเดินทางไปขายเลือดตามเธอ
มีใครบ้างที่ไม่อยากได้เงินมาง่าย ๆ
ตามสถิติ มีชาวบ้านเกือบหนึ่งร้อยคนในเจียงหวานติดเชื้อเอดส์
เจียงวานจึงได้กลายเป็นหมู่บ้านผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ
และชาวบ้านคนแรกที่ตรวจพบเชื้อเอดส์คือ ‘หลินเจียอิน’
เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าเธอติดเชื้อเอดส์มาจากการขายเลือด
หลังจากเจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าหลินเจียอินติดเชื้อเอดส์นั้น เขาคิดเองเออเองว่าหลินเจียอินเล่นชู้กับชายอื่น ทำเรื่องที่ไร้ยางอายต่อเขา
ดังนั้น นานวันเข้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็มักจะดูถูกด่าทอและตบตีหลินเจียอิน ส่วนคนในหมู่บ้านต่างก็ตราหน้าว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่นอกใจสามี
สุดท้ายหลินเจียอินไม่อาจแบกรับความเจ็บปวดและความอดสูนี้ได้ เธอจึงพาลูกสาวไปกระโดดน้ำตายด้วยกัน
จนกระทั่งญาติและเพื่อนบ้านช่วยกันนำศพของสองแม่ลูกขึ้นมาจากน้ำ และได้เห็นว่าชาวบ้านที่ไปขายเลือดต่างก็ติดเชื้อเอดส์หลังจากการตายของสองแม่ลูก เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง
หากไม่ใช่เพราะเขาติดการพนัน ถ้าหากหลินเจียอินไม่ถูกบีบให้หมดหนทาง เธอจะไม่มีทางไปขายเลือดและจะไม่มีทางติดเชื้อเอดส์แน่นอน
จวบจนวินาทีนั้นเอง เขาถึงได้รู้ว่าตนเองทำบาปไปมากแค่ไหน เมื่อคิดได้แล้ว เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนักโดยเริ่มจากการตั้งแผงขายของข้างถนน จนในที่สุดก็ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้าน
แต่ต่อให้รวยล้นฟ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร ?
ในเมื่อคนที่ใช้ชีวิตของตนเองมาสอนบทเรียนให้แก่เขาไม่อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว……
ต่อให้เขาอยากไถ่บาป แต่คนก็ไม่อยู่แล้ว
ตั้งแต่นั้นมา เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่เคยคบหากับผู้หญิงคนไหนอีกเลยในชีวิตของเขา นอกจากอุทิศเวลาทั้งชีวิตตอบแทนบุญคุณคอยดูแลพ่อตาแม่ยายและพ่อแม่ของตนเองแล้ว เขายังจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้ป่วยโรคเอดส์ทั้งหมดในเจียงวานจนกว่าพวกเขาจะเสียชีวิตทั้งหมด
เมื่อเขาจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว ชีวิตจึงไม่มีความหมายอะไรต่อเขาอีก
เขาจำได้ หลินเจียอินเคยบอกว่าเธอชอบสีฟ้าที่สุด เธอชอบสีฟ้าของท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และมหาสมุทรอันกว้างขวาง เธออยากไปเห็นทะเลสักครั้ง
แต่จนถึงกระทั่งตอนที่หลินเจียอินฆ่าตัวตาย เขาก็ยังไม่เคยพาเธอไปดูทะเลเลยสักครั้ง
ดังนั้น เขาที่จมอยู่กับความรู้สึกผิดและการโทษตัวเองมาตลอดหลายปีได้ขับเครื่องบินส่วนตัวไปเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกในวันที่ 1 เมษายน และกระโดดจากท้องฟ้าตกลงสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่
เพียงแต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะได้กลับมาเกิดใหม่
ทั้งยังกลับมาเกิดใหม่ในวันที่หลินเจียอินไปขายเลือดอีกด้วย
เขารู้สึกกลัวมาตลอดทางตั้งแต่ตอนที่ยังไล่ตามหลินเจียอินไม่ทัน จวบจนกระทั่งได้กอดเธอไว้ในอ้อมแขน เขาถึงได้รู้สึกสบายใจและพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต
“เจียงเสี่ยวไป๋ ปล่อยฉันนะ”
ถูกเจียงเสี่ยวไป๋กอดเอาไว้แบบนี้ อีกทั้งคนที่เดินผ่นไปผ่านมาตรงถนนก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ หลินเจียอินได้สติจากความเคลิบเคลิ้มในชั่วขณะนั้น เธอทั้งอายทั้งกระวนกระวายใจจึงพยายามดิ้นขัดขืนสุดแรง
“อ้อ ๆ ……”
แม้เจียงเสี่ยวไป๋จะยังอยากกอดอยู่ แต่เขาทำได้เพียงต้องยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนก่อน
“ที่รัก เรากลับบ้านกันเถอะ ! ”
แม้เขาจะปล่อยตัวเธอและไม่ได้กอดเธออีก แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่ยอมปล่อยมือ เขาอาศัยจังหวะตอนปล่อยเธอจากอ้อมแขน ยื่นมือไปจับมือเธอไว้
หลินเจียอินผงะอีกครั้ง เธอมองชายคนที่เธอเคยรักมาก ใบหน้างดงามดูสับสนอย่างมาก
“กลับบ้าน ? ”
หลินเจียอินยิ้มอย่างเศร้าใจ “กลับไปตอนนี้จะทำอะไรได้ ? วันนี้ถ้าเถ้าแก่เฉินไม่เห็นเงิน เขาจะต้องจับชานชานไปขัดดอกแน่นอน แบบนี้คุณยังจะให้ฉันกลับบ้านทั้งอย่างนี้อีกหรือ ? ”
ห๊ะ ?
เจียงเสี่ยวไป๋ตะลึง แม้ว่าเขาจะมีความทรงจำของชาติที่แล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าหลินเจียอินถูกบังคับจนถึงจุดนี้ นี่เถ้าแก่เฉินกล้าเอาเรื่องจับชานชานไปขัดดอกมาขู่อย่างนั้นหรือ ชาติที่แล้วเขาไม่รู้เรื่องนี้เลย
แต่ก็จริง เพราะชาติที่แล้วหลินเจียอินขายเลือดหาเงิน 20 หยวนมาใช้หนี้ได้ ชานชานจึงไม่ถูกจับตัวไป และหลินเจียอินไม่มีทางบอกเรื่องนี้ให้เขารู้แน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋เจ็บปวดใจมาก เขารู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
“กลับบ้านกันเถอะ ผมจะจัดการเรื่องเงินเอง”
“คุณเนี่ยนะจะจัดการ ? ” ใบหน้างดงามของหลินเจียอินเผยยิ้มเย้ยหยันออกมา เธอถามย้อนเขาว่า “คุณจะจัดการยังไง ? ”
“ตลอด 2 ปีมานี้ นอกจากเอาแต่คิดหาวิธีเอาเงินฉันไป คุณเคยให้เงินฉันสักเหมาเดียวหรือยัง ? ”
“นอกจากเล่นไพ่กับดื่มเหล้า คุณจะยังทำอะไรได้อีก ? ”
“คุณเคยจับจอบขุดดินสักครั้งไหม เคยถอนหญ้าสักต้นหรือเปล่า ? ”
“คุณทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แล้วจะแก้ปัญหานี้ยังไง ! ”
หลินเจียอินยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห เธอพูดเสียงดังจนแทบจะกลายเป็นการตะคอกใส่หน้าเขาแล้ว
คำพูดแต่ละคำแต่ละประโยคของเธอราวกับเป็นค้อนหินทุบลงกลางใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะนี่มันคือหนี้ที่เขาก่อขึ้น คือบาปที่เขาสร้างขึ้นมา เขาไม่อาจโต้แย้งได้
“ที่รัก ผมขอโทษ เมื่อก่อนผมมันไม่ดีจริง ๆ ทำให้คุณกับชานชานต้องลำบากแล้ว”
“พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ คุณเชื่อผมนะว่าผมสามารถแก้ปัญหานี้ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋บอก