ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 42 :อีกหนึ่งเป้าหมายเล็ก ๆ
ตอนที่ 42 :อีกหนึ่งเป้าหมายเล็ก ๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลังอาหารเช้า เจียงเสี่ยวไป๋ไปที่แปลงผักเพื่อเก็บฟักเขียวใส่ถุงกระสอบ 3 ใบ ถุงหนึ่งผูกไว้กับเบาะหลังของจักรยาน และอีก 2 ถุงแขวนไว้ที่เบาะหลัง
เบาะหลังจึงไม่เหลือพื้นที่ให้นั่งได้
เจียงเสี่ยวไป๋ขอให้หลินเจียอินกอดเจียงชานและนั่งบนแถบคานบนของรถจักรยานด้านหน้าตัวเขา การขี่ในท่านี้จึงไม่ต่างจากการอุ้มหลินเจียอินไว้ในอ้อมแขน
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าครั้งแรกที่เขาได้โอบภรรยาหลังจากเกิดใหม่จะเป็นแบบนี้
เจียงเสี่ยวไป๋แอบหัวเราะ
จักรยานกำลังเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ บนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ร่างของหลินเจียอินสั่นเป็นครั้งคราว ถูกับแขนและหน้าอกของเจียงเสี่ยวไป๋บ้าง ผมที่นุ่มสลวยปลิวไปตามแก้มของเขาเป็นระยะ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ให้เขาได้เพลิดเพลิน
เขารู้สึกคันยุบยิบขึ้นในใจ
สิ่งนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก
เขาขี่จักรยานไปอย่างช้า ๆ เพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่มีความสุขนี้
เมื่อหลินเจียอินถูกเจียงเสี่ยวไป๋โอบไว้เช่นนี้ เธอไม่รู้สึกอึดอัด แต่กลับรู้สึกเพลิดเพลินกับมันมากกว่า
อ้อมแขนที่โอบล้อมเธอเป็นเหมือนท่าเรือที่มั่นคง สามารถกั้นลมและฝนได้ทั้งหมดสำหรับเธอ และหน้าอกแกร่งของเขาราวกับเป็นเกราะกำบัง ทำให้เธออบอุ่นทั้งร่างกายและจิตใจ
สิ่งเดียวที่น่าเสียใจคือจักรยานสะเทือนเยอะเกินเพราะถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ จนทำให้เธอเจ็บก้น
“เมียจ๋า เมื่อเราเก็บเงินได้มากพอ เราจะซื้อรถ”
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดของภรรยา เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจ พ่นลมหายใจอุ่น ๆ รดใบหูหลินเจียอิน
ลมหายใจร้อนของเขาเหมือนกับคลื่นความร้อนที่แผดเผา หลินเจียหยินรู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอไม่ได้ยินสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดเลย จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับว่า “อืม”
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น
อีกหนึ่งเป้าหมายเล็ก ๆ
ซื้อรถ ! ต้องซื้อรถ !
เขารอคอยที่จะเป็นคนขับรถให้ภรรยาและลูกของเขาใจจะขาด
เมื่อพวกเขามาถึงโรงน้ำชา หวังผิงและภรรยากำลังรออยู่นานแล้ว เฝิงเยี่ยนหงยิ้มเมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ และพูดว่า “หลังจากที่พี่กลับไปเมื่อวานนี้ หวังผิงและฉันขายจนถึงตอนเย็น เราสองคนขายจนกระทั่งของหมดเลย”
พูดจบ เธอก็หยิบเงินออกมาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เราขายมันได้ทั้งหมด 138 หยวน 5 เหมา เงินอยู่นี่หมดแล้ว รับไปสิ”
“ขายได้อีกเยอะเลยนะ ! ”
หลินเจียอินรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กันหลังจากได้ยินสิ่งนี้
ที่เจียงเสี่ยวไป๋ขายได้คือทั้งหมด 516 หยวน 6 เหมา บวกกับตรงเฝิงเยี่ยนหงอีก 138 หยวน 5 เหมา เท่ากับว่าเขาขายได้ทั้งหมดจริง ๆ 655 หยวน 1 เหมา
รายได้จากการขายในวันเดียวมากถึง 600 กว่าหยวน
เจียงเสี่ยวไป๋รับเงินจากมือของเฝิงเยี่ยนหง เขานับออกมา 69 หยวน 3 เหมา แล้วส่งที่เหลือคืนพลางพูดว่า “เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะแบ่ง 50-50 ฉะนั้นเงินนี้เป็นของพวกเธอ”
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”
ทั้งเฝิงเยี่ยนหงและหวังผิงต่างรีบปฏิเสธ เฝิงเยี่ยนหงกล่าวว่า “เมื่อวานร้านน้ำชาของเรามีรายได้ 42 หยวนแล้ว จะรับเงินนี้จากพี่ได้อย่างไร”
เจียงเสี่ยวไป๋คว้ามือของเฝิงเยี่ยนหงมา และตบเงินใส่มือของเธอ “เก็บไว้ ถ้าไม่มีเธอและหวังผิงช่วยขาย ฉันคงไม่สามารถหาเงินได้สักเหมา นี่คือสิ่งที่พวกเธอสมควรได้รับ”
หลินเจียอินพูดสนับสนุนจากด้านข้าง “เยี่ยนหง รับไว้เถอะ”
“แต่…นั่นมันมากเกินไป ฉันไม่สามารถรับมันไว้ได้… “ เฝิงเยี่ยนหงไม่สามารถหลบเลี่ยง แต่ยังคงพยายามพูด
เจียงเสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “แบบนี้ดีไหม ถึงอย่างไรตอนบ่ายฉันต้องกลับบ้าน จึงขายตอนเย็นไม่ได้ เธอกับหวังผิงก็เอาร้านน้ำชามาร่วมหุ้นกับฉัน ทำธุรกิจร่วมกันเลย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้คิดรวมเป็นต้นทุน ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นรายได้ช่วงกลางวันหรือตอนเย็นให้แบ่งกัน 50-50”
หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงทั้งรู้สึกประหลาดใจและดีใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้
พวกเขารู้ว่าธุรกิจร้านน้ำชานั้นทำกำไรได้แค่ไหน
แต่เจียงเสี่ยวไป๋เต็มใจที่จะแบ่งธุรกิจที่ทำกำไรได้มากกว่าให้พวกเขามามีส่วนร่วมด้วย ทั้งยังเสนอว่าจะให้ส่วนแบ่ง 50-50
พูดตามตรงแล้วทั้งหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงต่างก็มีความเต็มใจอย่างเต็มร้อย
หลังจากตื่นเต้นแล้ว ทั้งคู่ก็สงบลง
เป็นมนุษย์ไม่ควรโลภเกินไป
หวังผิงจึงพูดขึ้นว่า “นายยินดีที่จะชวนพวกเราทำธุรกิจด้วย พวกเราย่อมเต็มใจอยู่แล้ว แต่การแบ่ง 50-50 มันมากเกินไป มาแบ่ง 20-80 กันเถอะ”
จากรายได้เมื่อวาน ต่อให้พวกเขาแบ่งรายได้กันที่ 20-80 แต่พวกเขาก็ยังได้ส่วนแบ่งเป็น 100 หยวน ซึ่งทำกำไรได้มากกว่าที่เขาเปิดร้านน้ำชาเสียอีก
“อืม 20-80 ถือว่ามากสำหรับพวกเราแล้ว”
เฝิงเยี่ยนหงพูดสมทบเช่นกัน
ในท้ายที่สุด หลังจากเจรจาบ่ายเบี่ยงกันไปมา ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงร่วมกันโดยให้เจียงเสี่ยวไป๋ถือหุ้น 60% และหวังผิงถือหุ้น 40%
หลังจากหารือเกี่ยวกับความร่วมมือแล้ว หวังผิงก็เห็นกระสอบสามใบบนจักรยานของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงพูดว่า “นายพาพี่สะใภ้กับชานชานเข้ามาในเมืองก็ว่ายากแล้ว ทำไมยังลากมันฝรั่งมาอีกล่ะ ? ตอนเย็นให้ฉันไปบอกบ้านพี่เหอให้เข้าไปขนมันฝรั่งมาจากที่นั่นก็ได้แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “วันนี้ไม่ใช่มันฝรั่ง แต่เป็นฟักเขียว”
“ฟักเขียว ? ”
หวังผิงมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋อย่างสงสัย คิดว่าฟักเขียวไม่มีค่าอะไรมากมาย ทำไมเขาถึงลากฟักเขียวมามากมายขนาดนี้ล่ะ ?
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ฉันจะทำเมนูใหม่มาลองตลาด”
เฝิงเยี่ยนหงเริ่มเกิดความสนใจในทันที เจียงเสี่ยวไป๋สามารถขายมันฝรั่งราคาถูกได้เงินเป็นกอบเป็นกำ บางทีเขาอาจทำให้ฟักเขียวกลายเป็นที่นิยมได้
ตอนนี้พวกเขาทำธุรกิจด้วยกัน
ยิ่งเมนูใหม่ของเจียงเสี่ยวไป๋เป็นที่นิยมเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งได้รับส่วนแบ่งมากขึ้นเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เมนูใหม่ที่ทำจากฟักเขียว ไม่ได้วางขายตามแผงลอยข้างถนน ฉันจะทำที่ครัวด้านหลังร้านน้ำชาของนายแล้วคอยตักเสิร์ฟลูกค้า”
ด้านหลังร้านน้ำชาของหวังผิงยังมีห้องครัวซึ่งมีหม้อ เตา และถังเก็บน้ำ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น “ฟักเขียวน้ำแดง” หรือ “ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น” ต่างก็ใช้หม้อก้นแบนในการทำ
นอกจากนี้ การใช้เตาฟืนรังผึ้งยังคุมไฟง่ายกว่าการใช้เตาสุมฟืน ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงขอให้หวังผิงซื้อเตาฟืนรังผึ้งและหม้อก้นแบนมาด้วย
หวังผิงถามต่อ “นายคิดว่ายังมีอะไรขาดเหลืออีกหรือเปล่า ฉันจะไปซื้อให้”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า ร่ายรายการของที่เขาต้องการให้หวังผิงซื้อ จากนั้นเขาถึงเดินไปที่ครัวหลังร้านเพื่อเตรียมของ
แผงหน้าร้านได้ส่งต่อให้หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงดูแลไปก่อน
ทั้งสี่คนยุ่งกันมาก เจียงชานและหวังกังกำลังเล่นอยู่ในครัวกับเจียงเสี่ยวไป๋
เด็กน้อยทั้งสองก็มีความสุขมากเช่นกัน เมื่อวานนี้ไม่มีใครสนใจพวกเขา แต่วันนี้มีเจียงเสี่ยวไป๋อยู่เป็นเพื่อนพวกเขา
เจียงชานชอบอยู่กับป่าป๊ามาก ป่าป๊าเองก็สอนเธอทำอาหารด้วย
หวังกังสามารถเข้ากันได้ดีกับเจียงเสี่ยวไป๋ เมื่อวานลุงคนนี้ยังซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขาด้วย
เมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยง “ฟักเขียวน้ำแดง” และ “ตุ๋นฟักเขียวไสล์แบบหมูสามชั้น” เตาแรกก็พร้อมเสิร์ฟแล้วเช่นกัน เมนูทั้งสองนี้ถูกตักใส่หม้อใบใหญ่ไว้
“เถ้าแก่เพิ่มเมนูใหม่แล้วใช่ไหม ? ”
“เถ้าแก่ มีหมูตุ๋นด้วยหรือ”
“มีหมูสามชั้นด้วย ? ”
“เถ้าแก่ หมูตุ๋นน้ำแดงขายยังไง ? ”
“……”
“ฟักเขียวน้ำแดง” และ “ตุ๋นฟักเขียวไสล์แบบหมูสามชั้น” หน้าตาน่ารับประทานและมีกลิ่นหอมเข้มข้นดึงดูดลูกค้าที่เข้าแถวรอซื้อผัดมันฝรั่งได้เป็นอย่างดี ลูกค้าต่างพากันแย่งถามไม่หยุด
แม้แต่หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงก็ยังประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าทำจากฟักเขียว แต่ทำไมมันดูเหมือน “หมูตุ๋น” และ “หมูสามชั้น” เลยล่ะ ?